ep9
“อาหมอทำได้ทุกคนเลยหรือครับ”
ตะวันยังคงสับสนมึนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ใจหนึ่งก็เชื่อว่า ใช่... ชายคนนั้นคือเขาเอง และไม่ใช่เขาในชาตินี้
“ไม่หรอกครับคุณตะวัน ผมชักจูงจิตได้ก็เพียงบางคนเท่านั้น อย่างที่ผมบอกคุณไง? ศรัทธาในน้ำเปล่าของสาวชาววังนโปเลียน” หมอชยนต์ยิ้มเมตตา
“จิตของคุณพร้อมที่จะดิ่งสู่ภวังค์แห่งอดีตชาติอยู่แล้ว ผมก็แค่ช่วยให้มันเข้าถึงเร็วขึ้นเท่านั้น”
“อาหมอ แล้วถ้าจิตมันดิ่งลงไปเรื่อย ๆ ไม่กลับมา”
ตะวันเพ่งมองไปที่หมอชยนต์ด้วยความกังวล
“ผมคอยช่วยคุณอยู่ ยังไงผมก็ต้องดึงสติของคุณกลับคืนมาปัจจุบันให้ได้”
เปลือกตาของตะวันเริ่มปรอยหรี่ลงจนเกือบหลับ แต่เขาพยายามฝืนที่จะนั่งคุยกับหมอชยนต์
“ผมรู้สึกกลัวที่จะหลับจังครับอาหมอ ทำยังไง? ผมจึงจะไม่หลับ”
เสียงตะวันครางออกมาอย่างแผ่วเบา หูของเขาได้ยินเสียงหัวเราะแว่ว ๆ แทรกเข้ามา
“หลับเถอะตะวัน คุณเหนื่อยมากเลยนะวันนี้ แต่เดี๋ยวลุกขึ้นก่อนไปนอนให้สบายตรงโน้นดีกว่า”
ตะวันคล้ายกับตัวเองไม่ค่อยรู้สึกตัวเท่าไร แต่ก็พยายามฝืนลุกขึ้นเดินโดยมีชายร่างใหญ่ ผู้ช่วยหมอชยนต์ก้าวเข้าประคองตะวันให้มานอนบนเตียงเล็ก ๆ เตียงหนึ่ง แล้วเขาก็หลับไป หลับอย่างสบายที่สุด นับตั้งแต่วันที่เขาได้ยินเสียงควบม้าเมื่อหลายเดือนก่อน
“หลวงพ่อจะไม่บอกบัวหรือเจ้าคะ? ให้รอแบบนี้บัวเป็นห่วงเขา”
สโรชาพนมมือไหว้พระอาจารย์ร่างท้วมที่มีรอยยิ้มเมตตาอยู่เป็นนิจ ถัดจากสโรชาก็เป็นพ่อและแม่ของเธอ พลตำรวจเอกรุ่งโรจน์และคุณหญิงนวลจันทร์ ซึ่งทั้งคู่ก็อยากรู้เรื่องความฝันประหลาดของตะวันไม่แพ้ลูกสาว
“มันเป็นเรื่องของเขา เราจะไปรู้ทำไม เหตุเกิดที่เขาก็ต้องดับที่เขา”
“แต่หนูเป็นห่วงเขานี่คะ”
“ไม่มีอะไรหรอกอีหนูเอ๊ย วันหนึ่งมันก็เข้ารูปเข้ารอยเองนั่นแหละ”
“แต่หนูกลัวนี่เจ้าคะหลวงพ่อ ยิ่งหลวงพ่อให้เลื่อนงานแต่งออกไป หนูเกรงว่า... เขาจะเกิดอันตราย”
หลวงพ่อหัวเราะหึหึ... ยกป้านน้ำชารินใส่จอกเล็กแล้วยกดื่ม ไม่พูดไม่จา
“หลวงพ่อเจ้าคะ เขาทั้งคู่เป็นเนื้อคู่กันแน่หรือเจ้าคะ?”
และแล้วมารดาที่นั่งฟังอยู่นานก็เก็บอาการไม่ไหว อยากจะรู้ให้แน่ชัดออกไปว่าตะวันกับลูกสาวของเธอนั้นคือคู่แท้กันแน่หรือ?
