7. สารภาพ
วรเมธ นั่งหน้าเศร้าจับมือภรรยาเอาไว้ตลอดเวลาที่เธอยังคงนอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงผู้ป่วยในห้องพักพิเศษของโรงพยาบาล เขารู้สึกผิดที่ทิ้งภรรยาท้องแก่ใกล้คลอดไปหาความสุขด้วยการพาผู้หญิงคนอื่นไปเที่ยว โดยที่ไม่ได้อยู่ให้ความอบอุ่นใจกับกานดาเลยทั้งที่เธอท้องลูกของเขา หากเขารู้ว่าจะเกิดเรื่องร้ายกับภรรยาอย่างนี้เขาก็จะไม่ชวนใบหม่อนไปค้างที่พัทยาเด็ดขาด แต่เพราะเขามั่นใจว่ากานดาจะคลอดในอีกสองถึงสามสัปดาห์ข้างหน้า เขาจึงได้ทำในสิ่งที่สามีที่ดีไม่ควรทำ
“กุ๊ก..ผมขอโทษ ยกโทษให้ผมด้วยที่ผมไม่ได้ทำหน้าที่ของสามีที่ดี ไม่ได้อยู่ดูแลคุณกับลูก จนคุณหกล้มคลอดก่อนกำหนด ทำให้คุณต้องมานอนโรงพยาบาลแบบนี้”
วรเมธพูดเบา ๆ กับกานดาในขณะที่จับมือเธอไปด้วย เวลานี้ภรรยาของเขาคงกำลังนอนหลับสนิทจากฤทธิ์ยานอนหลับที่หมอจำเป็นต้องให้กานดาได้พักผ่อน หลังจากที่เธอมีอาการเศร้าโศกกังวลนอนไม่หลับจากการที่ต้องผ่านนาทีวิกฤตจากการที่ตกบันไดตกเลือด จนแพทย์ต้องผ่าตัดทำคลอดลูกในท้องเพื่อความปลอดภัย ทำให้กานดาเป็นห่วงและกังวลกับลูกที่เกิดมา ซึ่งเวลานี้ทารกน้อยต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิดในตู้อบ
เสียงสัญญานมือถือของวรเมธดังขึ้น แต่เขาไม่ได้สนใจกับมันเลย จนกระทั่งเสียงเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วก็ดังขึ้นอีก เขารู้ว่าคนที่โทรมาก็คงจะเป็นใบหม่อน เพราะนับตั้งแต่วันที่เขาจากใบหม่อนที่พัทยามา ก็ยังไม่ได้โทรติดต่อหาเธอเลย เขาต้องวุ่นอยู่กับการดูแลกานดา แล้วก็ลุ้นอาการของลูกน้อยที่เพิ่งเกิดมาดูโลก เขาปล่อยให้ ใบหม่อนกระหน่ำโทรเข้ามือถือเขาโดยที่เขาไม่คิดที่จะกดรับสาย หรือแม้แต่จะอ่านข้อความที่ส่งมา เพราะในเวลานี้เขาไม่มีกะจิตกะใจที่จะสนใจใบหม่อน จึงปล่อยให้เสียงมือถือดังอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งมีเสียงเคาะประตูห้องก่อนจะมีคนผลักประตูเข้ามา
“เสียงมือถือแกหรือเปล่าวะเมธ”
ฐากูร เดินทางมาเยี่ยมภรรยากับลูกของวรเมธ เป็นคนเอ่ยถาม ฐากูรมาพร้อมกับทินกร ส่วนคเณศกับปวัฒน์ กำลังเดินทางมา เพื่อนทุกคนพร้อมใจกันมาให้กำลังใจครอบครัวของวรเมธหลังทราบข่าวร้ายว่ากานดาตกบันไดจนต้องผ่าคลอดด่วน
