๒ เจอหน้าไม่อยากทัก (๔)
เจอกับจงกลณีบ่อยครั้งแต่เสียดายไม่ค่อยได้คุย คราวนี้จึงอยากใช้โอกาสพูดคุยกับอีกฝ่ายให้มากหน่อย แย้มยิ้มมีความสุขจนมะลิทำตัวไม่ถูก เหมือนว่าจะปฏิเสธอย่างไรอีกฝ่ายก็ไม่ยอมฟังกันบ้างเลย
“มาเกรงใจอะไรกันล่ะเรื่องแค่นี้ โรงเรียนก็ไม่ได้อยู่ไกลสักหน่อย แม่ขับมอ’ไซค์ไปแปบเดียวก็ถึงแล้ว เรานั่งรออยู่นี่แหละเดี๋ยวไปรับแล้วแม่จะรีบมา” แล้วอย่างนี้หญิงสาวจะตอบอะไรได้นอกจากพยักหน้ารับคำอย่างเดียว
“ค่ะ ขอบคุณค่ะแม่” รถของแม่อุบลขับออกจากบ้าน เหลือเพียงหล่อนซึ่งนั่งนิ่งอยู่ม้านั่งตัวยาวเหมือนเดิม กลับมาอึดอัดอีกครั้งไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร เหลือบมองร่างสูงที่กำลังก้มๆ เงยๆ อยู่ที่รถยนต์ของตัวเอง ผ่อนลมหายใจโล่งอกที่มีน้าไผ่อยู่ด้วย ตัวเองจะได้ไม่ต้องเผชิญหน้ากับเขาตามลำพัง
“ชัช น้ากลับบ้านก่อนนะเดี๋ยวต้องไปรับลูกรับเมียอีก ช้ากว่านี้โดนบ่นหูชาแน่ เจอกันพรุ่งนี้” แต่แล้วความสบายใจก็อยู่กับเธอได้เพียงครู่เดียว เมื่อพนักงานของเขาวางอุปกรณ์ทุกอย่างลงพร้อมบอกเหตุผลที่เจ้าของอู่ถึงกับปฏิเสธไม่ได้
“ครับ” น้าไผ่ขับมอเตอร์ไซค์ออกจากร้านไปแล้ว เหลือเพียงพวกเขาที่อยู่กันตามลำพังสองคน
แต่จะบอกว่าตามลำพังก็ไม่ถูกเพราะมีรถขับผ่านตลอดเวลา ยิ่งช่วงใกล้เลิกเรียนก็ทำให้คนมากขึ้น การจราจรติดขัดต่างกับความความเงียบที่เกิดระหว่างเราสองคน เหมือนว่าร่างหนาจะยุ่งกับการซ่อมรถของเธอก่อนปิดหน้ากระโปรงรถเสียงดังจนเธอสะดุ้ง
“ไดสตาร์ทต้องซื้อใหม่เพราะถ้าซ่อมแล้วเอากลับไปใช้ก็เป็นเหมือนเดิม รอของสามถึงสี่วันแล้วค่อยมารับรถวันนั้น” เป็นครั้งแรกที่เขาคุยกับเธอในรอบสิบปี หญิงสาวกระพริบตาปริบก่อนรีบลุกยืนพร้อมถามเสียงเบา
เราสองคนยืนตรงข้ามกัน ระยะห่างไม่มากแต่ไม่รู้ทำไมถึงรับรู้ได้ถึงกำแพงสูงที่เขาเป็นคนสร้างขึ้น ส่วนเธอก็ไม่กล้าจะสบดวงตาคม เอาแต่ก้มหน้าพลางถามเสียงในลำคอ
“ขอบคุณ...เท่าไหร่เหรอ” เป็นครั้งแรกที่ได้มองเธอเต็มตา เหมือนว่าหญิงสาวจะดูอ่อนกว่าวัยไม่รู้เธอเข้าคลินิกเสริมความงามหรือเปล่า ใบหน้าปราศจากการแต่งแต้มแต่ก็ยังดูงดงามจนไม่อาจละสายตาได้ เหมือนครั้งแรกที่เจอกันอยู่ริมสระบัว
เขาก็ตกตะลึงเหมือนพบนางฟ้าบนดิน อาการไม่ต่างจากตอนนี้จนต้องกระแอมในลำคอเรียกเสียงของตัวเอง ผินหน้ามองทางอื่นนึกหงุดหงิดที่หญิงสาวยังมีอิทธิพลต่อใจค่อนข้างมากพอสมควร เป็นรักแรกที่เขาลืมได้ยาก
แต่อย่างไรก็ไม่มีทางกลับไปเจ็บซ้ำสองอีกเป็นแน่!
