บทที่ 3 หญิงเสียสติ
ท้ายที่สุดฟางเซี่ยนเซี่ยนก็ยินยอมสงบสติและคุยกับอีกฝ่ายอย่างสันติเสียที ชายหนุ่มหย่อนกายลงนั่งตรงเก้าอี้ไม้ฝั่งตรงข้าม จากนั้นจึงเอ่ยปากเชื้อเชิญ “แม่นาง เจ้ามานั่งนี่สิ”
ฟางเซี่ยนเซี่ยนยังคงลังเลพลางกวาดตามองโดยรอบ ที่แห่งนี้กลิ่นอายไม่คล้ายยุคสมัยที่จากมาเลยสักนิด อกซ้ายของฟางเซี่ยนเซี่ยนกระเพื่อมถี่ประหนึ่งสายน้ำเกิดระลอกคลื่น
ข้าวของทุกอย่างดูเก่าคร่ำคร่า ทั้งการแต่งกายของพวกเขาก็ล้าสมัยเฉกเช่นกำลังถ่ายทำซีรีส์ย้อนยุค
เสียงทุ้มเอ่ยซ้ำ “เจ้าไม่วางใจหรือ”
ฟางเซี่ยนเซี่ยนสะดุ้งแผ่ว “เปล่า เพียงแต่ฉันมีข้อสงสัย”
ชายหนุ่มเลิกคิ้ว “สงสัยงั้นหรือ เจ้าอยากถามเรื่องใดกันเล่า”
“ที่นี่คือที่ไหนเหรอ”
ชายหนุ่มอมยิ้ม มือหยาบกร้านยกกาน้ำชาขึ้นรินลงถ้วยดินเผา “ที่นี่เป็นรังโจร แล้วข้าจำเป็นต้องบอกที่ตั้งแก่เจ้าด้วยหรือ”
นั่นสินะ เดี๋ยวลองคุยกับหมอนี่ดูแล้วกัน อย่างน้อย ๆ เขาก็เป็นประเภทโจรที่มีมโนธรรมอยู่บ้าง
“มัวยืนอ้ำอึ้ง หากเจ้าไม่มาข้าจะลากเจ้ามานั่งเดี๋ยวนี้”
“ฉันไป ฉันไป”
ร่างระหงสาวเท้าไปยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามชายหนุ่มทันควัน ฟางเซี่ยนเซี่ยนหย่อนกายลงนั่ง จากนั้นอีกฝ่ายก็เลื่อนถ้วยชาส่งให้
นัยน์ตาดอกท้อสังเกตไอระอุที่พวยพุ่งขึ้นมาก็ยิ่งประหวั่น ทุกอย่างมันเหนือความคาดหมายเกินไป มือเรียวค่อย ๆ เลื่อนเข้าไปด้านในสาบเสื้อ จากนั้นก็บิดเนื้อตรงแขนของตนอย่างแรงเสียจนใบหน้าเหยเก
ชายหนุ่มสังเกตเห็นความผิดปกติ “เจ้าเป็นอันใด มดกัดรึ”
ฟางเซี่ยนเซี่ยนทำท่าจะร้องไห้โฮ ที่เป็นเช่นนี้ไม่ใช่ว่าหญิงสาวหวาดกลัวเขา เพียงแต่คิดว่าตอนนี้ตนกำลังกลายมาเป็นผู้หญิงหลงยุค เดิมทีเคยอ่านเจอแต่ในนิยาย ใครจะรู้ว่ามันเกิดขึ้นกับตัวเองแล้วจริง ๆ
“ฮื่อ…นี่เราทะลุมิติมาเหรอเนี่ย แต่ว่าจะต้องมาเป็นเมียโจรเนี่ยนะ ปกติเขาทะลุมาก็เป็นนางเอกหรือไม่ก็นางร้ายกลายเป็นนางเอกไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงเป็นเมียโจรไปได้ ฮื่อ…”
ฟางเซี่ยนเซี่ยนกระจองอแง ชายหนุ่มสิ้นความอดทน เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นกระแทกถ้วยชาเสียงดังปัง ฟางเซี่ยนเซี่ยนสะดุ้งโหยง
“เจ้าหุบปาก พูดพล่ามเรื่องใดฟังไม่รู้เรื่อง อีกอย่างเมียโจรอะไร เห็นพวกข้าเป็นโจรก็มิได้กระทำเรื่องเลวทรามต่ำช้าเช่นเจ้าคิด”
ฟางเซี่ยนเซี่ยนสงบใจ เปลือกตาบางกะพริบถี่ “จะ…จริงนะ”
