บทย่อ
หนุ่มเพลย์บอย ผู้มีปนิธานว่าจะมีความสัมพันธ์กับสาวสวยรักสนุกไม่ผูกพัน แต่กลับต้องมาพลาดพลั้งกับสาวบริสุทธ์ ทำให้เขาเสียความรู้สึกกับการถูกหลอก จึงแบล็กเมล์เอาคืนบ้าง เธอ ทั้งอับอายและงุนงง เหตุไฉนเสียตัวไปแล้ว ต้องมารับผิดชอบในความเวอร์จิ้นของตนเอง นี่เขาบ้าหรือว่าเพี้ยนกันแน่ที่มาเรียกร้องความรับผิดชอบจากผู้หญิงอย่างเธอ ชีวิตที่พลิกผันชั่วข้ามคืนของเธอ ต้องตกเป็นผู้หญิงลับ ๆ ของเขาในท่ามกลางหญิงสาวสวยที่ต่างก็หมายปองอยากเป็นหนึ่งเช่นกัน อีกทั้งความกดดันจากสังคมในที่ทำงาน เธอจะทำอย่างไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วใครจะได้ครอบครองหัวใจของเขากันแน่
1. สาวออฟฟิศ
เสียงกรี๊ดกร๊าดของพนักงานสาวจากแผนกประชาสัมพันธ์ที่ดังเล็ดลอดเข้ามาภายในห้องทำงานของแผนกธุรการ ทำให้ผู้ที่นั่งทำงานอยู่ในนั้นเงยหน้ามองผ่านกระจกใสออกไปดูด้วยความสนใจ
“พวกนั้นส่งเสียงกรี๊ดอะไรกันน่ะ เสียงดังมาถึงนี่เชียว”
รดา สาวใหญ่วัยห้าสิบสอง เอ่ยขึ้นพร้อมกับมองลอดแว่นไปมองด้วยสายตาคล้ายครูฝ่ายปกครองมองนักเรียนที่กำลังทำผิด
“จะมีอะไร้..นอกจากดูภาพหนุ่ม ๆ ตามเคย”
อิงอร สาวใหญ่วัยห้าสิบสามเป็นคนสอดประสานขึ้นมาด้วยน้ำเสียงหมั่นไส้ ทำให้สองสาวที่เหลือคือ ปัทมา กับ ใบหม่อน แอบหันไปมองหน้ากัน แล้วก็อมยิ้มก่อนจะหันไปสนใจงานตรงหน้า ปล่อยให้สองสาวใหญ่ได้วิจารณ์กันไป โดยมีภาพของสี่สาวด้านนอกที่กำลังมุงกันอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเป้าสายตา
“พวกสาวออฟฟิศที่นี่ไม่ไหวจริง ๆ วัน ๆ คิดแต่เรื่องผู้ชายไม่รู้จักเวล่ำเวลางานเอาซะเลย..แล้วดูแต่ละคนแต่งเนื้อแต่งตัวกันสิ ยังกะจะแต่งไปเที่ยวผับจับผู้ชายอย่างนั้นแหละ”
รดา หันไปพยักพเยิดชี้ชวนให้อิงอร ดูการแต่งตัวของสี่สาวที่อยู่ในวัยสดใสเม้าส์มอยกันอยู่ด้านนอกต่อ
“จริงค่ะ..พวกนั้นชอบใส่แต่กระโปรงสั้นจู๊ดจู๋ นั่งแต่ละทีเห็นไปถึงกางเกงใน ไม่ได้อายผีสางในออฟฟิศบ้างเล้ย”
อิงอร รับลูกเข้าขากับรดาเป็นปี่เป็นขลุ่ย
“ไม่รู้จะแข่งกันโชว์เนื้อหนังมังสาไปถึงไหน เห็นการแต่งตัวมาทำงานของสาว ๆ พวกนี้แล้วอนาถใจจริงจิ้ง เดินเข้ามาออฟฟิศทีไรนึกว่าเป็นสถานบริการอาบอบนวดทุกทีเลย”
รดา พูดตำหนิอย่างไม่ชอบใจ
“อย่าพูดให้พวกเขาได้ยินนะคะ เดี๋ยวจะหาว่าไปบูลลี่ จริงไหมจ๊ะ ใบหม่อน”