คนเราเจ็บแล้วต้องจำ ไม่คิดจะกลับไปเปิดหนังสือเล่มเดิมอ่านทั้งที่รู้ตอนจบของมัน...
“ต้องรอดูของก่อนว่าเท่าไหร่ บวกค่าช่างกับภาษีนิดหน่อยไม่เกินสี่พัน” บอกไปตามตรงซึ่งเธอก็พยักหน้าเข้าใจเป็นอย่างดี
รถของตนค่อนข้างเก่าได้รับเป็นมรดกตกทอดมาจากคุณตา ใช้เวลาในการหัดเกือบปีกว่าจะขับได้คล่องแบบนี้ พวงมาลัยหนักเอาเรื่องจนต้องบีบนวดแขนตัวเองบ่อยครั้ง คิดจะหาเงินให้ได้มากกว่านี้ค่อยซื้อคันใหม่
ทว่านึกเสียดายคันเก่าอยู่เหมือนกัน เอาไว้มันพังจนซ่อมไม่ได้ก่อนค่อยซื้อคันใหม่ดีกว่า ตอนนี้ยังสามารถซ่อมแล้วนำกลับมาขับได้ก็คิดจะใช้ไปก่อน
หลังจากที่เธอพยักหน้าเป็นการรับทราบ ความเงียบก็โอบล้อมพวกเขาสองคนเอาไว้ ชายหนุ่มเดินกลับไปยังรถยนต์ที่ยังทำงานค้างเอาไว้ ส่วนมะลิก็นั่งนิ่งไม่รู้ว่าตัวเองควรทำอะไร มองไปยังถนนหวังว่าแม่ของเขาจะกลับมา เพราะเธอไม่รู้จะเผชิญหน้ากับแฟนเก่าได้ยังไง
เขาเย็นชาเกินไป...ไม่คุ้นสักนิด
“มีลูกแล้วเหรอ” ท่ามกลางความเงียบกลับเป็นชัชชนที่เปิดบทสนทนา เธอสะดุ้งไม่คิดว่าอีกฝ่ายชวนคุยเพราะเห็นชายหนุ่มซ่อมรถอย่างขะมักเขม้น ทั้งที่ถามกันก็ไม่หันมามองเธอด้วยซ้ำ เล่นเอาร่างบางไม่รู้ว่าชายหนุ่มกำลังถามตนหรือเปล่า
บางทีเขาอาจจะแค่คุยกับดินฟ้าอากาศก็ได้
“อ่า อืม...มีแล้ว” ตอบตะกุกตะกัก ยังดีที่ร่างสูงไม่ได้หันมามองจึงไม่เห็นว่าเธอประหม่ามากแค่ไหน กลัวเขาจะรู้ถึงความลับที่ตนปิดบังเอาไว้
“หึ มีลูกทันใช้ดี”
เหมือนจะได้ยินไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่ อีกทั้งชัชชนก็ไม่ได้สนใจจะหันมามองเธอ ทำงานของตัวเองไปเรื่อยๆ แต่กลับหงุดหงิดจนไม่มีอารมณ์จะซ่อมรถ จึงตัดสินใจเก็บอุปกรณ์ทุกอย่างให้เรียบร้อย ถ้าหญิงสาวยังนั่งอยู่ตรงนี้ไม่มีทางที่งานจะเสร็จแน่
มะลินั่งเงียบสักพักแต่ก็นึกอึดอัดมากกว่าเดิม เธอกุมมือของตัวเองเอาไว้แน่น จากนั้นจึงสูดลมหายใจเข้าปอดเรียกความกล้าให้ตนเอง เป็นฝ่ายที่ชวนชายหนุ่มคุยบ้าง แม้ว่าอีกฝ่ายเหมือนไม่ค่อยอยากเสวนาด้วยก็ตาม
“นายสบายดีไหม” ใบหน้าหวานส่งยิ้มให้ในจังหวะที่เขาหันมามองพอดี ชายหนุ่มนึกหงุดหงิดที่เธอทำเหมือนไม่เคยมีเรื่องหมางใจกัน ทั้งที่เป็นฝ่ายทิ้งเขาแล้วไปแต่งงานกับชายคนอื่นแท้ๆ ยิ่งคิดก็หงุดหงิดมากกว่าเดิม
“ก็ดี” ตอบอย่างขอไปที
“แล้วจะกลับมาอยู่บ้านตลอดไปเลยเหรอ” เมื่อประโยคแรกเอ่ยออกไป ก็อยากชวนเขาคุยอีกจึงพยายามถาม พยายามไม่สนใจแววตาเย็นชาที่อีกฝ่ายส่งมาแล้วเลือกจะทำตามใจตัวเอง
“อืม ไปไม่รอดแล้ว เป็นแค่คนไม่มีอนาคตที่ใช้ชีวิตแบบยากลำบากน่ะ เธอคงสุขสบายดีสินะ” รู้ดีว่าเขากำลังเอ่ยประชดกันอยู่ แต่เพราะเธอผิดจึงเลือกจะไม่ถือสาอะไร นึกอยากบอกความในใจกับเขาไปเหมือนกันว่าทำไมจึงตัดสินใจทำเช่นนั้น
แต่เหมือนว่าชัชชนจะไม่ยอมรับฟังกันเลย พูดไปตอนนี้ก็เหมือนข้อแก้ตัว...
