บท
ตั้งค่า

๒ เจอหน้าไม่อยากทัก (๓)

เห็นด้วยกับสิ่งที่อีกฝ่ายบอกชะโงกไปดูอะไหล่รถแล้วคิดจะเรียกคนอายุน้อยให้เตรียมเครื่องมือ กลับโดนเวย์และเวฟยกมือไหว้อย่างรวดเร็ว รู้ว่าต้องรีบออกไปไม่อย่างนั้นคงได้อยู่ยาวจนตะวันตกดินเป็นแน่

“งั้นพวกผมกลับก่อนนะพี่ มีอะไรถามพี่ชัชได้เลยนะครับเขาเป็นเจ้าของอู่ ฝีมือดีรับรองว่ารถของพี่สาวกลับมาขับได้แน่นอน” ไม่วายหันมามองเจ้าของรถยนต์ที่ยืนนิ่งเหมือนกลายร่างเป็นหินไปแล้ว เวฟผายมือไปยังร่างสูงที่ทำหน้าขรึมระหว่างตรวจเช็คอุปกรณ์ไม่ได้หันมามองหล่อนแม้เพียงหางตาด้วยซ้ำ

“ค่ะ” รับคำเสียงเบา จากนั้นก็ยืนนิ่งไม่รู้ว่าตัวเองควรอยู่ตรงไหนเพราะดูเกะกะไปเสียหมด

หางตาเหลือบไปเห็นม้านั่งตัวยาวจึงค่อยเดินไปหย่อนกายลงพร้อมวางมือไว้บนหน้าตัก นั่งหลังตรงแล้วมองไปทางอื่นให้ลดความอึดอัด ได้ยินเสียงเข้มดังขึ้นและรู้ดีว่าเขาไม่ได้พูดกับตัวเอง ถึงจะเป็นรถของหล่อนเขาก็ดูเต็มที่ในการซ่อมเป็นอย่างมาก

ไม่เคยเห็นชายหนุ่มในมุมนี้มาก่อน ถึงจะเกร็งแค่ไหนก็แอบเหลือบมองเขา ยามที่ชัชชนตั้งใจทำอะไรสักอย่างมีเสน่ห์เหลือเกิน

อย่างตอนที่เขาตั้งใจทำข้อสอบเพื่อให้ได้คะแนนตามที่เธอกำหนดถึงจะได้คบกัน เขามุมานะจนทำสำเร็จแล้วเราก็เลื่อนสถานะจากเพื่อนร่วมห้องเป็นคนรู้ใจ คิดถึงช่วงเวลาเหล่านั้นทีไรทำให้หัวใจเธอพองโตได้ทุกครั้ง ก่อนกลับมายังปัจจุบันที่อีกฝ่ายแทบไม่หันมามองหน้ากันจนนึกน้อยใจ

เกลียดหล่อนมากขนาดนั้นเลยเหรอ...

“น้าช่วยผมส่องไฟหน่อย เดี๋ยวถอดไดสตาร์ทออกมาดูก่อนแล้วกัน รถนานขนาดนี้สนิมคงขึ้นน่าจะต้องเปลี่ยนใหม่ น้าว่ายังไง” ประโยคเหล่านั้นหล่อนฟังแต่ไม่รู้เรื่องเครื่องยนต์ นั่งนิ่งมองแผ่นหลังกว้างก่อนหลุบสายตามองมือของตนที่วางไว้บนหน้าขา

ความกล้าหมดไปเหลือเพียงความอึดอัดที่แผ่ล้อมเราสองคนเอาไว้ โดยที่น้าผู้ชายซึ่งทำงานกับชัชชนเริ่มสัมผัสได้ถึงบรรยากาศอึมครึมโดยไม่ทราบสาเหตุ

