บทที่ 4 อาหารกระชับมิตร
กลิ่นหอมกรุ่นของอาหารโชยเข้าแตะปลายจมูก เสียงจอกกระทบกันสรวลเสดังขึ้นเป็นระยะ
“พี่ใหญ่ ท่านแน่ใจหรือว่าให้นางทำอาหารน่ะ แล้วถ้าหากนางวางยาพวกเราเล่าจะทำอย่างไร”
ไพ่นกกระจอกตัวสุดท้ายถูกหงายแนบโต๊ะ “ข้าชนะแล้ว”
“หา…พี่ใหญ่ชนะแล้ว ชนะอีกแล้วโธ่”
บรรดาลูกน้องต่างร้องโอดครวญ ไม่ว่าทำอย่างไรพวกเขาก็พ่ายแพ้ต่อลูกพี่ใหญ่ของตนเองอยู่เรื่อย
ย่วนเผิงเฟยขบขัน เขาดึงกระดาษสามสี่แผ่นที่ยังเหลือแปะใบหน้าของผู้แพ้ทีละคน และไม่ลืมตอบคำถามที่ค้างคาไว้ “นางไม่มีทางทำแน่”
“มาแล้วเจ้าค่ะ อาหารเลิศรส เชิญพวกท่านมาลองชิมดู”
เหล่าชายฉกรรจ์หลากหลายรูปร่างต่างกรูเข้าห้อมล้อมจานอาหารที่วางเรียงกันบนโต๊ะนับสิบ สายตาของทุกคนเป็นประกายลุกวาว
“อื้อฮือ…หอมมาก หอมจริง ๆ”
“ข้าขอชิมดูหน่อย”
เพียะ!
มือหยาบกร้านไม่ทันคว้าเจ้าขาแพะชิ้นโตก็ต้องหดกลับทันควัน เมื่อถูกสหายข้างกายฟาดจนต้องหน้ายู่
“ทำอะไรของเจ้า”
“เจ้าไม่กลัวว่านางจะวางยาพิษรึ”
ฟางเซี่ยนเซี่ยนหัวเราะคิกคัก “หากกลัวว่าข้าจะวางยา เช่นนั้นพวกท่านก็ไม่ต้องกิน”
ร่างระหงเดินไปดึงแขนเสื้อของย่วนเผิงเฟย “พี่ใหญ่ย่วนนั่งลงเถิด อาหารมื้อนี้ถือเสียว่าข้าทำเพื่อขอบคุณท่าน”
เสียงทุ้มประสานเสียง “หา…”
“มะ มะ เมื่อครู่นางเรียกพี่ใหญ่ย่วนรึ นี่พี่ใหญ่”
ทุกคนจับจ้องไปยังใบหน้าวสันต์ของชายหนุ่ม ถึงแม้เขารูปร่างสูงเพรียวมิได้กำยำเฉกเช่นเหล่าโจรทั่วไป ทว่าสัดส่วนได้รูปกลับมากไปด้วยมวลกล้ามเนื้อ อีกทั้งเขายังมีวรยุทธ์แข็งแกร่งมากด้วย ที่ได้เป็นพี่ใหญ่ค่ายโจรก็เพราะเอาชนะทุกคนได้โดยไม่กะพริบตา
ไม่ทันคลายข้อข้องใจของทุกฝ่าย ฟางเซี่ยนเซี่ยนก็กดไหล่กว้างให้นั่งลงตรงเก้าอี้ไม้
“คุณหนูเช่นเจ้าก็รู้จักทำอาหารเช่นกันหรือ” ย่วนเผิงเฟยไม่อยากเชื่อ
ฟางเซี่ยนเซี่ยนยืดอกตรง จากนั้นเชิดหน้าด้วยความภาคภูมิ “แน่นอน เพราะข้าทำงานพาร์ตไทม์ที่ร้านอาหารอย่างไรเล่า เรื่องแค่นี้จิ๊บจ้อย ท่านชิมสิ ชิมเลย”
มือเรียวตักเนื้อจากจานตรงหน้าวางลงถ้วยชายหนุ่ม ย่วนเผิงเฟยหยิบตะเกียบอิดออด ดูเหมือนไม่ทันใจฟางเซี่ยนเซี่ยนเอาเสียเลย หญิงสาวจึงแย่งตะเกียบมาจากมือเขา จากนั้นก็คีบเนื้อชิ้นพอดีคำเข้าปากอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว
