บท
ตั้งค่า

๑ ชีวิตไม่เป็นอย่างฝัน (๔)

“แม่รู้ข่าวเยอะจัง” รีบเปลี่ยนเรื่องรวดเร็ว

“สายแม่เยอะ ป้าๆ น้าๆ ที่เอาเสื้อผ้ามาเย็บนั่นแหละเล่าให้ฟัง” ฟังไปด้วยก็ยิ้มกับความสุขเล็กน้อยของมารดา ตั้งแต่จำความได้ก็มีแค่ยายกับแม่เป็นที่พึ่งทางใจ เพราะพ่อมักจะเข้มงวดกับเธอเสมอทั้งยังชอบเปรียบเทียบตนกับพี่ชายตลอดเวลาจนจำไม่ได้ว่าเคยมีความทรงจำที่ดีกับคนเป็นพ่อ

“เขาจะรักจะเลิกกันก็ไม่เกี่ยวกับลิ เราไม่ได้ติดต่อกันมาสิบปีแล้วนะแม่...ไม่มีอะไรต้องพูดคุยกันสักหน่อย” บอกไปอย่างนั้นแม้ใจจะไม่เคยลืมชายหนุ่มเลยสักครั้ง เธอก็ไม่เข้าใจกับความรักมั่นของตัวเองเช่นเดียวกัน

อาจเพราะก่อนหน้านี้เจอผู้ชายไม่ดี ทำให้รักแรกที่แสนดีฝังลึกอยู่ในใจไม่อาจลืมเลือนได้

“ยังรักเขาไหม” เป็นคำถามที่คนฟังทำได้เพียงยิ้มเจื่อน ถอนหายใจพลางเหม่อมองไปตะวันที่ใกล้ลับฟ้า นภาถูกทาด้วยสีส้มกับดวงตะวันซึ่งอ่อนแสงลงจนสามารถมองได้ด้วยตาเปล่า กระพริบตาปริบค่อยหันมามองแม่

“มันนานจนจำไม่ได้แล้ว ตอนนี้เอาชีวิตตัวเองกับลูกให้รอดก่อนดีกว่า ไม่อยากไปคิดเรื่องความรักให้ปวดหัว อยู่แบบนี้ก็มีความสุขดี” พูดอย่างปลงตกกับความรักที่ไกลเกินเอื้อม เราเดินมาไกลเกินกว่าจะกลับไปนับหนึ่งใหม่ด้วยกัน ยังจดจำสายตาว่างเปล่าของชัชชนยามมองมาได้เป็นอย่างดี

เขาคงโทษที่เธอไม่ยอมตามไปวันนั้น แล้วยังปฏิเสธอย่างไรเยื่อใยอีกต่างหาก ความสัมพันธ์ของเราขาดสะบั้นลงไม่มีวันประกอบกลับมาให้เป็นเหมือนเดิมได้อีกต่อไป

“แต่ถ้าบัวมีพ่อ...” ดวงตากลมสั่นไหวมากกว่าเดิมเมื่อมารดาเอ่ยถึงเรื่องนี้ หล่อนรีบดักทางอย่างรวดเร็วไม่อยากเอ่ยถึงอีก

“อีกไม่นานตะวันจะตกดินแล้วแม่รีบกลับดีไหม เดี๋ยวจะปั่นจักรยานลำบาก” ไม่อยากถูกซักไซ้อีกต่อไป ทั้งยังเห็นว่าบุตรสาวกินไก่ทอดจนหมดเกรงว่าจะเดินออกมาแล้วได้ยินเรื่องที่ไม่ควรได้ยิน ช่วงนี้ลูกสาวยิ่งช่างสงสัยอยู่ด้วย หล่อนกลัวว่าหากได้ยินเพียงนิดจะไล่บี้ถามจนตอบไม่ถูก

“อืม งั้นแม่กลับก่อนนะ แล้วจะมาหาอีก”

“จ้ะ” เดินไปส่งนางเทียนหยดถึงหน้าบ้านก่อนโบกมือลาค่อยปิดรั้วแล้วกลับมามองเจ้าสี่ขาที่นอนเหยียดกันอย่างสบายอุราหลังกินอาหารเม็ดจนอิ่ม การมีสุนัขอยู่ด้วยทำให้เธอเบาใจไปได้มากพอสมควร อย่างไรบ้านก็มีแค่ผู้หญิงสองคน ไม่รู้จะมีคนประสงค์ร้ายเข้ามาหรือเปล่า

อย่างน้อยสุนัขเหล่านี้ก็ผ่านการฝึกมาแล้ว คงช่วยพวกเขาได้บ้างหากมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นจริง

“แม่เป็นอะไร ทำไมทำหน้าเครียด” นั่งรับประทานอาหารด้วยกันที่แคร่โดยกางโต๊ะเล็กไว้เพื่อสะดวกในการกินไม่ต้องก้มเงยให้เมื่อย ลูกสาวปั้นข้าวเหนียวกินกับเนื้อทอดและลาบอย่างชำนาญไม่มีอาการเผ็ดสักนิด เคี้ยวเต็มปากจนเธอนึกเอ็นดู

ก่อนใบหน้าจะกลับมาเคร่งขรึมอีกครั้งยามคิดว่าตัวเองต้องเผชิญหน้ากับอดีตคนรักที่ห่างหายไปนานหลายปี แต่ความจริงคงไม่เจอกันหรอกถึงจะอยู่หมู่บ้านเดียวกันแต่หล่อนปลีกตัวออกมาอยู่ข้างนอกไม่สุงสิงกับใครแทบไม่มีเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงด้วยซ้ำ

ถ้าจะเจอกันก็คงแค่ผ่านหน้าบ้านชายหนุ่มตอนไปส่งลูกที่โรงเรียนเท่านั้น แค่คิดหัวใจก็สั่นไหวแรงขึ้นจนต้องรีบดื่มน้ำกับความร้อนทั่วโพรงอก ทำเหมือนสาวน้อยแรกรักไปได้ทั้งที่อีกไม่กี่ปีก็จะสามสิบแล้ว ไม่คิดเลยว่าเวลาจะผ่านไปเร็วแบบนี้

“อยากมีพ่อกับเขาหรือเปล่า” ตัดสินใจถามตามความจริงแล้วจ้องใบหน้ากลมนิ่ง เคยถามเรื่องนี้บ่อยครั้งและคำตอบก็เป็นเหมือนเดิมแทบทุกครั้ง แต่คราวนี้ต่างออกไปเพราะเธอกำลังชั่งใจบางอย่างซึ่งค่อนข้างสำคัญและอาจทำให้ชีวิตของเราสองแม่ลูกเปลี่ยนไป

“ไม่อยาก มีพ่อทำไมก็ไม่รู้ มีแค่แม่คนเดียวก็พอแล้ว” จากที่กินอาหารอร่อยแย้มยิ้มมีความสุขก็หน้าบึ้งทันที

รู้ว่าใครเป็นพ่อแต่ผู้ชายคนนั้นไม่เคยเหลียวแลกันเลยสักครั้ง ทั้งยังมีครอบครัวใหม่แล้วมีลูกสาวที่อายุน้อยกว่าตนแค่หนึ่งปีมาเรียนที่เดียวกัน มาส่งลูกคนเล็กได้แต่ไม่เคยจะมาหากันเลยสักครั้ง ไม่มีพ่อยังจะดีซะกว่า

“จริงเหรอ ไม่อยากเจอพ่อบ้างหรือไง” ยังคงถามขณะที่ลูกสาวกินข้าวเหนียวในจานใกล้หมดแล้ว น้ำหนักเริ่มมากทำให้ต้องจำกัดปริมาณซึ่งตอนแรกหนูน้อยก็งอแง แต่บัดนี้เริ่มมีลูกล่อลูกชนบ้างแล้ว มักจะใช้ลูกอ้อนเพื่อขอข้าวเพิ่มเสมอ

“เขาไม่อยากเจอหนู แล้วทำไมหนูต้องอยากเจอเขาด้วยล่ะ ไม่เห็นจะอยากเจอเลยสักนิด” บอกน้ำเสียงเด็ดขาดจนเธอนึกสงสารลูกสาว เอื้อมมือไปลูบผมนุ่มก่อนจ้องเข้าไปในดวงตาหวานที่ถอดแบบออกมาจากคนเป็นแม่

“แล้วหนูก็เป็นลูกคนเดียวไม่มีน้องที่ไหน ไม่มีพ่อด้วย...หนูมีแค่แม่มะลิของหนูก็พอแล้ว ไม่เอาคนอื่นหรอก”

บอกวาจาฉะฉานผ่านการคิดมาอย่างดี เธอยิ้มกว้างเมื่อได้ยินเช่นนั้นเพราะเห็นว่าลูกสาวมีภูมิคุ้มกันในเรื่องนี้ จึงไม่คิดซักไซ้ไล่เรียงอะไรอีก

เรื่องในอดีตก็ปล่อยให้มันผ่านไป อย่ารื้อฟื้นเลยดีกว่า...

“เอาข้าวอีกไหม”

“เอาจ้ะ!” รุ่นนี้ไม่มีปฏิเสธอยู่แล้ว เธอจึงเพิ่มข้าวเหนียวให้ลูกสาวมากกว่าเดิมอีกหน่อย

“กินเก่งแบบนี้แม่จะเลี้ยงไหวหรือเปล่านะ” หยอกล้อกันเป็นปกติ เด็กหญิงจึงรีบเคี้ยวข้าวแล้วกลืนลงคอบอกเสียงร่าเริง

“เดี๋ยวหนูทำงานช่วยแม่หาเลี้ยงตัวเองด้วย” หญิงต่างวัยทั้งสองพูดคุยกันในมื้ออาหารอย่างมีความสุข จากนั้นจึงช่วยกันเก็บล้างจานชามแล้วให้อาหารเจ้าด่างและเจ้าเหมียวก่อนปิดประตูครัวล็อคให้สนิทค่อยเข้านอน

เตียงขนาดหกฟุตวางเคียงข้างกับเตียงขนาดสามฟุตของบุตรสาวที่นอนหลับไม่รู้เรื่อง ปล่อยให้คนเป็นแม่มานั่งมองพระจันทร์ที่ริมหน้าต่าง ก่อนลดสายตาไปมองเงาของพระจันทร์ที่ส่องสว่างบนผืนน้ำที่มีดอกบัวอยู่เต็มสระ

ทำให้หวนนึกถึงเรื่องราวในอดีตและเป็นที่มาของชื่อเด็กหญิงจงกลณีซึ่งแปลว่าบัว…

“ถ้ามีลูกจะตั้งชื่อลูกว่าอะไร”

คำถามที่ฝ่ายหญิงเป็นคนเอ่ยขณะนั่งกอดแขนแฟนหนุ่มอยู่ริมสระ หลังเลิกเรียนพวกเขามักจะมานั่งเล่นที่นี่เพราะปลอดจากสายตาของผู้คน สามารถพูดคุยกันได้โดยไม่ต้องระวังว่าใครจะเอาเรื่องของเราไปบอกบุพการีหล่อน

“หือ อีกตั้งนานกว่าจะมี ทำไมถึงถามแบบนี้ล่ะ” เขาหันมามองด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรักและหวงแหนคนข้างกายสุดดวงใจ

“ก็ถามเผื่อไว้ในอนาคตไง ยังไงเราก็ต้องมีลูกด้วยกันอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ” ได้ยินอย่างนั้นก็ยิ้มทันที อนาคตข้างหน้าก็ยังมีเราสองคนอยู่ด้วยกัน จับมือบางที่กอดแขนตนเอาไว้ แล้วมองสระบัวสีชมพูด้วยแววตาเป็นประกาย

“ชื่อ...บัวดีไหม” เธอยืดกายตรงแล้วหันมามองเขา นึกสงสัยว่าทำไมอีกฝ่ายจึงเลือกชื่อนี้

“หือ ทำไมชื่อบัว ถ้าเป็นผู้ชายก็ชื่อบัวเหรอ”

“เราเจอกันครั้งแรกที่สระบัวไง ถ้าเป็นผู้ชายก็ชื่อก้านแล้วเราค่อยทำอีกคนให้ชื่อบัว” ปากอวบอิ่มยิ้มกว้างคิดถึงครั้งแรกที่ได้พบกัน

เธอกำลังเก็บดอกบัวเพื่อไปไหว้พระแล้วเขาก็เดินเล่นมาพบกันพอดี เพียงแค่สบตาพลันหัวใจก็เต้นแรง เดินผ่านกันไปโดยไม่ได้ทัก

เจอกันอีกครั้งก็ที่ห้องเรียน เขาคือเด็กใหม่ทีเพิ่งย้ายมา เป็นที่สนใจของผู้หญิงในโรงเรียนเป็นอย่างมากกับหน้าตาหล่อเหลาของอีกฝ่าย

กระทั่งเธอก็แอบเมียงมองแต่ก็พยายามสงวนท่าทีเสมอ สุดท้ายก็หนีใจตัวเองไม่พ้นทำให้เราสองคนได้คบกัน

รักแรก คนแรก...แล้วอย่างนี้จะลืมได้ยังไง

“อืม งั้นตั้งชื่อลูกของเราว่าก้านบัว...” ตกลงกันเรียบร้อยและเธอก็ทำตามสิ่งที่เราพูดกันแล้ว

ค่อยหันมามองลูกสาวที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียง เด็กหญิงที่เกิดมาจากความรักของเราสองคน...

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel