บท
ตั้งค่า

๒ เจอหน้าไม่อยากทัก (๒)

พอหันไปมองงานแล้วเช็คทุกอย่างก็พบว่าทั้งสองทำงานเสร็จทั้งยังได้มาตรฐานที่เขาพึงพอใจ จึงไม่มีสิ่งใดให้ต้องรั้งไว้นอกจากพยักหน้าแล้วไม่ลืมเตือนคนชอบมาสายกลับเร็ว

“พรุ่งนี้มาสายกูหักเงินนะเว้ย”

“เดี๋ยวมาเปิดร้านช่วยแต่เช้าเลยครับ” สองหนุ่มวัยใกล้เคียงรีบกอดคอกันไปขึ้นมอเตอร์ไซค์ของตัวเองแล้วขับออกจากร้าน ปล่อยให้ร่างหนามองตามพลางยิ้มขำ นึกถึงตัวเองในสมัยทำงานช่วงแรกเขาก็มาตรงเวลาและกลับตรงเวลาเช่นเดียวกัน ไม่สนว่างานจะเสร็จหรือไม่ขอเพียงได้กลับก็พอ

“น้ากลับเลยไหม” หันมาถามคนที่นั่งแทะไม้จิ้มฟันเล่น งานในอู่เสร็จแล้วแต่น้าไผ่ยังคงไม่กลับ น่าจะรอให้ถึงเวลาเลิกงาน

“ยังไม่ถึงเวลากลับเลย ทำช่วยมึงล่ะกัน” ทิ้งไม้จิ้มฟันแล้วเดินมาช่วยร่างสูงทำงานที่ยังไม่เสร็จ สองแรงแข็งขันน่าจะเสร็จเร็วกว่าทำคนเดียว งานไม่ยากเท่าไหร่ในแต่ละวัน สิ่งที่ยากคือการทำบัญชีและใกล้ถึงเวลาต้องยื่นภาษีทำให้คิดหนัก คงต้องจ้างคนมาทำแล้วเนื่องจากตนไม่ถนัดในด้านนี้จริงๆ

สมัยเรียนวิชาที่เกลียดก็คือคณิตศาสตร์ กระนั้นก็ยังถูกจับลงเรียนสายวิทย์-คณิตตามที่แม่บอก โชคดีที่เขามีคนช่วยติวพิเศษไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้จะผ่านช่วงยากลำบากในการเรียนแต่ละเทอมมาได้อย่างไร

คิดถึงช่วยมัธยมปลายก็ทำให้ใบหน้าของใครบางคนโผล่ขึ้นมาชวนหงุดหงิด จนต้องสะบัดศีรษะไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไป จะว่าโกรธก็ไม่ใช่เพราะเวลาผ่านมานานจนลืมเลือนความรู้สึกนั้นไปแล้ว จำฝังใจเพียงเรื่องเดียวคือถูกหักหลังจากคนที่รัก

ให้ความหวังว่าจะสร้างชีวิตร่วมกัน แล้วทิ้งไปไม่ไยดีเลยสักนิด พร้อมตามหน้าว่าเขาเป็นคนไม่มีอนาคต ซึ่งคำพูดเหล่านั้นคือแรงผลักดันให้ชัชชนถีบตัวเองจนได้ดี ตอกกลับใครบางคนที่ทิ้งเขาในวันนั้น ให้หล่อนได้รู้ว่าตัดสินใจผิดที่ทิ้งกันไป

“พี่ชัชน้าไผ่!” เสียงเรียกดังมาจากหน้าร้าน ทำให้คนที่สาละวนกับงานตรงหน้าต้องเหลียวมองพร้อมกัน ก่อนคิ้วหนาจะขมวดเล็กน้อยเพราะเห็นพนักงานที่บอกว่าจะกลับบ้าน แต่ตอนนี้กลับยิ้มหน้าแป้นอยู่ที่นี่

“อ้าว มึงกลับไปแล้วไม่ใช่เหรอ”