“อือ” ชายหนุ่มตอบส่ง ๆ จากนั้นเอ่ยต่อ “ดื่มได้แล้ว อากาศเย็นมาก ชานี่จะช่วยให้เจ้าอุ่นขึ้นบ้าง”
ฟางเซี่ยนเซี่ยนลดตามอง
เขาสังเกตเห็นความเป็นกังวลในแววตาของหญิงสาว “คิดว่าข้าจะวางยางั้นรึ เช่นนั้นก็ดูนี่”
มือหยาบกร้านยกถ้วยชากระดกดื่ม เขาเกรงว่าหญิงสาวยังคงหวาดระแวงก็เทชาลงถ้วยของตนอีกหน ไม่ทันได้ยกซดอีกครั้ง ฟางเซี่ยนเซี่ยนก็ยกถ้วยของตนเข้าปากทันใด
ชายหนุ่มมองตามท่าทางเงอะงะของหญิงสาวก็แค่นยิ้มบาง กระทั่งสังเกตลำคอขาวผ่องที่ขยับขึ้นลงตามจังหวะการกลืนจึงเร่งเบือนหน้าหนี
เสียงถ้วยชากระทบโต๊ะไม้ดังขึ้น เขาจึงผินหน้ากลับ “เจ้ามีนามว่าอะไร”
มือเรียวชี้เข้าหาตัวเอง ชายหนุ่มพยักหน้า
“อ้อ…เอ่อ…” ฟางเซี่ยนเซี่ยนเห็นว่าคำพูดคำจาของพวกเขาดูแปร่ง ๆ แต่อย่างน้อยตนก็ชอบอ่านนิยายจีนโบราณ ติดตามดูซีรีส์อยู่ตลอด จึงเลือกปฏิบัติตัวให้คล้อยตาม แม้เรื่องราวนั้นยังไม่ชัดเจน แต่บางทีที่แห่งนี้อาจเป็นโรงพยาบาลจิตเวชที่ใดสักแห่งก็ได้
เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม
“ข้า…ฟางเซี่ยนเซี่ยน จะเรียกเซี่ยนเซี่ยนก็ได้”
ชายหนุ่มนิ่วหน้า “เจ้าแซ่ฟางหรือ”
ฟางเซี่ยนเซี่ยนเริ่มประหม่า แต่แล้วก็เห็นเงาสะท้อนของตัวเองบนกระจกสีเหลืองทองอันเก่าคร่ำคร่า แม้เครื่องแต่งกายจะต่างออกไป แต่นี่เป็นใบหน้าของตัวเองไม่ผิดแน่ “ใช่ ข้าชื่อว่าฟางเซี่ยนเซี่ยน พี่ใหญ่ ท่านทำหน้าเช่นนี้ไม่เชื่อข้าหรือ”
สรรพนามที่เรียกอีกฝ่ายเปลี่ยนไปแล้ว การพูดเช่นนี้น่าจะเข้าพวกมากกว่า หากว่าทะลุมิติเข้ามาจริง ๆ น่าจะเอาตัวรอดจากรังโจรแห่งนี้ไปได้อีกสักระยะ
“พี่ใหญ่หรือ” ชายหนุ่มเลิกคิ้ว เขาจ้องแววตากระจ่างใสของหญิงสาวฝั่งตรงข้ามก็ขบขัน “ทีแรกข้าคิดว่าเจ้าจะกระจองอแงต่อเสียอีก เจ้าเป็นสตรีคนแรกที่กล้าเอ่ยปากเรียกข้าเช่นนี้ ก็ดี เรื่องแซ่ของเจ้าช่างเถิด บางทีเจ้าอาจใช้แซ่มารดา ข้าพูดถูกหรือไม่”
ฟางเซี่ยนเซี่ยนพยักหน้าหงึกหงัก
ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว ก็ตามใจเขาเพื่อเอาตัวรอดไปก่อน ฟางเซี่ยนเซี่ยนค่อย ๆ ตะล่อมถาม “พี่ใหญ่ แล้วถ้าหากท่านจับมาผิดตัวเล่า”
“จับรึ ใครจับเจ้า ตอนที่พวกข้าปล้นขบวนเจ้าสาวของเจ้า เจ้าก็ตกใจจนหมดสติไปเอง เดิมทีเจ้าหยุดหายใจไปแล้วด้วยซ้ำ หากไม่เพราะข้า เจ้าจะยังมีหน้ามานั่งหายใจทิ้งเช่นนี้รึ”
ฟางเซี่ยนเซี่ยนกะพริบตาถี่
นี่เราตายไปแล้วจริงน่ะเหรอ หรือว่าพอตายจากที่โลกนั้นก็เลยมาโผล่ที่นี่แทน
“ทำหน้างงเป็นไก่ตาแตก ดูเจ้าจะความจำเสื่อมเสียด้วย เอาล่ะในเมื่อเจ้าเรียกข้าว่าพี่ใหญ่ เช่นนั้นข้าก็จะไม่มากความ ไหน ๆ ก็ได้สติแล้ว ข้าจะส่งเจ้ากลับสกุลจี้”
ฟางเซี่ยนเซี่ยนไม่รู้จักใครเลย ในเมื่อตื่นขึ้นก็เห็นหน้าโจรเหล่านี้เป็นรายแรก เช่นนั้นก็ขอตั้งตัวที่นี่ไปก่อนแล้วกัน “พี่ใหญ่ ข้าไม่อยากกลับ ท่านรับข้าเป็นสมาชิกกลุ่มด้วยได้หรือไม่ ท่านจะให้ข้าทำอะไรข้าทำได้หมด ขึ้นเขาลงห้วยข้าก็ไม่หวั่น”
แค่ก แค่ก
ชายหนุ่มพ่นชาพรวด ตั้งแต่เป็นโจรมาเขาเคยเห็นแต่สตรีร้องไห้ขอชีวิต นึกไม่ถึงว่าสตรีตรงหน้าอยากผันตัวมาเป็นโจร
“เจ้ามีอุบายงั้นรึ”
“โธ่ ข้าจะมีอุบายใดเล่า ไม่เชื่อรึว่าข้าทำได้ทุกอย่าง ข้าจะบอกให้นะว่าข้าทำได้สากกะเบือยันเรือรบ”
“เอาล่ะ ๆ พอแล้ว เจ้าพักก่อนเถิด ไว้ดีขึ้นข้าจะมาถามเจ้าอีกครั้งว่ายังอยากอยู่ต่อจริงหรือไม่”
ฟางเซี่ยนเซี่ยนยิ้มกว้างไปจนถึงดวงตา “ขอบคุณเจ้าค่ะ”
ชายหนุ่มลุกยืนเต็มความสูง ก่อนแผ่นหลังกว้างจะพ้นธรณีทางเข้าจากไป เสียงทุ้มก็ดังขึ้น “ข้านามว่าย่วนเผิงเฟย”
ฟางเซี่ยนเซี่ยนหลุดจากภวังค์ ไม่ทันตอบกลับอีกฝ่ายก็อันตรธานหายไปเสียแล้ว
“ย่วนเผิงเฟย เหมือนจะคุ้น แต่ก็ได้แค่เหมือน”
ร่างระหงลุกพรวดพราดไปยืนจังก้าหน้ากระจก จากนั้นก็ตบหน้าตัวเองสองสามหนจนต้องแอบร้องเบาเพื่อระบายความเจ็บ
“โอ๊ย ไม่ได้ฝันเหรอเนี่ย มันเรื่องบ้าอะไรกัน”
ฟางเซี่ยนเซี่ยนมุ่งหน้าไปยังหน้าต่าง ทว่าหน้าต่างทุกบานนั้นเปิดไม่ออก พวกเขาลั่นดาลเอาไว้จากด้านนอก ฟางเซี่ยนเซี่ยนจึงเลือกแนบดวงตาเพื่อสำรวจบรรยากาศโดยรอบ แต่มองอย่างไรก็เห็นเพียงกองฟาง ป่าข้าวโพด และภูเขา กระทั่งย้ายสายตาไปมาจึงเห็นบรรดากองโจรกำลังจับกลุ่มทำบางอย่าง
“พวกเขากำลังทำอาหารเหรอ”
แต่แล้วฟางเซี่ยนเซี่ยนก็ต้องเบิกตากว้าง เมื่อเห็นเจ้าสัตว์ตัวน้อยที่น่าเวทนากำลังจะถูกชายฉกรรจ์หย่อนลงหม้อน้ำเดือด
นั่นมัน...
ฟางเซี่ยนเซี่ยนละทิ้งความหวาดกลัวไว้เบื้องหลัง เท้าเรียวก้าวฉึบฉับลงจากเรือนไม้ไผ่ จากนั้นก็ไปยืนจังก้าชี้นิ้วตะโกนเสียงดังสนั่น
“หยุดนะ!”
เหล่าชายฉกรรจ์ต่างหยุดชะงักเฉกเช่นช่วงเวลาหยุดหมุน สรรพเสียงโดยรอบพร้อมใจกันเงียบสงัด
ไม่นานก็มีเสียงทุ้มดังขึ้นทำลายบรรยากาศ “แม่นาง เจ้าเสียสติอีกแล้วรึ”
จู่ ๆ เหล่าโจรป่าก็พร้อมใจหัวเราะครืน มือที่หยุดงานเมื่อครู่ขยับกันต่อ
ฟางเซี่ยนเซี่ยนตาโต เมื่อชายคนนั้นกำลังจะหย่อนเจ้าตัวเล็กลงหม้ออีกครั้ง
“ข้าบอกให้หยุด หูหนวกกันหรือไง!”