ปัทมา สาวโสดวัยสี่สิบที่นั่งฟังการสนทนาอยู่นาน หันไปขอความเห็นจากสาวน้อยหน้าใส ที่เป็นพนักงานน้องใหม่วัยยี่สิบสามปี ที่อายุน้อยที่สุดในแผนกธุรการ และเพิ่งเข้ามาทำงานบริษัทแห่งนี้ได้เพียงห้าเดือนเท่านั้น
“ใบหม่อนก็ว่าเป็นแฟชั่นกำลังอินเทรนด์ค่ะ”
พนักงานน้องใหม่ให้ความเห็นตามความคิดของตน
“จะแฟชั่นยังไงก็ไม่สมควรจะใส่มาทำงานแบบนี้ พี่ไม่เห็นด้วยเลยนะ ที่ผู้บริหารของบริษัทเราปล่อยปละละเลย ไม่มีข้อกำหนดให้ใส่ชุดฟอร์ม”
รดา หันไปค้อนปัทมากับใบหม่อนที่แสดงความเห็นแย้ง
“ก็ผู้บริหารของเรามีแต่พวกผู้ชายน่ะสิก็เลยอยากจะมองอะไรที่มันวับ ๆ แวม ๆ ให้กระชุ่มกระชวย ถึงไม่ได้สนใจที่จะกวดขันเรื่องการแต่งตัวของสาว ๆ ในออฟฟิศเอาซะเลย มันจึงได้มีแต่พวกโรคจิตชอบโชว์นม ..โชว์ขาอ่อน กันให้เห็นไง”
อิงอร วิจารณ์อย่างไม่ชอบใจโดยมีรดา คอยพยักหน้าหงึก ๆ เห็นด้วย ในขณะที่ปัทมากับใบหม่อนได้แต่ส่งสายตาละห้อยให้แก่กันไม่กล้าพูดแสดงความเห็นแย้งออกมาอีก เมื่อเห็นท่าทางสองสาวใหญ่กำลังเคืองในอารมณ์กันอยู่
ใบหม่อนก็ไม่แน่ใจว่าเกิดจากความอิจฉาที่คนพูดไม่มีโอกาสได้แต่งตัวแบบพวกสาว ๆ ในแผนกอื่นหรือไม่ เนื่องจากแผนกธุรการนั้น จิตนาถ ซึ่งเป็นหัวหน้าแผนก ได้ตั้งกฎระเบียบขึ้นมาให้ลูกน้องทุกคนแต่งชุดยูนิฟอร์มแบบเดียวกัน คือเสื้อเชิร์ตสีอ่อนตัวใน จะแขนสั้นหรือยาวก็ได้ แต่ชายเสื้อจะต้องยัดเข้าในขอบกระโปรง พร้อมคาดเข็มขัดให้เรียบร้อย แล้วก็สวมทับด้วยเสื้อสูทตัวนอก และที่สำคัญความยาวของกระโปรงจะต้องคลุมเข่า ส่วนรองเท้าจะต้องเป็นรองเท้าคัชชูสีดำ สีน้ำตาล หรือสีกรมท่าเท่านั้น ห้ามใส่รองเท้าแตะหรือรองเท้าแฟชั่นมาทำงาน
ตอนเข้ามาทำงานที่นี่ใหม่ ๆ ใบหม่อนก็ยังอดแปลกใจไม่ได้ว่าเหตุใดระเบียบการแต่งตัวของแผนกธุรการจึงไม่เหมือนแผนกอื่น ๆ ที่แต่งตัวกันตามสบาย แต่จิตนาถ ที่รับใบหม่อนเข้าทำงานให้เหตุผลเอาไว้ว่า
“ถึงแม้บริษัทจะไม่ได้มีกฎระเบียบในเรื่องการแต่งตัว แต่แผนกธุรการของเราจะต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับแผนกอื่น คือจะต้องแต่งตัวดี รู้จักกาลเทศะ แล้วก็จะต้องใช้ภาษาไทยให้ถูกต้องด้วย”
ใบหม่อน เป็นลูกน้องของจิตนาถ จึงไม่กล้าแหกกฎของหัวหน้าแผนก จำต้องปฏิบัติตามอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง เธอจึงแต่งตัวในชุดสูทสีกรมท่าเช่นเดียวกับพวกพี่ ๆ ในแผนกมาตลอด ตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันศุกร์ มีเพียงเสื้อเชิร์ตตัวในเท่านั้นที่ใบหม่อนได้เปลี่ยนสีสันกับเขาบ้าง แต่ก็ต้องเลือกโทนสีอ่อน ๆ เข้าไว้เพื่อไม่ให้จิตนาถ ตำหนิเอาได้
ถึงอย่างไร ใบหม่อนก็คิดว่าดีเหมือนกันที่จะได้ไม่ต้องเปลืองเงินซื้อเสื้อผ้ามาประชันขันแข่งกัน เพราะลำพังเงินเดือนที่ได้รับก็แทบจะใช้ไม่ชนเดือนอยู่แล้ว ไหนจะค่าเช่าห้องที่คอนโด ค่าเดินทาง ค่าอาหาร แล้วยังจะต้องเจียดส่งไปให้ทางบ้านที่ต่างจังหวัดอีกด้วย
ใบหม่อน จบปริญญาตรีด้านคอมพิวเตอร์กราฟฟิค จากมหาวิทยาลัยในต่างจังหวัด เธอสมัครงานได้ที่บริษัทเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ ในกรุงเทพฯ ได้งานที่แผนกธุรการของบริษัทแห่งนี้ จึงได้มาเช่าห้องในคอนโดที่อยู่ไม่ไกลจากที่ทำงานมากนัก ต้องใช้เงินอย่างประหยัด บริหารเงินเดือนให้พอใช้ในแต่ละเดือน การที่แผนกธุรการมีกฎระเบียบเรื่องการแต่งตัวด้วยชุดฟอร์ม จึงทำให้ใบหม่อน รู้สึกชอบใจในแง่ที่ว่าไม่ต้องคอยหาซื้อเสื้อผ้าแต่งตัวตามแฟชั่นให้สิ้นเปลือง
ใบหม่อนมักจะโดนสาว ๆ แผนกอื่นแซวว่า
“ระวังนะใบหม่อน อยู่แผนกวัตถุโบราณไปนาน ๆ จะขึ้นคานเหมือนพวกอาจารย์ป้าทั้งหลาย”
ใบหม่อน ได้แต่ยิ้มด้วยความขบขันที่แผนกของเธอถูกเรียกขานอย่างล้อเลียนว่าแผนกวัตถุโบราณ ที่เป็นเช่นนั้นก็คงเป็นเพราะแผนกธุรการนั้น มีแต่พนักงานรุ่นป้าที่ทำงานกันมานาน และมีข่าวว่าหากจิตนาถ เกษียณอายุงานไปเมื่อไหร่ก็จะมีการยุบแผนกนี้เพื่อปรับระบบการทำงานใหม่ให้ทันสมัย และจะรับคนรุ่นใหม่ ๆ เข้ามา ซึ่งก็เริ่มมีการรับเด็กใหม่มาในแผนกนี้บ้างแล้ว
โดยจิตนาถ เลือกเฉพาะผู้หญิงเท่านั้น แต่ไม่มีใครทำงานอยู่ได้นานเนื่องจากทนความจุกจิกในเรื่องงานไปจนถึงเรื่องส่วนตัวของพวกป้า ๆ ทั้งสามในแผนกไม่ไหว ต่างก็ลาออกตั้งแต่สามเดือนแรก จึงนับว่าใบหม่อน ทำงานในแผนกนี้ได้นานกว่าพนักงานใหม่คนอื่น เพราะผ่านมาได้ห้าเดือนแล้ว
การที่ถูกล้อเลียนก็เพราะมีจิตนาถ วัย 55 ปี เป็นหัวหน้า ส่วนที่เป็นลูกน้องที่อยู่มานานไม่แพ้กันและมีวัยใกล้เคียงกัน ได้แก่ รดา กับ อิงอร ส่วนปัทมา แม้จะอายุน้อยกว่า คือ 40 ปี แต่ก็มีชะตากรรมเดียวกันกับสามสาวใหญ่ที่ไม่มีทั้งสามีและคู่รัก อันเป็นเหตุให้แผนกธุรการ ถูกมองว่ามีอาถรรพ์ เป็นสาวโสด หาสามีไม่ได้
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้พนักงานแผนกอื่น เป็นห่วงพนักงานน้องใหม่อย่างใบหม่อน กลัวว่าจะโดนอาถรรพ์เล่นงานขึ้นคานเหมือนพวกป้า ๆ ในแผนกธุรการนั่นเอง
เสียงกรี๊ดกร๊าด ด้านหน้าเงียบลงไป ใบหม่อน จึงอดหันไปสังเกตการณ์ไม่ได้ ปรากฏว่าจิตนาถ กำลังเดินผ่านโต๊ะที่สี่สาว ยืนมุงกันอยู่พร้อมกับชะโงกหน้าเข้าไปดูที่จอคอมพิวเตอร์ด้วย ทำให้สี่สาวแผนกประชาสัมพันธ์ ถึงกับแตกฮือเป็นผึ้งแตกรังแยกย้ายกันไปนั่งที่โต๊ะของตัวเองอย่างอัตโนมัติ เพราะเกรงว่าจิตนาถจะไปฟ้องหัวหน้าแผนกของตน
จิตนาถ เดินตรงมาที่แผนกธุรการ ใบหม่อนรีบหันไปคว้าเสื้อสูทที่วางพาดเก้าอี้เอาไว้ขึ้นมาสวมทับเสื้อเชิร์ตทันที เธอไม่คิดว่า จิตนาถ จะออกจากห้องประชุมเร็วเช่นนี้
จิตนาถ อยู่ในชุดสูทเสื้อกระโปรงสีกรมท่าเช่นเดียวกับลูกน้องทุกคนในแผนก เธอสวมแว่นสายตาหนาเตอะเดินเข้ามาผลักประตูห้องกระจกของแผนกธุรการด้วยท่าทางคล้ายกับครูใหญ่ที่เข้มงวดในสายตาของใบหม่อน
“พี่นาถ..เลิกประชุมแล้วหรือคะ”
ปัทมา เห็นหัวหน้าเดินเข้ามาก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ยัง..เดี๋ยวจะขึ้นไปใหม่ พอดีเขาพักเบรกกันน่ะ”
จิตนาถ บอกลูกน้องก่อนจะเดินไปนั่งที่โต๊ะของเธอด้านหลังสุด
“พวกสาว ๆ ฝ่ายประชาสัมพันธ์เขารุมดูอะไรกันหรือคะคุณนาถ เมื่อกี้ดาได้ยินเสียงกรี๊ดกร๊าดดังมาถึงแผนกเราเลยค่ะ”
รดา คงเห็นช่วงที่จิตนาถ เดินเข้าไปชะโงกดูสี่สาวที่แผนกประชาสัมพันธ์จึงอยากจะรู้ด้วย
“สาว ๆ พวกนั้นรุมดูภาพผู้ช่วยฝ่ายบริหารที่จะมารับตำแหน่งเดือนหน้าน่ะสิ..เห็นสาว ๆ ที่ฝ่ายบริหารชั้นบนก็รุมกรี๊ดไม่แพ้พวกข้างล่างหรอก”
คำพูดของจิตนาถ ทำให้ลูกน้องหูผึ่งอยากรู้รายละเอียดด้วย
“แล้วผู้ช่วยฝ่ายบริหารคนใหม่เป็นใครมาจากไหนหรือคะพี่นาถ” ปัทมา เป็นคนถามคำถามที่ทุกคนอยากรู้
“เป็นลูกชายของท่านประธานบริษัทนี่แหละ เขาเพิ่งโพสต์รูปแล้วก็ประวัติลงในเวปไซต์บริษัทของเรา ชื่อฐากูร จบโทบริหารจากอเมริกา ที่ประชุมกำลังจะคัดเลือกเลขาหน้าห้องให้ พวกสาว ๆ ถึงได้ตื่นตัวอยากสมัครเป็นเลขากันน่าดู ท่าทางพัชรี ก็จะลงสมัครกับเขาด้วยนะนั่น”
จิตนาถ พูดถึงพัชรี ซึ่งเป็นหนี่งในสี่สาว ที่ได้มุงอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ด้านนอก
“พัชรีอยู่ฝ่ายประชาสัมพันธ์จะไปสมัครเป็นเลขาฝ่ายบริหารได้หรือคะคุณนาถ” รดาสงสัย
“เห็นว่าคุณฐากูรไม่ได้กำหนดว่าจะต้องเป็นเลขามาก่อน เขาต้องการคนในบริษัทของเราที่รู้งานภายในบริษัทอยู่แล้ว ก็เลยเปิดโอกาสให้กับทุกแผนกที่สนใจเข้ายื่นใบสมัครได้ เห็นว่าฝ่ายบุคคลจะส่งคนที่สมัครไปให้คุณฐากูรสัมภาษณ์เอง”
จิตนาถ เล่าให้ลูกน้องในแผนกธุรการของตนเองฟัง
“แบบนี้ใบหม่อนของเราก็มีสิทธิ์สมัครได้สิคะ” ปัทมา หันมามองใบหม่อนยิ้ม ๆ
“ถึงมีสิทธิ์แต่พี่ก็ไม่ยอมให้ใบหม่อนไปหรอกจ๊ะ อุตส่าห์ได้คนเก่งคอมฯมาอยู่กับมือ เรื่องอะไรจะปล่อยให้ไปอยู่ฝ่ายอื่นล่ะ อีกอย่างที่สาว ๆ พวกนั้นระริกระรี้อยากจะไปเป็นเลขาคุณฐากูรไม่ใช่อะไรหรอก ก็คงอยากจะจับผู้ชายหล่อ ๆ รวย ๆ มากกว่า ได้ยินมาว่าคุณฐากูรยังโสด เป็นหนุ่มเนื้อหอมก็เลยอยากจะใกล้ชิดกันใหญ่”
จิตนาถ พูดด้วยน้ำเสียงติดหมั่นไส้ ทำให้รดากับอิงอรถูกใจที่หัวหน้ากล่าวตำหนิสาว ๆ พวกนั้น
“สาวสมัยนี้ก็เป็นแบบนี้แหละค่ะคุณนาถ ระริกระรี้จ้องจับผู้ชายรวย ๆ ระวังเถอะจะถูกเจาะไข่แดงแล้วเขี่ยทิ้ง”
รดา พูดเสริมหัวหน้าขึ้นมา คำพูดนั้นทำให้ใบหม่อน ถึงกับสะอึก เพราะถ้ารดา รู้ว่าใบหม่อนกำลังคบอยู่กับผู้ชายฐานะดีคนหนึ่งอยู่ ไม่รู้ว่ารดา จะคิดว่าใบหม่อนจัดอยู่ในประเภทระริกระรี้อยากจะจับผู้ชายรวย ๆ ด้วยหรือเปล่า
ซึ่งความจริงแล้ว ใบหม่อนก็ไม่ได้คิดที่จะจับวรเมธเลย แต่มันเป็นเรื่องของโชคชะตาที่ทำให้ใบหม่อนได้รู้จักกับวรเมธ ที่มีหน้าที่การงานดี ฐานะดี แต่เรื่องเจาะไข่แดงแล้วจะโดนทิ้งนั้น ใบหม่อนไม่เคยคิดที่จะปล่อยเนื้อปล่อยตัวเพราะยึดมั่นในคำสอนของแม่ที่ให้เธอรักนวลสงวนตัวมันก้องอยู่ในหูมา ตั้งแต่แตกเนื้อสาวแล้ว ไม่เช่นนั้นแล้ว เธอก็คงจะไม่รักษาตัวรอดพกพาความเวอร์จิ้นมาจนถึงยี่สิบสามปีนี้ได้
ลัดดา เลขาสาวเปรี้ยวฝ่ายบริหาร กำลังจะเดินผ่านไปที่โต๊ะของพัชรีที่แผนกประชาสัมพันธ์ เธอเห็นพัชรีกำลังนั่งจ้องจอคอมพิวเตอร์อยู่ก็อดที่จะโฉบเข้าไปดูไม่ได้ ตามประสาคนที่เป็นคู่แข่งขันประชันความเด่นกันอยู่
“แหม...นึกว่าดูอะไร”
ลัดดา ทำเสียงสูงหยอกเย้ามองที่หน้าเวปไซต์ของบริษัท ที่มีรูปของหนุ่มหล่อ
“ทำไมคะคุณหลิน เขาห้ามพนักงานเปิดดูเวปของบริษัทด้วยหรือคะ”
พัชรี เงยหน้าไปถามด้วยน้ำเสียงที่พยายามจะไม่แสดงความไม่ชอบใจ แม้ลัดดา จะเป็นเลขาฝ่ายบริหารไม่ได้เกี่ยวข้องกับฝ่ายประชาสัมพันธ์ แต่ความเด่นความดังของลัดดาในด้านความเซ็กซี่ มีหนุ่ม ๆ พูดถึงกันไม่ขาดปากก็ทำให้พัชรี อดที่จะหมั่นไส้ไม่ได้
“หลินก็ไม่ได้ว่าอะไรคุณแพลนนี่คะ แค่พูดแซวเล่นเท่านั้นเอง ที่เห็นคุณแพลนดูตั้งอกตั้งใจอ่านประวัติคุณฐากูรอยู่ แล้วนี่คุณแพลนจะสมัครชิงตำแหน่งเลขาหน้าห้องคุณฐากูรด้วยอีกคนหรือเปล่าคะเนี่ย” ลัดดา แกล้งถามหยั่งเสียง
“แล้วทำไมแพลนถึงจะสมัครไม่ได้ล่ะคะ ในเมื่อคุณฐากูรประกาศว่าจะเปิดโอกาสให้กับพนักงานทุกคนสมัครได้”
พัชรี ข่มความไม่พอใจคู่แข่งไว้ในใจโต้ตอบเสียงหวาน
“อุ๊ยตาย..แล้วคุณแพลนมีความรู้งานด้านเลขาหรือคะ”
ลัดดา เอ่ยถามคล้ายจะเยาะหยันแต่กลบเสียงนั้นด้วยเสียงหัวเราะ
“ถึงแพลนไม่ได้ทำงานเป็นเลขาเหมือนคุณหลิน แต่ก็พอจะรู้หรอกค่ะว่าเขาทำกันยังไง มันไม่ได้ยากอะไรนี่คะ ในเมื่อแพลนอยู่ในบริษัทนี้อยู่แล้ว มีประสบการณ์ทำงานมาห้าปี พอ ๆ กับคุณหลิน”
พัชรี ย้อนแบบซ่อนความไม่พอใจ
“งั้นเราก็คงจะต้องมาลุ้นกันนะคะว่าคุณฐากูรจะเลือกใคร”
ลัดดา ยิ้มหวานเข้าใส่แต่สายตาออกไปทางเหยียดมากกว่า ก่อนจะเดินไปทักทายเพื่อนร่วมงานต่างแผนกที่โต๊ะข้าง ๆ ที่กำลังแอบฟังคนทั้งคู่สนทนากันอยู่
“คุณเหมียวล่ะคะ..สมัครเลขากับเขาด้วยหรือเปล่าเอ่ย”
ลัดดา ยืนเกาะโต๊ะเอ่ยเสียงหวานถามปรียาพรบ้าง
“ก็อยากอยู่นะคะ แต่ได้ยินว่าจะมีคนสมัครเยอะก็เลยคิดว่าไม่เอาดีกว่าค่ะ อีกอย่างหัวหน้าของเหมียวก็คงไม่อยากให้เหมียวไปอยู่แผนกอื่นด้วย”
คำตอบของปรียาพร สร้างรอยยิ้มด้วยความพอใจให้กับลัดดา
“ดีแล้วล่ะค่ะ ทำงานที่เราถนัดจะดีกว่า หลินได้ข่าวว่าหัวหน้าคุณเหมียวมักจะให้คะแนนการทำงานของลูกน้องในแผนกสูงด้วยไม่ใช่หรือคะ”
ลัดดาพูดคุยกับปรียาพรด้วยท่าทางเป็นมิตร
“คุณหลินล่ะคะจะสมัครเป็นเลขาคุณฐากูรด้วยหรือเปล่า” ปรียาพร ถามด้วยความอยากรู้
“สมัครสิคะ หลินน่ะทำงานเลขาอยู่แล้ว อยากจะเปลี่ยนเจ้านายดูบ้าง เผื่ออะไร ๆ จะดีขึ้น เดี๋ยวหลินขอตัวก่อนนะคะจะเอาเอกสารสัญญาไปถ่ายซีร็อคที่แผนกธุรการหน่อยค่ะ”
ลัดดา บอกด้วยใบหน้าเบิกบาน
“ไปแผนกวัตถุโบราณ ระวังเจออาจารย์ป้าอบรมนะคะ เมื่อกี้พวกเราดูภาพคุณฐากูรที่โต๊ะคุณแพลนอยู่ดี ๆ พอเห็นจารย์ป้าจิตนาถเดินผ่านมา พวกเรายังต้องรีบแยกย้ายกันไปประจำที่เลยค่ะ”
ปรียาพร กล่าวล้อเลียนไปถึงหัวหน้าแผนกธุรการด้วยความสนุกสนาน
“อาจารย์ป้าไม่กลัวจ๊ะ กลัวแต่จะเจออาถรรพ์มากกว่า” ลัดดา ตอบเสียงกลั้วหัวเราะ
“อาถรรพ์..ขึ้นคานใช่ไหมคะ”
ปรียาพร ผสมโรงหัวเราะคิกคักตามไปด้วย
“นั่นแหละค่ะ”
ลัดดา ตอบยิ้ม ๆ ก่อนจะเดินไปที่แผนกธุรการอย่างอารมณ์ดี