“กลับแล้ว แต่พอดีเจอลูกค้าเลยต้องพามาที่อู่ก่อน พี่ช่วยดูหน่อยสิว่ารถเขาเป็นอะไร...แต่เท่าที่ดูเบื้องต้นเหมือนว่าไดสตาร์ทจะพัง” จำต้องละมือจากงานที่ทำแล้วหันมาสนใจเวฟ รถของลูกค้าอีกสองคันยังไม่เสร็จ แต่คนตรงหน้าก็หางานมาให้กันทำอีกแล้ว ไม่รู้ว่าจะขอบคุณดีหรือเปล่า

เจ้าของร้านซ่อมรถพยักหน้าเป็นการรับทราบ แล้วถามข้อมูลนอกเหนือจากนั้นทันที อย่างไรมีลูกค้าเข้ามาก็ดีกว่าว่างงาน เพิ่งอยู่ในช่วงเริ่มต้นต้องทำให้ร้านเป็นที่รู้จักเสียก่อน เขาจึงค่อนข้างขยันในการโปรโมทร้านพอสมควร

“รถรุ่นไหน” เช็ดมือเพื่อให้รอยดำหายไปแล้วเดินมาเท้าสะเอวตรงหน้ารุ่นน้อง เจ้าตัวทำท่าครุ่นคิดไปครู่หนึ่งเพราะไม่ค่อยมั่นใจกับคำตอบเท่าไหร่

“Mazda…น่าจะประมาณปี 2533 หรือมากน้อยกว่านั้นก็ไม่มั่นใจเหมือนกัน” ฟังจบก็ถอนหายใจอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่ารุ่นของรถค่อนข้างเก่าพอสมควร ทั้งยังไม่ได้สต็อกของไว้อีกต่างหาก คงต้องสั่งจากที่อื่นและใช้เวลาหลายวัน ไม่รู้เจ้าของรถจะว่าอย่างไร รีบในการใช้งานหรือเปล่าคงต้องตกลงกันอีกที

“ไม่มีของ แต่เอามาดูก่อนก็ได้ค่อยสั่ง แล้วจะเอามายังไงให้เอารถไปลากไหม อยู่ไกลหรือเปล่า” รีบถามพลางชะเง้อมอง คิดจะไปช่วยลากรถกลับโดนอีกฝ่ายส่ายหน้าเป็นการปฏิเสธ ก่อนจะเป็นฝ่ายวิ่งไปที่หน้าร้านพร้อมชี้ไปยังคนที่ช่วยเข็นรถมาจนถึงร้านเพราะระยะทางที่รถของลูกค้าเสียไม่ค่อยไกลจากร้านเท่าไหร่

ร่างสูงเดินไปล้างมือให้สะอาดเพื่อเตรียมดูรถที่กำลังจะเข้ามาในร้าน ขณะที่น้าไผ่ก็เดินไปรอด้านหน้าเช่นเดียวกัน เสียงของเวฟดังขึ้นพลางโบกมือให้รุ่นน้องที่กำลังเข็นรถจนเหงื่อโทรมกาย ตอนเย็นถึงแดดจะไม่แรงแต่ก็ร้อนเอาเรื่องเหมือนกัน ทั้งรถที่ค่อนข้างเข็นยากชวนอารมณ์เสียอีก ถึงจะมีเจ้าของรถช่วยเข็นอีกแรงก็ดูเหมือนว่าจะไม่ทำให้ง่ายขึ้นสักนิด

“ไอ้เวย์กำลังเข็นมาครับ นั่นไงมาพอดีเลยพี่” ร่างสูงชะโงกมามองแล้วเดินไปเช็ดมือที่เปียกให้แห้ง

ระหว่างนั้นรถยนต์ก็เข้ามาจอดหน้าร้านพอดี โดยได้ยินเสียงของเวย์ดังก้องด้วยความเหนื่อย ไม่วายหันไปมองรุ่นพี่คนสนิทที่รีบวิ่งมาร้านก่อนไม่ช่วยกันเข็นสักนิดปล่อยให้ตนเหนื่อยอยู่คนเดียว

“มาช่วยหน่อยครับ!”

คนที่เหลือรีบเข้ามาให้ความช่วยเหลือ ขณะที่ชัชชนค่อยเดินตามมาอย่างเชื่องช้า ก่อนฝีเท้าจะลดความเร็วลงแล้วหยุดยืนนิ่งยามได้สบแววตาที่คุ้นเคยผู้เป็นเจ้าของรถยนต์คันเก่า หล่อนค่อยเดินห่างจากรถกระบะของตัวเองพลางกระชับกระเป๋าสะพายข้าง เหมือนมือไม้จะเกะกะไปหมดไม่รู้ว่าควรวางไว้ตรงไหน

ลมหายใจติดขัดเมื่อสบตากับเจ้าของอู่ซ่อมรถยนต์ นึกก่นด่าตัวเองเหมือนกันที่ไม่ยอมขับมอเตอร์ไซค์มารับลูกสาว แค่จอดซื้อน้ำแปบเดียวพอกลับมาที่รถยนต์ก็สตาร์ทไม่ติดแล้ว ระหว่างที่ยืนหงุดหงิดก็พบวัยรุ่นชายทั้งสองเข้ามาถามไถ่ก่อนอาสาพามาที่นี่โดยหล่อนไม่อาจปฏิเสธได้

ไม่คิดว่าเราจะได้เจอกันอีกครั้งในสถานการณ์เช่นนี้ อึดอัดจนพูดอะไรไม่ออก ยิ่งเห็นสายตาของเขาก็ทำให้เธอเป็นใบ้ไปชั่วขณะ ก่อนสูดลมหายใจเข้าปอดเรียกความกล้าให้ตัวเอง มองตามชัชชนที่เดินไปสมทบกับคนอื่นเพื่อดูอาการรถคันเก่าของหล่อน

“เอ่อ คือ คือว่าจอดอยู่ดีๆ จะสตาร์ทรถก็ ก็ไม่ติดแล้วค่ะ” พยายามอธิบายด้วยเสียงกระท่อนกระแท่น

เขาไม่ได้ตอบรับหล่อนกลับเดินมาเปิดกระโปรงรถเพื่อดูว่าสาเหตุเป็นเพราะอะไรกันแน่ ขณะเดียวกันก็ฟังสิ่งที่เวย์กำลังบอกถึงการสันนิษฐานของตัวเอง

“ผมว่าน่าจะเป็นที่ไดสตาร์ทพัง พี่ชัชลองดูว่าใช่หรือเปล่า ฟังจากเสียงแล้วคิดว่าต้องใช่แน่เลย”

จากนั้นเหล่าช่างซ่อมก็ช่วยกันฟังเสียงรถยนต์ที่แปลกกว่าปกติยามสตาร์ท ร่างบางยืนมองอยู่ห่างๆ พลางเม้มปากแน่นเมื่อเห็นว่าชัชชนไม่ได้สนใจหล่อนแม้แต่น้อย เขาเมินกันอย่างเห็นได้ชัดจนเธอทำตัวไม่ถูก อยากมุดดินหายไปเสียเดี๋ยวนี้ก็ทำไม่ได้ต้องขอความช่วยเหลือเรื่องรถ

เวลาเปลี่ยนทุกอย่างก็เปลี่ยน จากคนที่เคยปกป้องดูแลเป็นดั่งหลุมหลบภัยให้ความปลอดภัยกลับแปรเปลี่ยนเป็นความห่างเหินที่เต็มไปด้วยความเย็นชา หญิงสาวต้องยอมรับสภาพเพราะตัวเองเป็นฝ่ายทำให้เขาเปลี่ยนไป

คนที่เลิกรากันแล้วยังต้องการอะไรอีก ความอ่อนโยนกับแววตารักใคร่อย่างนั้นหรือ

แค่เขาไม่ไล่เธอออกจากร้านก็ดีเท่าไหร่แล้ว ไม่อยากหวังสูงมากเกินไป ทั้งยังเลือกอยู่กับปัจจุบันที่เรากลายเป็นคนแปลกหน้าต่อกันไปแล้ว

“อืม” ฟังเสียงรถแล้วก็พยักหน้า

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel