ตระกูลซูมาเยือน
เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้พูดอันใดนางจึงเดินออกจากเรือนไปพร้อมกับเสี่ยวกุ้ย ซุนเหยานางไปที่ครัวเพื่อดูเรื่องอาหารให้กับหลีซื่อ
หงอี้ที่เดินออกมาจากเรือนท้ายจวนก็พบกับซูเซวียนระหว่างทาง นางอดที่จะมองเขาอย่างสำรวจไม่ได้
“ท่านแม่ทัพ ท่านโกนหนวดแล้วรึ”
“พูดมาก” ซูเซวียนถลึงตามองหงอี้ ก่อนจะเร่งฝีเท้าไปที่ห้องโถง เพราะไม่อยากให้มารดารอเขานาน
เมื่อทั้งคู่มาถึงก็พบว่าซุนเหยานางไม่อยู่ที่ห้องโถงด้วย ซูเซวียนนั่งรอจนอาหารยกขึ้นโต๊ะเสร็จก็เห็นว่าซุนเหยานางยังไม่มาก็อดที่จะเอ่ยถามไม่ได้
“ซุนเหยาเหตุใดนางยังไม่มา”
“ไม่ต้องรอนาง นางไม่อยู่” หลีซื่อเอ่ยขึ้น
“นางไปที่ใดขอรับ”
“เหอะ เจ้าสนใจเรื่องของนางด้วยหรือ” หลีซื่อไม่ยอมบอกว่าซุนเหยานางไปที่ใด ซูเซวียนก็กินอาหารอย่างไม่สบอารมณ์นัก
ต่างจากหงอี้ ไม่ว่าเรื่องอันใดก็ไม่เกี่ยวข้องกับนาง เรื่องที่นางสนใจมีเพียงอาหารตรงหน้าเท่านั้น
ซุนเหยานางออกมาตรวจบัญชีที่ร้าน และนางต้องไปจัดการเรื่องเครื่องปรุงที่จวนหลังที่ซื้อไว้ด้วย
ชื่อเสียงของเหลาอาหารเหม่ยสือในยามนี้นับว่าเลื่องชื่อนัก ไม่เพียงอาหารที่เลิศรสและแปลกใหม่ แต่เสี่ยวเอ้อในร้านทุกคนต่างคิดเงินค่าอาหารออกมาได้อย่างรวดเร็ว จนเรื่องนี้ทำให้บัณฑิตที่เข้ามากินอาหารอดประหลาดใจไม่ได้
“เสี่ยวกุ้ยเจ้าอยู่ที่เหลาอาหารประเดี๋ยวข้ากลับมา”
“ฮูหยินท่านจะไปที่ใดเจ้าคะ” นางเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง
“ข้าไปที่จวนหลังใหม่ ใกล้เพียงเท่านี้ ครู่เดียวก็กลับมาแล้ว”
เสี่ยวกุ้ยเห็นว่าจวนหลังใหม่อยู่เพียงด้านหลังของเหลาอาหารจึงวางใจให้ซุนเหยานางไปเพียงลำพัง
ที่บอกว่าครู่เดียวเห็นทีจะไม่จริง เพราะซุนเหยานางกลับออกมาจากจวนของนางก็เกือบจะถึงมื้อเย็นเสียแล้ว
เพราะนางต้องนำเครื่องปรุงออกมาถ่ายใส่ไหที่หลงจู๊หมานเตรียมไว้ให้นางด้วยตนเอง แต่ก็ทำไปได้เพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น เพียงพอให้เหลาอาหารมีใช้ไปได้นับเดือน
เสี่ยวกุ้ยยืนรอที่ประตูด้านหลังเหลาอาหาร เมื่อเห็นซุนเหยานางเดินมาก็รีบร้องบอกทันที
“ฮูหยินท่านรีบกลับจวนเถิดเจ้าค่ะ”
“ไปเถิด” เรื่องที่นางออกจากจวนตระกูลซูมาด้านนอกไม่ใช่เพิ่งเคยเกิดขึ้น ไม่รู้ว่าเสี่ยวกุ้ยนางจะกังวลเพียงนี้ไปทำไม