“ไม่มีใครเป็นคู่แท้ของใครไปตลอดหรอกโยม มันก็แล้วแต่คำอธิษฐานของใคร คนเราเกิดมาหลายชาติหลายภพ อธิษฐานขอเป็นคู่กับใครมั่งก็ไม่รู้ เพราะเวลาเกิดตรงกันบ้าง ไม่ตรงกันบ้าง อย่าไปใส่ใจกับคู่แท้ คู่ไม่แท้เลย”
“อ้าว... แล้วอย่างนี้ จะอยู่กันยืดหรือเจ้าคะ?”
มารดาสโรชาตบอกผางไม่เข้าใจในคำบอกกล่าวของพระ
“การเจอกัน ใช้ชีวิตด้วยกัน ถือว่าทำกรรมร่วมกันมา ทำให้ต้องอยู่ร่วมกัน ช่วยเหลือกัน กรรมดีก็มีความสุข กรรมไม่ดีก็ไม่มีความสุข”
หลวงพ่อตอบอย่างอารมณ์ดี สายตาเหลือบมองไปยังสามีของเธอ
แม้จะเป็นเพียงสายตาที่มองมาอย่างธรรมดาก็ทำให้บิดาของสโรชาร้อนๆ หนาว ๆ
“คำอธิษฐานด้วยจิตบริสุทธิ์นั้นมีฤทธานุภาพนักหนา สมัยก่อนผู้ชายมีอำนาจมีบุญวาสนาสูง ก็มักมีผู้หญิงมาเป็นภรรยามากหน้าหลายตา อาศัยอยู่ร่วมชายคาเดียวกันได้”
“หมดสมัยแล้วค่ะหลวงพ่อ” มารดาเธอสะบัดหน้าใส่บิดา สโรชาทำตาโต ไม่รู้ความนัย
“กรรมของการมีภรรยาหลายคนในสมัยก่อน บางครั้งก็ส่งผลให้เขาต้องเลี้ยงดูผู้หญิงที่เคยอธิษฐานร่วมกันมา ถือว่าสร้างกรรมร่วมกันมานะโยม”
“ฮึ” เสียงถอนใจปนเสียงไม่พอใจออกมาเล็กน้อย
“เพราะกรรมตัวเดียวละโยม ทำให้ผูกพันเป็นความรักข้ามชาติข้ามภพกันมา เราต้องตัดกรรม บางคนตัดได้ บางคนตัดไม่ได้ ก็แล้วแต่กรรมของแต่ละคนนะโยมนะ” หลวงพ่อกล่าวสอนมารดาสโรชาด้วยรอยยิ้มพร้อมทั้งหันไปมองทางสโรชา
“พ่อหนุ่มตะวันก็เหมือนกัน เขากำลังจะสะสางกรรมที่เป็นบ่วงพันธนาการเขาอยู่ รอสักพัก บ่วงนั้นก็จะหลุดพ้นไปเอง”
**************
‘บุญอิน’ กำลังร่ำลาเมียรักด้วยความอาลัย ผ้าประเจียดที่หลวงพ่อให้มานั้นเขาพันทบไว้ในชายพกอย่างดี เสียดายที่นางบ่อาจเดินทางร่วมกับเขาได้ เพราะจำต้องดูแลพ่อเฒ่าเสริมพ่อของนาง มิฉะนั้นเขาเองจะนำพานางกลับไปอยู่เสียด้วยกันที่เวียงพระธาตุ
“อ้ายไปเถิด บ่ต้องห่วงคำสี พ่อเลี้ยงดูคำสีมาแต่น้อย ทิ้งบ่ได้”
นางคำสีกอดเอวผู้ผัวอย่างแสนรัก แต่มิอาจทำตามดังที่ใจปรารถนา ใจของนางปรารถนาจะอยู่ร่วมกับผัวทุกเมื่อเชื่อวัน
“อ้ายเดินทางบ่นานดอก บัดเดี๋ยวก็กลับมา ออกเวรเมื่อใด จักควบม้ามาถึงเรือนทันที”
บุญอินลั่นคำสัญญาดุจหินผาอันหนักแน่น สาวเจ้าผู้เกล้าผมมวยสวยหวานอิงแอบ เชื่อมั่นเพราะรู้คำจากปากผัวนั้นหนักแน่นกว่าหินผา
“อีสาวข้างเรือน มันปากเสี้ยม ปากสอดหลาย ว่าอ้ายบ่มีทางกลับมาหาคำสีอีก ผู้สาวเวียงพระธาตุนั้นงามนัก งามกว่าคำสีเป็นแน่แท้”
“อย่าได้เชื่อผู้ใด จงเชื่อใจอ้าย อ้ายบ่แปรผันดอก รู้อยู่แก่ใจบ่แม่นหรือ?”