“ช่างมันเถอะ ฉันไม่อยากรับสาย”
ฐากูร หันไปบอกเพื่อนหน้าเศร้า เขายังคงจับมือกานดาอยู่
“ฉันรับให้ แกจะปล่อยให้มันดังรบกวนอยู่อย่างนี้ได้ไงวะ” ฐากูร เดินหยิบมือถือของเพื่อนขึ้นมาดู เขาเห็นชื่อตัวอักษรภาษาอังกฤษ อ่านว่า “บรรพต” เขาคิดว่าคงเป็นชื่อผู้ชาย
“สวัสดีครับ” ฐากูร กรอกเสียงทักทายแทนเจ้าของเครื่อง
“อุ๊ย..ขอโทษค่ะ นั่นเครื่องของคุณเมธหรือเปล่าคะ”
เสียงคนที่โทรมาเริ่มไม่แน่ใจคิดว่าตัวเองคงโทรผิด
“ใช่ครับ..แต่ตอนนี้คุณเมธเจ้าของเครื่องไม่ว่างรับสายครับ”
ฐากูร บอกอย่างงง ๆ เพราะเขาแน่ใจว่าตอนที่ดูชื่อคนโทรเข้ามาในจอมือถือนั้นชื่อบรรพต ซึ่งเขาคิดว่าควรจะเป็นชื่อผู้ชายมากกว่าที่จะเป็นเสียงหวานใสของผู้หญิงแบบนี้
“ขอโทษนะคะ ไม่ทราบว่าตอนนี้คุณเมธอยู่ที่ไหนคะ” คนที่โทรมารีบถามด้วยความร้อนใจ
“ที่โรงพยาบาลครับ ไม่ทราบว่าคุณมีธุระอะไรด่วนหรือเปล่าครับ ผมจะบอกนายเมธให้” ฐากูร ถามคนโทรมา
“เอ้อ..มะ..ไม่มีค่ะ ฝากบอกคุณเมธด้วยว่าถ้าว่างก็ให้โทรกลับฉันด้วยค่ะ”
“แล้วคุณชื่ออะไรครับ”
“คุณเมธดูที่เครื่องก็จะทราบเองค่ะ ฉันโทรหาเขาหลายครั้งแล้ว ขอบคุณมากค่ะ”
คนโทรมาวางสายไปก่อนที่ฐากูรจะได้ซักถามอะไรต่อ
“ใครโทรหาเจ้าเมธวะ..เห็นแกคุยตั้งนาน”
ทินกร อยากรู้ แต่ฐากูรยังไม่ตอบ เขาเดินไปใกล้ ๆ กับกานดาเพื่อดูว่าภรรยาของเพื่อนยังหลับอยู่หรือเปล่า
“คุณกุ๊กเป็นไงบ้าง” ฐากูร กระซิบถามวรเมธ
“หมอเพิ่งให้ยานอนหลับไปน่ะ...กว่าจะตื่นก็คงอีกสองสามชั่วโมง”
วรเมธ หันมาบอก เขาค่อย ๆ เอามือภรรยาไปวางไว้ข้างกายของเธอ แล้วก็เดินไปนั่งที่โซฟากับเพื่อน
“ดูหน้าตาแกเครียดเกินไปนะ ยังไงก็ดูแลตัวเองบ้างนะเมธ” ทินกร เห็นสภาพวรเมธ ก็อดเป็นห่วงไม่ได้
“จะไม่ให้เครียดได้ไง ทั้งลูกทั้งเมียต้องมาอยู่โรงพยาบาลแบบนี้ ถ้ากุ๊กคลอดลูกตามกำหนด ลูกออกมาแข็งแรงฉันก็คงจะแฮปปี้ไปแล้ว แต่นี่เมียฉันต้องนอนเจ็บ ลูกก็อยู่ในตู้อบ ไม่รู้จะเป็นยังไง”
วรเมธ ระบายความทุกข์ใจให้เพื่อนรับรู้
“เดี๋ยวนี้หมอเก่ง เครื่องมือก็ทันสมัย แกไม่ต้องคิดมากหรอก อีกหน่อยลูกแกก็ออกมาวิ่งปร๋อแล้ว” ทินกรปลอบใจ
“วิ่งบ้านแกสิ..ลูกฉันเพิ่งจะผ่าออกมาอยู่ในตู้อบโน่น ฉันขอแค่เห็นเขาลืมตามาร้องอุแว้ ๆ ฉันก็พอใจแล้ว”