“คือว่า ความจริงแล้วฉัน...” ยังไม่ทันจะเอ่ยออกไปก็มีเสียงของเด็กหญิงดังขึ้น พวกเขาหันไปมองตามเสียงก็พบนางอุบลที่ขับมอเตอร์ไซค์เข้ามาในร้านโดยมีเด็กหญิงวัยเก้าขวบซ้อนท้ายพลางส่งเสียงเรียกมารดามาแต่ไกล
“แม่!” รถหยุดก็รีบลงแล้ววิ่งเข้ามาหาเธอ กลับต้องชะงักเมื่อมีคำถามเกิดขึ้น ลืมไปเสียสนิทว่าต้องปิดบังใบหน้าของตนเองที่ซีกซ้ายมีรอยช้ำเล็กน้อย
“หน้าไปโดนอะไรมาน่ะ” ลุกจากเก้าอี้เดินเข้ามาหาลูกสาว ประคองใบหน้ากลมแล้วสำรวจโดยทั่วด้วยแววตาห่วงใย เด็กหญิงพยายามขืนตัวออกแล้วตอบเสียงเบากลัวความผิดของตัวเอง
“ชนเสา” ตอบตามความจริงไม่ได้โกหก แต่คนที่เลี้ยงมาแต่อ้อนแต่ออกรู้ดีว่าต้องมีเรื่องมากกว่านั้นเป็นแน่ จึงรีบซักไซ้ทันทีโดยมีสองแม่ลูกบ้านอเนกนิพนธ์ตั้งใจฟังด้วย อยากรู้เหมือนกันว่าเด็กหญิงไปโดนอะไรมา
“เดินยังไงให้ชนเสา”
“แหะๆ” หัวเราะจืดเจื่อนไม่ยอมตอบ จนคนเป็นแม่ต้องกดเสียงต่ำเรียกลูกสาว ร่างสูงได้ยินอย่างนั้นก็กอดอกมองภาพตรงหน้าด้วยความสนใจ เขาเอ็นดูเด็กหญิงตัวอวบตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น เหมือนได้พบมะลิย่อส่วนในรูปร่างที่พองโตกว่าปกติ
เหมือนแม่ไม่มีผิด...แต่นิสัยต่างกันราวฟ้ากับเหว
ดูสดใสร่าเริงกว่ามะลิ สงสัยจะได้จากคนเป็นพ่อ...
“บัว” สุดท้ายก็จำต้องยอมตอบไปตามความจริง
“มันมาว่าหนูก่อนนะแม่ ล้ออยู่นั่นแหละว่าไม่มีพ่อ หนูเลยบอกว่าถ้าไม่มีพ่อหนูจะเกิดมาได้ยังไงโง่หรือเปล่า แล้วมันก็ผลักหนูไปชนเสา หนูโมโหเลยต่อยมันไปทีหนึ่ง...” ไม่ผิดจากที่คาดเอาไว้เท่าไหร่ ไม่อย่างนั้นลูกสาวจะเป็นขวัญใจห้องปกครองเหรอ
ต่อยตีเก่งไม่มีใครเกิน เรื่องไม่ยอมคนก็เช่นเดียวกันจนเธอนึกอ่อนใจ ไม่รู้ว่าจะกำราบเด็กหญิงอย่างไรแล้ว
นิสัยส่วนนี้ได้จากพ่อมาหมด...
“หึหึ” เสียงหัวเราะของชัชชนเรียกสายตาจากหนูน้อยได้เป็นอย่างดี หันไปมองคนแปลกหน้าที่ยิ้มให้ตนก็รีบยิ้มกลับ พลางถามเสียงสดใส
“หนูสุดยอดใช่ไหมคะ” เขายกมือกอดอกพลางยกนิ้วโป้งขึ้นทันที
“เยี่ยม” ชื่อชมจนจงกลณียิ้มกว้างพลางยืดอกอย่างภาคภูมิใจกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไป
คงจะมีเพียงมะลิที่ไม่เห็นด้วยเพราะไม่ชอบการใช้กำลังตัดสินปัญหา
แต่อย่างว่าคงจะได้นิสัยส่วนนี้จากคนเป็นพ่อมาเยอะพอสมควร...