เหล่าคนมุงต่างผงะส่งเสียงอึงอลประหลาดใจ ไม่ทันโวยวายต่อว่า ริมฝีปากได้รูปก็ปรากฏรอยยิ้มจาง ๆ
“อร่อยมาก เจ้านี่คืออะไรงั้นรึ”
ฟางเซี่ยนเซี่ยนยิ้มกว้างจนตายิบหยี “พวกท่านคงไม่เคยกินล่ะสิ อันนี้เขาเรียกว่า ไก่ผัดถั่วลิสง”
จ๋ายชวนผู้ติดตามมือซ้ายของย่วนเผิงเฟยงุนงง “วันนี้พวกเรายังไม่ได้ไก่ป่ามาสักตัว แล้วเจ้าจะเอาเนื้อนี่มาได้อย่างไร”
“ข้าหาได้ก็แล้วกัน” ฟางเซี่ยนเซี่ยนขยิบตาหนึ่งฝั่ง แน่นอนว่ามิใช่เนื้อไก่จริง เดิมทีที่ร้านตอนทำพาร์ตไทม์จะต้องทำเมนูเจเมื่อถึงเทศกาลกินเจ ดังนั้นฟางเซี่ยนเซี่ยนจึงรู้วิธีแปรรูปอาหาร เนื้อไก่สุดอร่อยนี้ก็เป็นเพียงภาพลวงตาเพราะว่ามันทำมาจากเห็ด
ย่วนเผิงเฟยไม่สนใจแล้ว ตอนนี้เขาเองก็หิวมาก คีบอาหารจานโน้นจานนี้เข้าปาก เล่นเอาทุกคนต่างกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ทว่ากลับยังมีท่าทีกล้า ๆ กลัว ๆ
ฟางเซี่ยนเซี่ยนสังเกตสีหน้าของแต่ละคนก็ยิ่งขบขัน จากนั้นแสร้งกล่าวเสียงดัง “กินอาหารที่ข้าทำแล้ว ก็ต้องเรียกข้าว่าน้องรองใช่หรือไม่”
แค่ก แค่ก
ย่วนเผิงเฟยสำลัก “นี่เจ้าทำดีหวังผลเองรึ อีกอย่างหากเจ้าอยากเข้าร่วมกลุ่มพวกเราต้องเป็นน้องเล็กต่างหาก”
ฟางเซี่ยนเซี่ยน “ชิ ข้าจะเป็นน้องรอง น้องเล็กอ่อนแอ ไม่อย่างนั้นท่านก็ให้ข้าเป็นพี่ใหญ่”
“เจ้านี่มัน…”
“พี่ใหญ่!!” ไม่ทันขาดคำเสียงเรียกพี่ใหญ่ก็ประสานกันดังกึกก้อง เพราะตอนนี้ทุกคนต่างลงไปนั่งละเลงอาหารที่ฟางเซี่ยนเซี่ยนทำด้วยความเอร็ดอร่อย
ย่วนเผิงเฟยอึ้งงัน ปากของเขายังอ้าค้างอยู่เช่นนั้น ฟางเซี่ยนเซี่ยนยักไหล่
เยว่หานที่นั่งขนาบข้างย่วนเผิงเฟยกระซิบ “พี่ใหญ่ ยังไงท่านก็เป็นพี่ใหญ่ของพวกเราตัวจริง ตอนนี้ยอม ๆ นางไปก่อนเถอะ ท่านว่าหรือไม่ อาหารที่นางทำมีแบบประหลาดตาไม่เคยเห็น แต่รสชาติอร่อยจริง ๆ”
ย่วนเผิงเฟยกระทุ้งข้อศอกใส่หน้าท้องลูกน้องมือขวาจนเขาต้องงอตัวยู่หน้า กระนั้นชายหนุ่มกลับก้มหน้าเล็กน้อย ริมฝีปากของเขาขยับยกอย่างไม่รู้ตัว
ชายคนหนึ่งเอ่ย “พี่ใหญ่”
“ว่า!” เสียงทุ้มและเสียงใสดังประสาน
คนที่เอ่ยปากยิ้มแหย “เอ่อ พะ…พี่ใหญ่ข้าเรียกพี่ใหญ่ฟางน่ะ”
ฟางเซี่ยนเซี่ยนหัวเราะครืน ย่วนเผิงเฟยกลืนไม่ลงเสียแล้ว เขาวางตะเกียบเสียงดัง จากนั้นสะบัดกายปั้นปึ่งเข้าห้องไป
ปัง!
“อะ..อ้าว…งอนเป็นสตรีไปเสียแล้ว”
ทุกคนต่างมองตามร่างสูงที่ผละไปเป็นตาเดียว บ้างเคี้ยวอาหารจนแก้มตุ่ยก็ลดจังหวะการเคี้ยว บ้างยังคีบอาหารค้างกลางอากาศ
ฟางเซี่ยนเซี่ยนเอ่ย “พวกเจ้าไม่ต้องกังวล เรื่องของเขาข้าจัดการเอง”
ตะเกียบทุกคนจึงขยับต่ออย่างวางใจ “เช่นนั้นก็ขอบคุณพี่ใหญ่ล่วงหน้า”
ฟางเซี่ยนเซี่ยนโบกมือ “ไม่ต้องเกรงใจ ถึงอย่างไรเราก็คนกันเองแล้ว ว่าหรือไม่”
ทุกคนชะงักอีกครั้ง ฟางเซี่ยนเซี่ยนเริ่มประหม่า หรือว่าวิธีการกระชับมิตรด้วยอาหารจะไม่ได้ผล นิ่งกันอยู่นานก็มีเสียงหนึ่งดังแทรก
“นั่นสิ จะระแวงกันทำไม ในเมื่อนางมีน้ำใจเช่นนี้ ต่อไปรับนางเอาไว้ในกองโจรของพวกเราก็ไม่ต้องกินอาหารรสชาติห่วยแตกแล้วว่าหรือไม่”
“จริงด้วย”
ทุกคนต่างลงความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน ฟางเซี่ยนเซี่ยนผ่อนหายใจโล่งอก
ชายกล้ามโตยืนขึ้น เขาเทสุราจากไหลงจอก “เช่นนั้นพี่ใหญ่ ข้าขอคารวะท่านหนึ่งจอก”
ฟางเซี่ยนเซี่ยนยิ้มแห้ง “ไม่ต้อง ๆ”
“เถิดน่า นี่เป็นธรรมเนียม หากไม่ดวลด้วยพละกำลังเช่นนั้นก็ต้องดวลด้วยสุรา ไม่เช่นนั้นจะให้พวกข้าเรียกพี่ใหญ่เลยก็ดูจะผิดกฎ” ชายร่างแคระที่สูงพ้นเอวของนางเล็กน้อยปีนขึ้นเก้าอี้ จากนั้นก็ยื่นจอกสุราให้
เปลือกตาบางกะพริบถี่ “หา…ข้าต้องดื่มด้วยอย่างนั้นหรือ”
“แน่นอนหากจะเป็นพี่ใหญ่ก็ต้องเอาชนะพวกเราด้วยการดื่มสุราเสียก่อน”
“แต่ข้า…” สุราถ้วยใหญ่ถูกยัดเข้ามือ ฟางเซี่ยนเซี่ยนกลืนน้ำลายหนืดเหนียวลงคอ
เอาวะ ดื่มก็ดื่ม จอกเดียวไม่เมาหรอกน่า
“พี่ใหญ่” ชายร่างบึกบึนฝั่งตรงข้ามยกจอกสุราขึ้นเพื่อให้เกียรติ จากนั้นเขาก็กระดกดื่มจนเกลี้ยง
ฟางเซี่ยนเซี่ยนมองน้ำสีใสในจอกของตัวเองก็กลืนน้ำลายหนืดเหนียวลงคออย่างยากลำบาก มือเรียวยกจอกดินเผาจรดริมฝีปากแช่มช้า พร้อมกับเสียงส่งกำลังใจ
“ดื่มเลย”
“ดื่มเลย”
ริมฝีปากแตะจอกกลืนลงคอได้อึกหนึ่ง จอกในมือก็ถูกแย่งไปหน้าตาเฉย ฟางเซี่ยนเซี่ยนแหงนมองผู้ที่บังอาจมาขัดขวางแผนการกระชับมิตรนางตาปริบ ๆ
ปึง!
จอกสุราถูกวางกระแทกโต๊ะ “นางยังป่วยอยู่จะให้ดื่มสุ่มสี่สุ่มห้าได้อย่างไร พวกเจ้าไม่รู้ความเอาเสียเลย”
ฟางเซี่ยนเซี่ยนได้สติ “ท่านมาได้ยังไงเนี่ย เมื่อกี๊ยังงอนตุ๊บป่องเข้าห้องตัวเองไปแล้ว”
ชายหนุ่มตวัดมองเข้ม “เจ้าอยากเป็นลูกพี่ก็เป็นไป แต่อย่ามาดื่มส่งเดช กลับห้องเจ้าได้แล้ว”
จู่ ๆ มือกว้างก็คว้าข้อมือเล็กดึงรั้งจนร่างปลิวตามแรง “โอ๊ย พี่ใหญ่ย่วน เบา ๆ หน่อยข้าเจ็บนะ ท่านเป็นบุรุษไม่รู้จักรักหยกถนอมบุปผาบ้างรึ”
ดูเหมือนฟางเซี่ยนเซี่ยนจะปรับตัวได้เร็วอย่างมาก แม้แต่การสำบัดสำนวนก็รู้จักหยิบมาใช้เสียแล้ว
“เจ้ายังรู้ตัวหรือว่าเป็นสตรี ไยไปร่ำสุรากับพวกนั้นโครม ๆ ไม่รู้จักระวัง”
ฟางเซี่ยนเซี่ยนจิ๊ปาก “เอ๊ะ! ก็พวกท่านมีแต่บุรุษ แล้วจะให้ข้าไปร่ำสุรากับสตรีที่ใดกันเล่า อีกอย่างพวกเขาเรียกข้าพี่ใหญ่แล้วก็ต้องทำตามกฎไม่ใช่รึ ไร้เหตุผลนัก”
“พี่ใหญ่อะไรตัวอย่างกับมด กฎพวกนี้ข้าจะรื้อทิ้งให้หมด เจ้าเข้าไปเสีย”
ย่วนเผิงเฟยโยนฟางเซี่ยนเซี่ยนเข้าไปด้านใน ฟางเซี่ยนเซี่ยนเบ้ปากหน้ายับยู่ “บอกดี ๆ ก็ได้ ทำไมต้องโยนด้วยเล่า คนบ้า ท่านโดนแย่งตำแหน่งต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอย่างนี้เลยหรือไง”
ย่วนเผิงเฟยแค่นยิ้มร่างสูงยังไม่ผละออกจากหน้าประตู นึกไม่ถึงว่าหญิงประหลาดเช่นนางจะสามารถซื้อใจลูกน้องของเขาได้อย่างง่ายดาย
“เจ้าพักผ่อนซะ แล้วดึกดื่นอย่าออกมาเดินเพ่นพ่านเล่า หากเกิดอะไรขึ้นอย่าหาว่าข้าไม่เตือน”
ฟางเซี่ยนเซี่ยนแลบลิ้นปลิ้นตาไปยังธรณีประตู ทั้งที่รู้ว่าเขามองไม่เห็น แต่นางก็อยากระบายอารมณ์ แม้ท่าทางไม่พอใจ ทว่าน้ำเสียงกลับอ่อนน้อมตรงกันข้าม “เจ้าค่ะ รู้แล้ว รู้แล้ว”
เสียงฝีเท้าดังห่างออกไป ฟางเซี่ยนเซี่ยนพยายามบิดข้อมือเพื่อคลายความเจ็บปวด ครั้นหันไปยังหัวเตียงก็พบกรงขนาดเล็กซึ่งมีเจ้าสัตว์โลกผู้น่ารักนั่งแทะแครอทอยู่
ฟางเซี่ยนเซี่ยนตาโต “กระต่ายน้อย นี่แกเองเหรอ”
ร่างระหงเดินไปหยุดที่หน้ากรง จากนั้นยอบกายลงพลางเปิดเอาตัวนุ่มนิ่มมาอุ้ม “ตกใจแทบแย่ ก่อนหน้าวางแกเอาไว้ก็กระโดดหายไป แล้วนี่กลับมายังไง ดีนะที่ไม่โดนจับไปถลกหนังน่ะ”
พูดพล่ามกับกระต่ายไปเรื่อยเปื่อย ฟางเซี่ยนเซี่ยนก็เกิดนึกบางอย่างขึ้นได้ นางค่อย ๆ ผินมองไปยังประตูทางเข้า เสียงใสเอ่ยอ้อมแอ้ม “อย่าบอกนะว่าเขาไปตามหาแกกลับมา”