วรเมธ รู้สึกดีขึ้นมาบ้างหลังจากที่มีเพื่อน ๆ มาพูดคุยหยอกล้อด้วยแบบนี้
“เราออกไปคุยข้างนอกดีกว่าไหม ไปดื่มกาแฟให้สดชื่นกันสักหน่อย” ฐากูร ชักชวน
วรเมธ หันไปมองภรรยาที่เตียง ก่อนจะพยักหน้าให้เพื่อน ทินกรเองก็ไม่อยากจะอยู่ในบรรยากาศที่หดหู่ในห้องผู้ป่วยนี้เช่นกัน
ฐากูร เดินไปกดลิฟท์นำเพื่อนทั้งสองลงไปที่ชั้นใต้ดินของโรงพยาบาล ซึ่งมีร้านกาแฟ ร้านอาหารบริการอยู่ด้วย บรรยากาศภายในร้านที่ตกแต่งด้วยสีสันสดใสทำให้วรเมธหน้าตาสดชื่นเบิกบานขึ้นมาได้บ้าง
“ผู้หญิงที่โทรมาหาแกชื่อบรรพตหรือวะ เขาบอกให้แกโทรกลับหาเขาด้วย”
ฐากูร ได้โอกาสบอกเพื่อนหลังจากที่ได้นั่งในร้านกาแฟแล้ว
“ผู้หญิงบ้าอะไรวะชื่อบรรพต ยังกะชื่อผู้ชาย” ทินกร พูดแซวขึ้นมาอย่างขบขัน
“ชื่อนั้นฉันบันทึกเอาไว้ในเครื่องเฉย ๆ เพื่อไม่ให้คุณกุ๊กจับได้ว่าเป็นกิ๊ก ความจริงเธอชื่อใบหม่อน” วรเมธสารภาพ
“มิน่าล่ะ..คนที่โทรมาเสียงหวานซะขนาดนั้นจะชื่อบรรพตไปได้ยังไง ฉันฟังดูแล้ว เด็กคนนั้นน่าจะอายุไม่เกินยี่สิบ”
“แค่ฟังเสียงแกก็รู้อายุเลยหรือไงวะตั้ม” ทินกร แซวฐากูร
“เด็กแกใช่ไหมวะเมธ”
ฐากูร มองหน้าวรเมธ ถามแบบตามตรง วรเมธพยักหน้าช้า ๆ แทนคำตอบ
“เฮ้ย!..นี่แกเลี้ยงเด็กด้วยหรือวะ ฉันนึกว่าแกจะแค่สนุก ๆ กับพวกสาว ๆ แล้วก็จบเหมือนที่พวกเราทำกันมาตลอดไม่คิดว่าแกจะอุตริเอามาเป็นคู่ควงถาวร” ทินกรถามเสียงตื่นเต้น
“แกมีเมียน้อยหรือวะเมธ” ฐากูรจ้องตาถามวรเมธ
“ไม่ใช่..ฉันก็แค่..เล่น ๆ คิดว่าจะมีอะไรแก้ขัดช่วงที่กุ๊กเขาท้องแค่นั้นเอง” วรเมธบอกตามตรง
“แต่ผู้หญิงที่โทรมาคงไม่คิดว่าแกจะเล่น ๆ กับเขาหรอกมั้งไม่งั้นจะกระหน่ำโทรหาแกเยอะขนาดนี้เหรอ ฉันดูเห็นสายบรรพตอะไรนี่ โทรเข้าเครื่องแกยี่สิบกว่าครั้งแล้วนะโว้ย” ฐากูรบอก
“ฉันบอกพวกแกตามตรงก็ได้วะ ตอนแรกฉันก็ว่าจะจบกับใบหม่อนภายในสองสามวัน แต่มันไม่เป็นตามแผนน่ะสิ ฉันเสียเวลาอยู่กับเด็กนั่นเดือนกว่าจะเข้าสองเดือนก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า ผู้หญิงอะไรก็ไม่รู้ใจแข็งฉิบ! จนป่านนี้ยังไม่ได้แอ้มเลย”
วรเมธ สารภาพกับเพื่อนอย่างไม่คิดปิดบังแม้จะรู้สึกเสียหน้าก็ตาม
“อะไรนะ!”
สองหนุ่มอุทานตาโตพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมายถือเป็นเรื่องแปลกประหลาดน่าดู
“ตกใจพร้อมกันเลยหรือวะ ฉันก็แค่บอกว่ายังไม่ได้ทำอะไรเด็กสาวนั่น ทั้งที่ตีสนิทเอาไว้เกือบจะสองเดือน” วรเมธส่ายหัว
“ก็มันน่าแปลกใจนี่หว่า ..ที่คนอย่างแกใช้เวลาคั่วหญิงนานขนาดนั้น นี่ถือเป็นสถิติที่นานที่สุดของแกเลยนะโว้ย แบบนี้ต้องบอกให้เจ้าเคกับเจ้าวัฒน์ มันช่วยขำว่ะ” นินกรแซว
“ผู้หญิงคนนั้นเป็นพวกเวอร์จิ้นหรือไงวะ” ฐากูร เป็นคนเอ่ยถาม
“คิดว่าใช่...” วรเมธกล่าว
“แกแน่ใจได้ไงวะ อาจจะถูกเด็กหลอกก็ได้ หลอกให้แกตายใจไงล่ะ ก็เลยแกล้งเล่นตัว เผื่อได้ค่าตัวเพิ่ม” ทินกรทักท้วง
“ไม่ใช่หรอก ฉันดูออกว่าใบหม่อนเป็นพวกอ่อนหัดจริง ๆ ฉันอุตส่าห์ลงทุนจีบอยู่ตั้งนาน หว่านล้อมสารพัดงัดกลยุทธทุกรูปแบบแต่ใบหม่อนไม่ได้ยอมฉันเลย เกิดมาก็ไม่เคยเห็นผู้หญิงที่ไหนจะมีความคิดล้าหลัง หลงยุคได้ขนาดนี้ ตอนแรกก็คิดว่าเด็กนั่นคงจะเล่นตัวสร้างภาพหวังจะขอโน่นขอนี่เหมือนที่ฉันเคยเจอมา แต่ที่ไหนได้ เด็กนั่นความคิดบรมเชยจริง ๆ ว่ะ”
“เชยยังไงวะ” ฐากูรชักอยากรู้
“ก็มีอย่างที่ไหน บอกว่าจะเสียตัวก็ต่อเมื่อแต่งงานกันเท่านั้น เชื่อคำสอนของแม่ให้รักนวลสงวนตัวไม่ชิงสุกก่อนห่าม พวกแกว่าเชยไหมล่ะ สมัยนี้มีใครเขาสนใจเรื่องพวกนี้วะ” วรเมธบอก
“หา..มีผู้หญิงแบบนี้เหลืออยู่ในโลกด้วยหรือวะเมธ”
ทินกร รีบถามราวกับได้ยินเรื่องมหัศจรรย์ของโลก
“นั่นสิ แกพูดเรื่องตลกหรืออำพวกฉันใช่ไหมวะเมธ” ฐากูร ไม่เชื่ออีกคน
“ที่บอกว่าเกือบสองเดือนแล้ว ก็ยังไม่ได้มีอะไรกับเด็กนั่น ฉันว่าแกอำพวกฉันแล้วล่ะ” ทินกรก็ไม่คิดว่าจริงเช่นกัน
“จริงโว้ย..ฉันไม่ได้อำหรือโกหกพวกแก แต่..ความจริงก็เกือบ ๆ ได้อยู่แล้วล่ะตอนที่พาไปพัทยาวันเดียวกับวันที่พวกแกสังสรรค์กันที่ห้องแกน่ะแหละตั้ม..แล้วก็คืนเดียวกับที่เมียฉันตกบันไดด้วย” วรเมธหันไปมองหน้าฐากูร
“ยังไงวะ ทำไมถึงเกือบล่ะ” ฐากูรซักด้วยความอยากรู้
วรเมธไม่คิดปิดบังเพื่อนอยู่แล้วในเรื่องพวกนี้จึงเล่าให้ฟังอย่างละเอียด แล้วก็ไม่ลืมที่จะเล่าเรื่องที่เขาเคยพาใบหม่อนเข้าโรงแรม แล้วเธอร้องไห้จนเขาต้องพากลับที่พักด้วย สร้างความประหลาดใจให้กับคนฟังอย่างฐากูรกับทินกรไม่น้อย เพราะพวกเขาไม่เคยเจอผู้หญิงที่มีลักษณะแบบใบหม่อนมาก่อนนั่นเอง
“แกควรจะปล่อยเด็กคนนั้นได้แล้วล่ะ เมธ”
ฐากูรเป็นคนแนะนำหลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวของเพื่อนจบลง
“ทำไมแนะนำเจ้าเมธมันอย่างนี้วะตั้ม ยิ่งยากก็ยิ่งน่าเอาชนะนะโว้ย” ทินกรแย้ง
“แกลืมแล้วหรือว่า กลุ่มพวกเราจะเลือกเฉพาะสาว ๆ ที่รักสนุกไม่ผูกมัด แต่นี่ฉันว่าเด็กสาวคนนี้คงเป็นพวกรักจริง ถ้าขืนเจ้าเมธไปยุ่งด้วย นอกจากมันจะสร้างตราบาปให้ผู้หญิงแล้ว มันจะสร้างความยุ่งยากใจให้กับครอบครัวมันด้วย อย่าลืมนะโว้ยว่าเจ้าเมธมันมีลูกมีเมียแล้ว ที่ลูกของมันเป็นแบบนี้อาจจะเป็นเพราะมันไปหลอกผู้หญิงดี ๆ อย่างใบหม่อนนั่นก็ได้นะ”
ฐากูร แสดงความเห็นแบบเล่น ๆ ไปเท่านั้นเอง แต่วรเมธกลับถือเป็นจริงเป็นจังคิดมากจนหน้าเศร้านิ่งอึ้งไปทันที
“แกเป็นคนมีจริยธรรม คุณธรรมตั้งแต่เมื่อไหร่วะตั้ม..นี่ถ้าคุณแม่ผกาแก้วมาได้ยินลูกชายอย่างแกเข้าคงจะรีบหาฤกษ์บวชให้แกเร็ว ๆ นี้แน่เลย” ทินกรแซวเพื่อนอย่างขบขัน
“แต่ฉันเชื่อเจ้าตั้มแล้วล่ะ ต้องเป็นเพราะฉันไปหลอกคิดจะฟันใบหม่อนแน่ ๆ เลย ถึงได้เกิดเรื่องร้ายกับลูกกับเมียฉัน ทำให้เมียฉันต้องตกบันไดเกือบแท้งลูก โธ่..ฉันไม่น่าคิดไปหลอกผู้หญิงดี ๆ อย่างใบหม่อนเลยว่ะ”
วรเมธ คร่ำครวญขึ้นมาพร้อมกับนึกไปถึงใบหน้าใสซื่อดูจริงใจของใบหม่อนไปด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ
“แกบอกว่ายังไม่ได้มีอะไรกับเด็กสาวคนนั้นไม่ใช่หรือวะ” ทินกรซัก
“ก็เพราะไม่ได้มีอะไรน่ะสิ ลูกสาวของฉันถึงแค่นอนในตู้อบ ถ้าฉันหลอกเจาะไข่แดงใบหม่อนได้สำเร็จป่านนี้ลูกฉันอาจจะไม่รอดแล้วก็ได้ เวรกรรมที่ฉันทำกับผู้หญิงดี ๆ มันตามทันแล้วล่ะ”
วรเมธ หันไปบอกทินกรหน้าละห้อย
“เฮ้ย!..ฉันแค่พูดเล่น แกจะคิดเป็นจริงเป็นจังทำไมวะเมธ ไม่ใช่เวรกรรมอะไรหรอก อย่าคิดมาก” ฐากูรปลอบใจเพื่อน
“แต่ฉันไม่สบายใจจริง ๆ นะ พอนึกถึงใบหน้าใสซื่อที่ดูจริงใจไม่เสแสร้งของใบหม่อนแล้ว ฉันรู้สึกแย่จริง ๆ ว่ะ มันนึกถึงหน้าลูกสาวฉันที่อยู่ตู้อบ ยังไงก็ไม่รู้” วรเมธบอกความในใจ
“ถ้าแกอยากสบายใจก็เลิกติดต่อเด็กคนนั้นสิ ปล่อยให้ผู้หญิง เขาได้พบกับคนดี ๆ ที่คู่ควร ส่วนแกก็มาดูแลลูกเมียของแกให้ดี ๆ ชดเชยกับที่แกเคยทำไม่ดีไว้ แค่นี้แกก็หลุดพ้นจากบาปแล้วล่ะ”
ฐากูร หาทางออกพูดให้เพื่อนสบายใจ
“โห..พระตั้มมาเองเลยโว้ย..สงสัยผลบุญจากคุณแม่ผกาแก้วจะส่งผลให้นายตั้มคิดดี ๆ กับเขาได้ว่ะ”
ทินกรแซวยิ้ม ๆ เพราะรู้ว่ามารดาของฐากูรนั้นเป็นพวกเข้าวัดปฏิบัติธรรม แต่คำพูดของฐากูรก็ทำให้วรเมธคล้อยตามได้
วรเมธ ตัดสินใจในวินาทีนี้เองที่จะตัดสัมพันธ์กับใบหม่อนเสียที เขาไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวกับใบหม่อนอีกแล้ว ถ้าเขาคิดจะนอกใจภรรยาก็ต้องหาผู้หญิงที่รักสนุกไม่ผูกมัดอย่างที่ฐากูรบอก จึงจะไม่เกิดปัญหากับครอบครัวและตัวเอง
