14. มีอะไรในกระเป๋า
“วันนี้ ป้าจะเปลี่ยนผ้าปูที่นอนให้นะคะ”
แม่บ้านเดินหอบตระกร้าผ้าที่มีผ้าปูที่นอนออกมาบอก
“เมื่อวานเพิ่งจะเปลี่ยนเองไม่ใช่หรือป้า ผมไม่ใช่พวกรักสะอาดขนาดต้องซักผ้าปูที่นอนทุกวันหรอกนะครับ ซักสัปดาห์ละครั้งก็ได้ ตอนที่ผมอยู่อเมริกาผมเปลี่ยนผ้าปูที่นอนเดือนละครั้ง”
ฐากูร บอกแม่บ้านด้วยท่าทางอารมณ์ดี
“แต่ป้าเห็นมันมีรอยเปื้อน เอ้อ..เหมือนเปื้อนเลือดน่ะค่ะก็เลยจะเอาไปซัก” แม่บ้านตอบยิ้ม ๆ
“อะไรนะป้า..ผ้าปูที่นอนผมน่ะหรือครับจะเปื้อนเลือด บ้าน่า.ผมไม่ใช่ผู้หญิงนะป้าจะได้มีรอบเดือนเปื้อนที่นอนได้”
ฐากูร บอกเสียงขบขัน แต่เขาก็รู้สึกสังหรณ์ใจบางอย่างขึ้นมาในใจเหมือนกัน
“เมื่อคืนคุณพาผู้หญิงมานอนด้วยหรือเปล่าละคะ เธออาจจะมีเมนส์ก็ได้นี่คะ..แต่ถ้าไม่ใช่ป้าก็ต้องขอเดาว่าเป็นเลือดของสาวพรหมจรรย์ล่ะค่ะ”
แม่บ้านกล่าวสัพยอกขบขัน แต่คนฟังขำไม่ออก
ฐากูร ใจหายวาบรีบขอดูผ้าปูผืนที่เปื้อนนั้นอย่างร้อนใจ เขาคลี่มันออกมาดูเห็นรอยคล้ายเลือดบนผ้าปูที่นอนที่ยับยู่ยี่อย่างที่แม่บ้านบอก เขาตัวเย็นวาบไปชั่วขณะขออย่าให้เป็นเลือดพรหมจรรย์ของผู้หญิงคนนั้นอย่างที่แม่บ้านพูดเล่นก็แล้วกัน
“เฮ้ย!..นี่มันหยดเลือดจริง ๆ น่ะหรือป้า” เขาอุทานใบหน้าตกใจ
“คิดว่าใช่ค่ะ..ป้าทำความสะอาดเสร็จแล้วขอตัวนะคะ เดี๋ยวป้าเอาไปซักให้ค่ะ”
แม่บ้านขอตัวออกไปแล้ว แต่ฐากูรยังยืนเซ่ออยู่กับที่ แทบไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เห็นกับตา เขาเคยได้ยินมาว่าผู้หญิงที่บริสุทธิ์จะมีเลือดออกมาในครั้งแรกที่มีสัมพันธ์กับผู้ชาย เขาไม่อยากจะเชื่อว่ามันจะเป็นไปได้ เพราะสมัยนี้ผู้หญิงส่วนใหญ่คงจะพรหมจรรย์ขาดไปตั้งแต่เด็กแล้วเนื่องจากความโลดโผนออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมต่าง ๆ แต่เท่าที่เขาสัมผัสมาไม่เคยเจอผู้หญิงที่รักษาพรหมจรรย์เอาไว้จนมาถึงมือเขา