“เออ ต้องเปลี่ยนใหม่แหละ แต่มีของเหรอวะรุ่นนี้นานแล้วด้วย” ช่วยกันถอดอะไหล่รถออกมาพร้อมกับพูดคุยด้วยความกังวล แต่เหมือนว่าเจ้าของร้านจะมีทางออกเอาไว้แล้ว จึงวางไดสตาร์ทเอาไว้บนโต๊ะก่อนเดินไปหยิบผ้ามาเช็ดมือ ไม่มองคนที่นั่งรอคอยเลยสักนิด เขาเมินหล่อนอย่างโจ้งแจ้งไม่เหมือนที่ทำกับลูกค้าคนอื่นจนน้าไผ่นึกสงสัยอยู่ในใจ

“ผมโทรหาพี่กิ๊กก่อนแล้วกัน แต่คงใช้เวลาหลายวันกว่าจะหาของได้ น้าบอกเขาหน่อยผมจะไปคุยโทรศัพท์” พูดจบก็เดินไปหยิบโทรศัพท์เตรียมกดโทรออก กลับถูกคนอายุมากกว่าคว้าแขนเอาไว้ ไม่เข้าใจการกระทำของอีกฝ่ายที่เมินเฉยลูกค้า ปกติเข้าไปพูดคุยสร้างสัมพันธ์ที่ดีเพื่อลูกค้าจะได้กลับมาอีกรอบไม่ใช่เหรอ

แล้วทำไมคราวนี้ถึงได้แสดงท่าทีเย็นชานัก...

“อ้าว เขาก็ตรงนี้มึงก็บอกเองสิวะ” ชี้ไปยังหญิงสาวซึ่งรีบยืนอย่างรวดเร็วเพื่อจะได้คุยรายละเอียดเรื่องรถยนต์ของตัวเอง กลับถูกร่างหนาเมินอย่างเห็นได้ชัด เขาทำเพียงแค่เหลือบมองหล่อนก่อนยกโทรศัพท์ขึ้นเพื่อเป็นการบอกว่าตนกำลังยุ่ง

“ผมต้องไปโทรหาพี่กิ๊ก” พูดจบก็เดินหนีเข้าไปหลังร้านซึ่งเป็นบ้านของอีกฝ่าย ปล่อยให้น้าไผ่มองตามแล้วเกาศีรษะด้วยความงุนงง ไม่รู้ว่าต้องจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร พึมพำกับตัวเองเสียงเบาพลางหันมามองหญิงสาวที่ยืนยิ้มเจื่อนอยู่ที่เดิม

“อะไรของมันวะ...” กำลังจะเข้าไปพูดกับลูกค้า แต่กลับมีคนเข้ามาเสียก่อนนั่นคือมารดาเจ้าของร้านอย่างนางอุบลนั่นเอง คนที่กำลังจะเดินเข้ามาอธิบายเรื่องรถยนต์จึงต้องกลับไปทำหน้าที่ของตัวเองจะได้รีบกลับบ้านเช่นเดียวกัน ไหนต้องไปรับลูกสาวที่โรงเรียนแล้วยังต้องไปรับเมียอยู่โรงงานอีก คงต้องเร่งมือทำงานแล้วล่ะ

เจ้าของชื่อหันไปมองคนที่มาใหม่ จากที่ทำหน้านิ่งเพราะทำตัวไม่ถูกก็รีบฉีกยิ้มกว้างเมื่อเห็นว่าตอนนี้ตัวเองไม่ได้อยู่คนเดียว อย่างน้อยก็มีคนยืนข้างเธอทั้งยังส่งยิ้มเป็นกันเองให้อีกต่างหาก จึงเดินเข้าไปหาพลางพูดคุยด้วยความสนิทสนม

“มะลิ ไปไงมาไงล่ะลูก” ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน แววตาของนางอุบลยามมองหล่อนก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยสักนิด ยังคงรักใคร่เอ็นดูเธอเหมือนลูกสาวคนหนึ่ง แต่กระนั้นถึงอยู่หมู่บ้านเดียวกันก็ไม่ค่อยได้พบเท่าไหร่ อาจเจอกันบ้างตามเดินตลาดก็แค่ทักทายตามประสาคนรู้จัก

“รถหนูเสียอยู่แถวนี้ค่ะแม่ เลยเอามาซ่อม...” ชี้ไปยังรถยนต์ของตัวเองที่จอดอยู่ในร้าน นางหันไปมองก่อนพยักหน้า นึกขึ้นได้ว่าใกล้ถึงเวลาเลิกเรียนของเด็กน้อย เหลือบเห็นนาฬิกาที่บอกเวลาใกล้สี่โมงครึ่งจึงรู้ได้ทันที

“จะมารับลูกเหรอ”

“ค่ะ ว่าจะเดินไปรับ...” ร้านซ่อมรถอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนคิดว่าเดินไปรับไม่นานก็ถึง ส่วนเรื่องกลับบ้านเธอยังไม่ได้คิด จากสถานการณ์คงต้องใช้เวลาหลายวันกว่ารถจะซ่อมเสร็จ ยังนึกกังวลอาจต้องให้มารดาขับรถมอเตอร์ไซค์มารับแล้วระหว่างนี้ก็คงใช้รถจักรยานยนต์ไปก่อน

หวังว่าอีกไม่นานรถยนต์ของตนจะซ่อมเสร็จ บางทีอาจต้องขอยืมรถยนต์ของบิดามาใช้ในการส่งผักไปก่อน แค่คิดก็ต้องถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย รู้ดีว่าพูดกับท่านยากแค่ไหน แต่อย่างไรก็คงต้องขอยืมเพราะไม่เช่นนั้นหล่อนคงทำงานไม่ได้

“ไม่ต้องๆ นั่งอยู่ที่นี่แหละเดี๋ยวแม่ไปรับบัวมาให้เอง” รีบกดไหล่เล็กให้นั่งลงที่เดิม จนหญิงสาวจำต้องทำตามลืมมองเสียสนิทว่ามีใครอีกคนกำลังยืนฟังบทสนทนา ซึ่งความจริงเขาก็ไม่ได้แอบฟัง พูดเสียงดังขนาดนี้ใครก็ต้องได้ยินอยู่แล้ว

“บัว...” พึมพำกับตัวเองเสียงเบากับตัวเอง ค่อยมองคนทั้งสองที่พูดคุยกันไม่ได้สนใจเขา

ทราบว่าหญิงสาวมีลูกกับสามีที่แต่งงานกันตั้งแต่เข้าเรียนมหาวิทยาลัย ตอนทราบข่าวทำให้เสียสูญไปพักใหญ่ เธอคือรักแรกทั้งยังเป็นคนที่ตนวาดภาพอนาคตร่วมกัน กลับโดนทิ้งไม่ไยดีแล้วไปคว้าชายอื่นมาเข้าพิธีวิวาห์

เรียกว่าช่างนั้นกินไม่ได้นอนไม่หลับ ต้องพึ่งแอลกอฮอล์ให้หลับทุกคืน กระทั่งเพื่อนเตือนสติจึงได้มุ่งมั่นใจการเรียนแล้วทำงานเพื่อให้ชีวิตตัวเองดีขึ้น เพื่อเจอหน้ากันจะได้ไม่ต้องอับอายและยืดอกอย่างภาคภูมิใจว่าไม่มีเธอก็สามารถมีอนาคตที่ดีได้

ทว่าสิ่งที่สะกิดใจคือชื่อของเด็กหญิง...

เพราะเราเคยคุยกันถึงการตั้งชื่อลูก ไม่คิดว่ามะลิจะเอาชื่อที่เขาคิดเพื่อลูกของเราไปตั้ง ช่างหน้าไม่อายเหลือเกิน

“ไม่เป็นไรแม่ เดี๋ยวหนูไปรับเองดีกว่าเกรงใจแม่...” เธอยังคงปฏิเสธแต่เหมือนว่านางอุบลเต็มใจจะทำจึงรีบกดร่างบางให้นั่งนิ่ง พร้อมทั้งเตรียมขับมอเตอร์ไซค์ออกจากบ้านเพื่อไปรับหลานสาวตัวน้อยอยู่ที่โรงเรียนซึ่งไม่ไกลกันมากนัก

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel