ตอนที่3
บ้านหลังใหญ่ตระการตาราวกับคฤหาสน์ที่อยู่ตรงหน้าทำให้เด็กสาววัยสิบห้าเบิกกว้างด้วยความตกใจก่อนจะยกมือขยี้ตาหลายๆ ที เธอเคยเห็นแค่ในละครจึงไม่อยากจะเชื่อว่าจะมีบ้านหลังใหญ่แบบนี้อยู่จริง
"มะ...แม่ นี่บ้านคนจริงๆ เหรอจ๊ะ" เด็กสาวเอ่ยถามผู้เป็นแม่อย่างตะกุกตะกักเพราะยังตะลึงกับบ้านหลังโตไม่หาย
"ก็เออน่ะสิ ไม่ใช่บ้านคนแล้วจะให้เป็นบ้านใคร" แขไขแม่เลี้ยงเดี่ยวที่หอบหิ้วลูกสาวมาจากต่างจังหวัดเพื่อมาทำงานเป็นแม่บ้านตามคำแนะนำของรุ่นพี่ที่รู้จัก
เขมิกาหรือเขมที่ติดสอยห้อยตามแม่มาถึงเมืองหลวงก็ได้พบเจอกับความตื่นตาตื่นใจหลายสิ่ง เธอเป็นเพียงเด็กต่างจังหวัดที่เพิ่งจบมัธยมต้นก็ต้องหยุดเรียนเนื่องจากไม่มีเงินเรียนต่อ ทุนการศึกษาของโรงเรียนก็มีถึงแค่มัธยมต้นเท่านั้น
หลังจากเรียนจบแม่ของเธอก็ลากเธอเข้าเมืองหลวงเพื่อหางานทำ เพราะญาติพี่น้องที่ต่างจังหวัดไม่รับดูแลเขมิกาต่อทุกคนหาว่าเธอเป็นภาระ ในเมื่อไม่มีใครต้องการเขมิกาจึงต้องระเห็จติดสอยห้อยตามแม่มาด้วย
"พี่ดวง สวัสดีจ้ะ" แขไขยกมือไหว้ดวงดาวรุ่นพี่คนรู้จักที่แนะนำเธอให้มาสมัครเป็นแม่บ้านที่บ้านหลังนี้ หรือจะเรียกอีกแบบคือเป็นคนรับใช้ในบ้านคนรวย
"อ้าวไหนเอ็งว่าจะมาคนเดียวไง แล้วนี่พาเด็กที่ไหนมาอีกล่ะเนี่ย" ดวงดาวชี้ไปทางเขมิกาที่ยืนหลบอยู่ด้านหลังผู้เป็นแม่
"นี่ลูกสาวฉันเองจ้ะพี่ มันอายุสิบห้าแล้วทำงานทำการได้แล้ว พี่ช่วยฝากมันเข้าทำงานอีกคนได้ไหมจ๊ะ" แขไขขอร้องให้คนตรงหน้าช่วยให้ลูกสาวได้ทำงานด้วยอีกคน ไม่เช่นนั้นเธอคงต้องส่งเขมิกากลับไปอยู่ต่างจังหวัดคนเดียว
"อืมๆ เดี๋ยวจะลองเรียนคุณท่านให้ละกัน แต่ปกติที่บ้านนี้เขารับคนอายุไม่ต่ำกว่าสิบแปดนะ ว่าแต่ชื่ออะไรล่ะนังหนู"
"หนูชื่อเขมจ้ะ" เสียงหวานตอบเสียงดังฉะฉาน เขมิกาส่งยิ้มหวานให้เพื่อนแม่เพื่อหวังให้อีกคนเอ็นดู
"มาๆ ตามมาทั้งแม่ทั้งลูกเลย"
"จ้ะๆ" แขไขหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าใบใหญ่ที่ใส่เสื้อผ้าของตนกับลูกสาวเอาไว้แล้วเดินตามดวงดาวไป
เมื่อเข้ามาด้านในบ้านหลังใหญ่ เขมิกาก็ยิ่งตะลึงหนักกว่าเดิม เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นเป็นสีทองอร่ามราวกับเคลือบด้วยทองคำ ของทุกชิ้นดูมีมูลค่าเกินกว่าที่คนอย่างเธอจะชดใช้ได้ไหว เธอเลยไม่กล้าแม้แต่จะเอื้อมมือไปจับต้องอะไรสักอย่าง
"เก็บกระเป๋าพร้อมแล้วใช่ไหมลูก" เสียงอ่อนโยนของใครบางคนดังขึ้นเรียกความสนใจของเขมิกาได้ไม่น้อย
"รอตรงนี้ก่อน ตอนนี้พวกคุณๆ กำลังคุยกันอยู่"
"จ้ะพี่" แขไขไม่ถามไถ่สิ่งใดต่อ เธอพยายามวางตัวให้ดีเพื่อที่จะได้ทำงานในบ้านหลังนี้
เขมิกาชะโงกหน้าแอบดูคนที่อยู่ด้านในห้องนั่งเล่นกว้าง แต่เพราะบ้านหลังนี้ใหญ่เกินไปเธอเลยมองจากด้านนอกไม่เห็น
"ดวง มีอะไรหรือเปล่า" คุณหญิงสุพิชขาผู้เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้เอ่ยเรียกแม่บ้านคนเก่าแก่ที่ทำท่าลับๆ ล่อๆ อยู่ด้านนอกห้อง
"ดวงจะพาคนที่ดวงเคยบอกมาแนะนำให้คุณท่านรู้จักน่ะค่ะ" ดวงดาวก้าวขาออกไปให้ท่านเห็นหน้าก่อนจะกวักมือเรียกแขไขให้ขยับมาใกล้ๆ
"ยังไม่ใช่เวลา ไม่เห็นหรือไงว่าพวกฉันทำอะไรอยู่" คุณชนิดาทำหน้าไม่สบอารมณ์ที่คนรับใช้เข้ามาขัดจังหวะการสนทนาของพวกเธอ
"ขอโทษค่ะคุณผู้หญิง"
"เดี๋ยว ไหนๆ ก็มาแล้วเข้ามาก่อนสิ" คุณหญิงสุพิชชาเป็นคนเอ่ยปากเรียกด้วยตนเองยิ่งทำให้ลูกสะใภ้ไม่พอใจเพราะรู้สึกเหมือนโดนแม่สามีหักหน้า
"มานี่สิเร็วๆ" ดวงดาวเรียกสองแม่ลูกให้เข้ามาด้านในห้องนั่งเล่นใหญ่ เขมิกาเดินตามติดผู้เป็นแม่ไม่ห่างด้วยความประหม่า
"ไหนทีแรกบอกว่าคนเดียวไง แล้วทำไมตอนนี้ถึงมีสองคนล่ะ"
"นี่ลูกสาวดิฉันเองค่ะคุณท่าน ชื่อเขมอายุสิบห้าแล้วสามารถทำงานได้ทุกอย่างเลยค่ะคุณท่าน" แขไขรีบแนะนำลูกสาวแสนซื่อบื้อของตนเองอย่างดิบดี
"อายุสิบห้า? ไม่เรียนหนังสือหรือไงกัน"
"คนบ้านนอกอย่างพวกเราจบแค่มอสามก็ถือว่าสูงแล้วค่ะ"
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบหลังจากที่แขไขเอ่ยออกมา เขมิกาที่นั่งก้มหน้าค่อยๆ เงยขึ้นอย่างกล้าๆ กลัวๆ ดวงตาพลันสบเข้ากับชายหนุ่มที่ดูโตกว่าเธอหลายปีด้วยความบังเอิญ เธอจึงรีบก้มหน้างุดทันทีที่เห็นใบหน้าหล่อคมคายกับบุคลิกที่สมกับเป็นทายาทตระกูลใหญ่
ตอนอยู่ต่างจังหวัดเขมิกาไม่เคยเจอคนที่หน้าตาดีเช่นนี้มาก่อนเลยทำตัวไม่ถูกที่เผลอไปสบตากับเขา ชลากรมองเด็กสาวที่ก้มหน้าอยู่กับพื้นแล้วได้แต่ส่ายหน้าน้อยๆ นึกสงสารเวทนาที่เด็กอายุแค่สิบห้าปีแต่กลับไม่ได้เรียนต่อเพียงเพราะผู้เป็นแม่ไม่มีเงินส่งเสีย
"คุณแม่คะ คนรับใช้ในบ้านเราก็มีเยอะแล้วนะคะ ถ้าเอาคนที่มีลูกติดแบบนี้มาจะเปลืองค่าจ้างเปล่าๆ นะคะ"
คุณชนิดาเสนอความเห็นกับแม่ของสามี เธอรู้สึกไม่ค่อยถูกชะตากับสองแม่ลูกคู่นี้นักไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่สัญชาติญาณรู้สึกว่าในอนาคตแม่ลูกคู่นี้ต้องสร้างปัญหาให้ครอบครัวเธออย่างแน่นอน
"มาจากจังหวัดไหนกันล่ะ" คุณหญิงสุพิชชาไม่ได้สนใจคำของลูกสะใภ้เลยแม้แต่น้อย แต่กลับหันไปถามสองแม่ลูกด้วยน้ำเสียงอ่อโยนแทน
"มหาสารคามค่ะคุณท่าน"
"มาไกลเหมือนกันนะ แต่ฉันจะจ้างแค่คนที่อายุสิบแปดไปแล้วด้วยสิ แล้วแม่หนูคนนี้จะทำยังไงดีล่ะ" คุณหญิงสุพิชชารู้สึกสงสารหากไม่รับสองแม่ลูกเข้าทำงาน แต่บ้านของเธอรับคนที่มีอายุสิบแปดปีไปแล้วเท่านั้น
เขมิกาได้แต่นั่งก้มหน้าคิดว่าถ้าแม่ไม่ได้ทำงานที่นี่ก็เพราะเธอเป็นตัวถ่วงทำให้พาลนึกถึงคำพูดของเหล่าญาติๆ ที่บอกว่าเธอเป็นได้แค่ตัวภาระ
"งั้นเอาแบบนี้ไหมล่ะ ฉันจะส่งให้แม่หนูนี่เรียนให้จบมอหก หลังจากนั้นพออายุสิบแปดก็จะให้เงินเดือนเท่าทุกคน ส่วนระหว่างนี้ก็ทำงานช่วยแม่ไปก่อนแล้วกัน ถ้าขาดเหลือเรื่องเรียนก็มาเบิกที่ฉัน เข้าใจไหม"
ด้วยความไม่อยากผิดคำพูดของตนเอง คุณหญิงสุพิชชาจึงเสนอว่าในระหว่างนี้จะส่งเสียเขมิกาให้เรียนจบมัธยมปลายหรือจนถึงอายุสิบแปดเสียก่อนถึงจะได้รับเงินเดือนเท่าคนอื่นๆ เพื่อไม่ให้มีปัญหาเกิดขึ้นในภายหลัง
"ขอบคุณค่ะคุณท่าน ขอบคุณมากค่ะ" แขไขกดหัวลูกสาวให้หมอบลงเพื่อขอบคุณที่คุณท่านเมตตา เขมิกาที่ค่อนข้างซื่อก็หมอบตัวลงจนศีรษะแทบติดกับพื้น ชลากรที่พอเห็นก็ได้แต่ส่ายหน้าก่อนจะลุกเดินออกไป