“นี่มันยุคไหนวะเนี่ย”
ฐากูร สบถออกมา นึกไปถึงเรื่องราวในต่างประเทศที่เคยได้อ่านมา เรื่องมีอยู่ว่าผู้ชายชนเผ่าบางเผ่าเวลาแต่งงานแล้วเข้าห้องหอกับเจ้าสาวจะต้องเอาผ้าที่เปือนเลือดออกมาโชว์ให้กับคนอื่นรับรู้เพื่อเป็นการประกาศให้ทุกคนได้ทราบกันถ้วนหน้าว่าได้แต่งงานกับเจ้าสาวที่บริสุทธิ์ผุดผ่องจริง ๆ ถือเป็นเกียรติแห่งความภาคภูมิใจของเจ้าบ่าวและครอบครัวอย่างที่สุด แต่ฐากูรไม่ได้ถือเรื่องพวกนี้ว่าเป็นความภูมิใจอะไรเลย เขากลับไม่สบายใจด้วยซ้ำ
“ตลกฉิบ! เราไม่ได้เป็นผู้ชายในเผ่านั้นน่ะโว้ย”
เขาบอกกับตัวเอง แต่ก็ตลกไม่ออกเอาเสียเลย
ความร้อนใจใคร่รู้ทำให้ฐากูรต้องรีบกดโทรศัพท์ไปหาทินกรทันที เขาต้องการติดต่อพูดคุยกับธัญญาเพื่อสอบถามถึงใบหม่อน
เขาก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมจะต้องไปสนใจติดตามถามหาเจ้าหล่อนด้วย ในเมื่อผู้หญิงคนนั้นก็เต็มใจที่จะมานอนกับเขาเอง แต่ภาพที่ใบหม่อนเมา แต่ก็ยังพยายามขัดขืนเขาด้วยความเจ็บปวดทำให้เขาไม่สบายใจรู้สึกผิดในใจชอบกล
“มีมี่เพิ่งจะแยกจากฉันไปเมื่อกี้นี้เอง แกมีธุระอะไรกับมีมี่วะ” ทินกร ถามฐากูรที่โทรมาด้วยความแปลกใจ
“งั้นฉันขอเบอร์มือถือมีมี่หน่อย”
“แกมีอะไรกับมีมี่ หรือว่าสนใจกิ๊กฉันวะนายตั้ม” ทินกรแกล้งถามแซวกลับ
“ฉันไม่ได้สนใจกิ๊กแกหรอกโว้ย..แต่สนใจเพื่อนของมีมี่” ฐากูรบอกเสียงหงุดหงิด
“เพื่อนมีมี่.. อ๋อ..คงจะเป็นใบหม่อนล่ะสิ อะไรวะ..ฟันเด็กนั่นครั้งเดียวติดใจถึงกับอยากจะให้มีมี่ติดต่อให้อีกหรือไงเพื่อน ท่าทางผู้หญิงคนนั้นคงมีทีเด็ดน่าดูว่ะ”
ทินกร พูดกระเซ้าหัวเราะสดใส แต่ฐากูรไม่ได้ขำด้วยเลย
“อย่าเพิ่งพูดมากได้ไหม เอาเบอร์มีมี่มาให้ฉันเร็ว ๆ เข้า”
พอได้ยินน้ำเสียงซีเรียสจริงจังของเพื่อน ทินกรก็รีบบอกไป
...
ฐากูร โทรเข้ามือถือของธัญญาหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ให้ฝากข้อความเอาไว้ตลอด จนเขาต้องโทรไปถามย้ำกับทินกรอีกครั้งเพื่อให้ยืนยันว่าเป็นเบอร์ของธัญญาจริง ๆ
“แต่ฉันโทรไป มีแต่ให้ฝากข้อความตลอดเลยน่ะโว้ย” ฐากูรบอกอย่างหัวเสีย
“แสดงว่ามีมี่ไม่พร้อมที่จะรับสายน่ะสิ เอาไว้ค่ำ ๆ แกก็ค่อยโทรใหม่สิวะ ทำเป็นวัยรุ่นใจร้อนไปได้ แต่ฉันถามจริง ๆ เถอะ แกจะถามมี่มี่เรื่องอะไรวะ” ทินกรอดอยากรู้ไม่ได้
“แกอย่าเพิ่งซักตอนนี้เลย ฉันยังไม่มีอารมณ์จะเล่า แต่บ่ายนี้ฉันจะไปเยี่ยมลูกเมียเจ้าเมธมันที่โรงพยาบาล แกจะไปด้วยหรือเปล่า” ฐากูรกล่าวชวน
“วันนี้วันครอบครัวว่ะ บ่ายนี้ต้องพาแม่ไปบ้านญาติ ไว้วันหลังก็แล้วกัน”
“เกือบลืม วันนี้ฉันก็จะแวะไปหาแม่เหมือนกัน งั้นแค่นี้นะ”
ฐากูร วางสายจากทินกรแล้ว ก็แต่งตัวเพื่อจะเดินทางไปคฤหาสน์ของตระกูลเป็นการพบปะกับสมาชิกในครอบครัว
เสียงเพลงที่ดังขึ้นในขณะที่ฐากูรกำลังเปิดประตูรถจะเข้ามานั่ง ทำให้เขาแปลกใจมองหาต้นเสียงที่อยู่ในรถของเขา ซึ่งคาดว่าจะเป็นเสียงสัญญานมือถือ แต่คงไม่ใช่ของเขาแน่นอน เพราะเสียงเพลงจากสัญญาณมือถือที่เรียกเข้านั้นเป็นเพลงลูกทุ่ง ในขณะที่ของเขาจะเป็นเพลงสากลที่ชื่นชอบ
สายตาของฐากูรหันไปเห็นกระเป๋าสะพายแบบผู้หญิงวางตกอยู่ที่พื้นฝั่งคนนั่งที่อยู่ข้างคนขับ เขารีบก้มตัวลงไปหยิบกระเป๋านั้นขึ้นมา พบว่าเป็นกระเป๋าสีดำที่เขาเห็นใบหม่อนคล้องไหล่เอาไว้เมื่อคืนนี้ เขาตัดสินใจล้วงเข้าไปหยิบมือถือในกระเป๋าใบนั้นทันที ก่อนจะกดรับสายแทนเจ้าของเครื่องโดยที่ไม่ยอมพูดอะไรออกไป
“ฮัลโหล..ใบหม่อนนี่แม่เองนะลูก แม่โทรหาหลายครั้งแล้วตั้งแต่เมื่อคืน ทำไมไม่รับสายสักที แม่เป็นห่วงแกจนนอนไม่หลับทั้งคืน ลูกมาอยู่กรุงเทพฯตัวคนเดียวแบบนี้ พ่อกับแม่อดเป็นห่วงไม่ได้ แล้วนี่ลูกเป็นอะไรหรือเปล่า”
เสียงที่พูดมาด้วยน้ำเสียงร้อนรนเป็นห่วงลูกสาวนั้น ทำให้ฐากูร ชะงักไปก่อนจะตัดสินใจพูดโต้ตอบ
“ขอโทษนะครับ พอดีผมเก็บมือถือเครื่องนี้ได้ ไม่ทราบว่าคุณป้า..เป็นอะไรกับเจ้าของมือถือเครื่องนี้ครับ”
ฐากูร ถามกลับไปเพื่อให้แน่ใจ
“ฉันเป็นแม่ของใบหม่อนค่ะ เบอร์มือถือที่ฉันโทรมาน่ะเป็นของลูกสาวฉัน” เสียงทางนั้นยืนยันมา
“ผมกำลังจะติดต่อคืนมือถือนี้ให้กับเจ้าของเครื่องพอดีเลยครับ แต่ไม่รู้จะติดต่อที่ไหนก็พอดีคุณป้าโทรมานี่แหละครับ”
ฐากูร รู้ว่าเขากำลังโกหกแต่ก็ทำไปเพื่ออยากจะรู้จักใบหม่อนให้มากกว่าที่เขารู้จักเมื่อคืนนี้
“ตายแล้ว ใบหม่อนทำมือถือหายหรือคะ แล้วคุณเก็บได้ที่ไหนคะ” มารดาของใบหม่อนมีน้ำเสียงตกใจ
“ผมเก็บได้จากในผับเมื่อคืนนี้ สงสัยว่าลูกสาวของคุณป้าคงจะเมามากจนลืมมือถือน่ะครับ”
เขาแกล้งพูดออกไป เพื่อหวังจะได้ข้อมูลเกี่ยวกับใบหม่อนกลับมาบ้าง
“คุณพูดอะไรน่ะ ลูกสาวของฉันน่ะหรือจะไปเที่ยวผับกินเหล้าเมายาอย่างที่คุณว่า ไม่มีทางหรอกค่ะฉันเลี้ยงลูกมาดี ใบหม่อนเป็นเด็กเรียบร้อย ฉันไม่เชื่อว่าลูกจะไปที่แบบนั้น”
เสียงที่โต้กลับมานั้นเหมือนไม่พอใจอย่างมาก
“แต่ผมเก็บเครื่องนี้ได้ในสถานที่เที่ยวกลางคืนจริง ๆ นะครับ ถ้าลูกสาวป้าไม่ได้ไปเที่ยว แล้วมือถือเครื่องนี้จะไปตกอยู่ในที่แบบนั้นได้ยังไงล่ะครับ”
“อันนั้นฉันไม่รู้ อาจจะมีคนยืมมือถือใบหม่อนไปก็ได้ เดี๋ยวฉันจะโทรติดต่อใบหม่อนที่ห้องพักในคอนโดดูก่อน”
“คุณป้ามีเบอร์ติดต่อใบหม่อนหรือครับ งั้นผมขอเบอร์ด้วยครับ จะได้โทรนัดติดต่อคืนมือถือให้คุณใบหม่อน”
“ไม่ได้หรอกคุณ เอาไว้ฉันติดต่อลูกสาวฉันได้ก่อน แล้วฉันจะให้เขาโทรเข้ามือถือนี้ก็แล้วกัน”
พูดจบทางโน้นก็รีบวางสายไปทันที ฐากูร วางมือถือกลับลงไปในกระเป๋าสีดำนั้นเหมือนเดิม และถือวิสาสะค้นดูในกระเป๋า
เขาเห็นมีกระเป๋าใบเล็กใส่เครื่องสำอาง แล้วก็มีกระเป๋าสตางค์อยู่ด้วยจึงหยิบมาเปิดดูข้างในนั้นมีเงินอยู่ราวสองพันกว่าบาท มีบัตรเอทีเอ็มรวมทั้งบัตรประชาชนด้วย
ฐากูร ดึงบัตรประชาชนออกมาดูด้วยความอยากรู้
“นางสาวใบหม่อน สีนาดอน”
เขาอ่านชื่อนามสกุลนั้นออกมาพร้อมกับจ้องมองภาพถ่ายบนบัตรประชาชนด้วยความสนใจ หน้าตาของใบหม่อนดูสวยใสน่าเอ็นดู ต่างจากเมื่อคืนนี้ที่แต่งหน้าแต่งตัวเป็นสาวเปรี้ยว จากนั้นเขาก็อ่านดูวันเดือนปีเกิด แล้วก็ที่อยู่ซึ่งระบุว่าอยู่หมู่บ้านแห่งหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ฐากูร เก็บทุกอย่างลงในกระเป๋าเหมือนเดิม แล้วก็ยกกระเป๋าสะพายสีดำนั้นไปเก็บไว้ที่เบาะด้านหลังรถแทน
เขานึกแปลกใจว่าใบหม่อนออกจากห้องเขาไปโดยไม่มีเงินติดตัวเลยหรือไร เธอไม่อยู่รอจนเขาตื่นเพื่อจะได้ถามหากระเป๋า สร้างความสงสัยแปลกใจให้กับฐากูรไม่น้อย เขาสลัดความคิดเรื่องของ ใบหม่อนเอาไว้เพียงแค่นี้ ก่อนจะสตาร์ทรถขับออกจากคอนโดที่พักไปหามารดาที่บ้าน
...
ธัญญา กลับมาถึงห้องพักที่คอนโดก็พบว่าประพจน์ที่เป็นทั้งเจ้านาย และผู้ให้การเลี้ยงดูเธอ ได้นั่งรออยู่ในห้องแล้ว ธัญญา รีบโผเข้าไปกอดจูบเอาอกเอาใจประพจน์เหมือนที่เคยทำ
“ไม่คิดว่าวันหยุดแบบนี้ท่านจะแวะมาหามีมี่ แล้วทำไมไม่โทรมาบอกก่อนล่ะคะท่านขา..” ธัญญา อ้อนเสียงหวาน
“ฉันโทรหาเธอตั้งแต่เมื่อคืน แต่ก็ให้ฝากข้อความตลอด ทำไมเธอต้องปิดมือถือด้วย” ประพจน์ทำหน้าหงุดหงิด
“อุ๊ย..ตายจริงสงสัยว่าจะแบ็ตหมดน่ะค่ะ มีมี่ไม่ได้ปิดมือถือนะคะ และอีกอย่างเห็นว่าวันหยุดแบบนี้ ท่านคงไม่มาหามีมี่อยู่แล้วก็เลยไม่ได้สนใจดูมือถือน่ะค่ะ” ธัญญา แก้ตัว
หากประพจน์รู้ว่าเมื่อคืนนี้เธอไปนอนค้างกับทินกรที่โรงแรมมาทั้งคืน เขาก็คงจะหยุดส่งเสียเลี้ยงดูเธอเป็นแน่แท้
“เธอไปเที่ยวไหนมาเมื่อคืน”
ประพจน์ยังไม่คล้อยตามท่าทางออดอ้อนเอาใจของธัญญา
“เออ..ไปสังสรรค์กับเพื่อน ๆ คนบ้านเดียวกันค่ะ”
“สังสรรค์กับเพื่อน ๆ หรือแอบไปนอนกับใครมา”
ประพจน์จ้องหน้าธัญญาอย่างจับผิด
“โถ..ท่านขา..ทำไมถึงได้พูดให้มีมี่ช้ำใจแบบนี้ล่ะคะ ท่านไม่ไว้ใจมีมี่หรืออย่างไรคะที่พูดแบบนี้” ธัญญาตีหน้าเศร้า
“แล้วเธอทำตัวให้น่าไว้ใจหรือเปล่าล่ะ” เสียงของประพจน์เริ่มอ่อนลง
“มีมี่ไม่ได้ทำอะไรผิดนี่คะ มีมี่ก็แค่ออกไปเที่ยวกับเพื่อน ๆ คลายเหงาเวลาที่ท่านไม่มาหาก็เท่านั้นเอง ท่านจะให้มีมี่นั่งเหงาอยู่ในห้องรอท่านหรือไงคะ มีมี่ก็ต้องมีสังคมเพื่อนฝูงบ้างสิคะ”
“ถ้าเธอไปเที่ยวเฉย ๆ ฉันไม่ว่าหรอก แต่ถ้าเธอไปนอนกับผู้ชายล่ะ”
“ตายแล้ว..ท่านขา..นี่ท่านกำลังปรักปรำมีมี่อยู่นะคะ ฮือ ๆ มีมี่เสียใจนะคะที่ท่านใส่ร้ายมีมี่แบบนี้”
ธัญญาสั่งน้ำตาให้เอ่อท่วมตาได้อย่างรวดเร็วราวกับนักแสดงมืออาชีพ
“เอาเถอะ ๆ ฉันก็แค่พูดไปเพราะหึงน่ะ ถ้าเธอไม่ได้ทำอย่างที่ฉันกลัวก็ดีแล้ว เธอก็น่าจะรู้นะมีมี่ว่าฉันรักเธอมากแค่ไหน ฉันทุ่มเทให้เธอทุกอย่างก็ต้องหวังให้เธอซื่อสัตย์กับฉันบ้างก็เท่านั้นเอง”
“มีมี่ซื่อสัตย์กับท่านแน่นอนค่ะ มีมี่รู้ค่ะว่าที่มีมี่มีรถมีห้องพักหรูหรามีเงินทองใช้จ่ายไม่ขาดมือ มีเงินไปช่วยพ่อแม่ที่บ้านนอกให้อยู่สุขสบายก็เพราะท่าน แล้วเรื่องอะไรมีมี่จะทำให้ท่านเสียใจล่ะคะ”
ธัญญาออดอ้อนกอดจูบประพจน์จนเขาใจอ่อนยอมคล้อยตาม
“ฉันดีใจที่ได้ยินเธอพูดแบบนี้ อาทิตย์หน้าเธอก็เตรียมตัวเก็บเสื้อผ้าไปเนเธอร์แลนด์กับฉันก็แล้วกัน”
“ไปเนเธอร์แลนด์!..ไปทำไมคะ”
ธัญญาทำหน้าแปลกใจเพราะประพจน์ไม่เคยพูดเรื่องนี้ให้ฟังมาก่อน
“ฉันตั้งใจจะไปเยี่ยมลูกสาวที่โน่น แล้วก็กะว่าจะเที่ยวอยู่ที่นั่นสักเดือน ภรรยาของฉันเขาจะดูแลงานทางนี้แทน เขายอมให้ฉันไปพักผ่อนอยู่กับลูกที่โน่น ฉันก็เลยคิดว่าจะพาเธอไปด้วย”
“ภรรยาของท่านจะไม่สงสัยหรือคะที่เลขาส่วนตัวก็หายไปพร้อมกับเจ้านาย”
“ไม่หรอกฉันบอกเขาไปแล้วว่า ระหว่างที่ฉันไปเมืองนอกฉันจะให้เธอพักร้อนกลับบ้านที่ต่างจังหวัด”
“แหม..ที่แท้ท่านก็วางแผนเอาไว้หมดแล้วหรือคะเนี่ย”
ธัญญา หัวเราะสดใสที่เธอจะได้ไปเที่ยวต่างประเทศทั้งเดือน
“ใช่..ฉันถึงได้แวะมาเซอร์ไพรส์เธอเรื่องนี้ไงล่ะ ช่วงนี้เธอก็รีบสะสางงานให้เรียบร้อยก็แล้วกัน ออ..แล้วก็อย่าออกไปเที่ยวสังสรรค์กับเพื่อนล่ะ เพราะว่าฉันจะมาอยู่กับเธอทั้งสัปดาห์เลย”
“อะไรนะคะ ท่านจะมาอยู่ที่นี่ เออ..ทั้งสัปดาห์เลยหรือคะ”
“ทำไม..เธอมีปัญหาอะไร ท่าทางเหมือนตกใจ”
“ไม่ใช่ค่ะ มีมี่ดีใจต่างหากล่ะคะ”
ธัญญา ยิ้มประจบเอาใจ แต่ภายในใจนั้นรู้สึกอึดอัดที่จะต้องอยู่ในสายตาของประพจน์ ซึ่งจะทำให้เธอไม่สามารถจะกระดิกตัวไปกับหนุ่มคนไหนได้ โดยเฉพาะทินกร
ถึงอย่างไรช่วงนี้ธัญญา ก็คงจะต้องหยุดการติดต่อกับทินกรไปก่อนชั่วคราวเพื่อไม่ให้ประพจน์สงสัยในพฤติกรรม