เมื่อกลับมาถึงจวน พ่อบ้านซูก็เร่งให้ซุนเหยานางเข้าไปด้านในห้องโถง ซุนเหยานางจึงได้รู้ว่าทำไมแต่ละคนถึงได้กังวลเช่นนั้น
เสียงของบิดากับพี่ชายของนางดังออกมาจากห้องโถงเสียขนาดนั้น ซุนเหยานางจึงรีบเข้าไปด้านในทันที
“ท่านพ่อ ท่านพี่ พวกท่านมาได้อย่างไรเจ้าคะ”
“หึ หากอาเฮ่อไม่ไปพบเจ้าลูกเต่า พาอนุไปเหลาอาหารเหม่ยสือ จะรู้เรื่องที่เขากลับมาจากชายแดนได้อย่างไร”
“เสี่ยวกุ้ยไปเก็บของ ของอาเหยาประเดี๋ยวนี้ ข้าจะพาน้องสาวข้ากลับตระกูลจ้าว” หลิงเฮ่อตวาดออกมาเสียงดัง
ครั้งนี้เขาไม่อาจทนให้น้องสาวได้รับความชอกช้ำใจได้อีกแล้ว
“ประเดี๋ยวก่อน อาถิงเจ้าพูดอันใดเสียหน่อยเถิด ข้ามิยอมให้พวกเขาหย่าขาดกันอย่างแน่นอน” หลีซื่อดึงมือสหายของนางมาอ้อนวอนอย่างเต็มที่
“หึ บุตรชายของเจ้าทำเช่นนี้กับบุตรีของข้า เจ้าจะให้ข้าพูดอันใด ในตอนแรกข้าก็เข้าข้างเจ้าอยู่หรอก แต่ยามนี้เห็นทีจะไม่ได้”
ซูเซวียนจ้องมองภาพตรงหน้าอย่างเย็นชา ยิ่งเห็นดวงตาคู่งามของซุนเหยานางเปล่งประกายอย่างยินดี ที่จะได้หย่ากับเขา ซูเซวียนก็ยิ่งมีโทสะมากขึ้นกว่าเดิม
“ฟู่หงอี้ นางไม่ใช่อนุของข้า แต่นางเป็นรองแม่ทัพขอรับ”
ทุกคนในห้องโถงหันไปมองที่ซูเซวียนเป็นตาเดียว หลีซื่อพุ่งเข้ามาทุบตีบุตรชายที่สร้างเรื่องให้นางไม่หยุดหย่อน
“ฮูหยินซู ข้าขอโทษเจ้าด้วย ในตอนแรกที่ข้ายอมร่วมมือกับท่านแม่ทัพ เพราะคิดว่าเจ้าเป็นสตรีที่ร้ายกาจ แต่เมื่อได้มาพบเจ้าข้าจึงได้รู้ว่าตนเองคิดผิดไปเสียแล้ว”
ซุนเหยานางมึนงงกับเรื่องที่เพิ่งจะได้รับรู้ตรงหน้า นางมองไปที่ซูเซวียนอย่างโกรธแค้น เขาเห็นนางเป็นตัวอันใดถึงได้ปั่นหัวของนางไม่หยุดเช่นนี้
สิ่งต่อมาที่ซุนเหยานางทำ ทำให้คนทั้งห้องโถงยิ่งตกใจมากยิ่งขึ้น เพียะ เสียงฝ่ามือของซุนเหยาตบลงที่ใบหน้าของซูเซวียนอย่างแรง
“ท่านมันน่ารังเกียจที่สุด ตั้งแต่ที่ข้าเคยเกิดมา” นางอยากจะพูดว่าตั้งแต่สองชาติที่นางอยู่มา
“เรื่องสนุกของท่านจบแล้ว ข้าขอตัว ท่านพ่อท่านแม่ รอลูกสักครู่เถิด ลูกจะนำแต่ของลูกกลับไปเท่านั้น”
ซุนเหยานางเดินออกจากห้องโถงไปทันที โดยไม่หันกลับมามอง
“สมควรแล้ว” หลิงเฮ่อออกไปรอด้านนอกอย่างไม่สบอารมณ์
เกาจิงถิง นางกำลังช่วยประคองสหายของนางอยู่ พอซุนเหยานางเดินออกจากห้องโถงไป หลีซื่อก็เป็นลมทันที
ซูเซวียนมองตามแผ่นหลังที่ยืดตรงของนางอย่างไม่สบายใจ เขาไม่ได้อยากให้เรื่องลงเอ่ยเช่นนี้ เพราะคิดว่าจะยอมอยู่กินกับนางแล้ว จึงได้บอกกล่าวเรื่องของหงอี้
