ep8
ตะวันมองเพื่อนรัก ก้อนสะอื้นแล่นขึ้นมาจุกอยู่ที่คอ เขารู้พลเป็นห่วงเขามากจนไม่อยากไปน้ำงึม ชีวิตเขาติดหนี้พลมาตั้งแต่เรียนเตรียมทหาร ไม่ใช่เขาเพียงคนเดียวเท่านั้น กระทั่งเพื่อนร่วมรุ่นในวันนั้นก็เช่นกัน
พลขับรถมาจอด เปิดท้ายรถขนกระเป๋าใบย่อมออกมาแล้วยื่นกุญแจให้ตะวัน
“ฉันก็ไม่รู้จะกลับเมื่อไหร่? แต่ฝากรถไว้ที่นาย ยังไงจะโทร.บอกให้นายมารับ ก็ไม่น่าจะเกินสองสามเดือนหรอก”
“ไม่มีปัญหา” ตะวันตบบ่าเพื่อน ขยับเดินจะไปส่ง
“ไม่ต้อง นายกลับได้เลย แล้วอย่าลืมที่ฉันขอ นายไปหาอาหมอทุกเสาร์ด้วยนะ ฉันนัดไว้แล้ว”
ตะวันมองพลเหมือนตัวประหลาด เพื่อนคนนี้ของเขาทำตัวราวกับพ่อเขา
“อย่ามองฉันอย่างนั้นสิ ฉันเองก็อยากจะรู้เรื่องของนายเหมือนกันตลอดเวลาที่รู้จักกันมา ฉันไม่เคยเห็นนายร้องไห้ว่ะ ยกเว้นเมื่อคืน”
ตะวันอึ้งไปประกายตาบางอย่างแวบขึ้นมาเหมือนไม่แน่ใจเหมือนสงสัย
“ฉันรู้! นายไม่อยากให้ใครเห็นน้ำตานายหรอก เพราะฉะนั้นนายต้องรักษา เชื่อฉัน”
ตะวันพยักหน้ารับ โบกมือลาเพื่อนที่เดินลับหายไปในห้องผู้โดยสาร เพื่อนสนิทของเขาที่แทบจะเป็นเงาตามตัว แต่เวลาที่หายไปก็หายไปจนคิดว่าเพื่อนยังมีชีวิตอยู่หรือไม่
‘เฮ่อ!’ ลองดูสักตั้งกับการรักษาแบบจิตวิทยา ก็ยังดีที่ไม่ได้เป็นคนไข้ของโรงพยาบาลจิตเวช ดีเท่าไรแล้วที่รักษาเป็นการส่วนตัว
“ผมจะให้คุณมองลูกตุ้มที่แกว่งอยู่ในมือผมนะครับ ทำใจให้สบาย”
หมอชยนต์บอกด้วยน้ำเสียงนุ่มเป็นกันเอง ค่อย ๆ คุยกับตะวันช้า ๆ เป็นกลวิธีในการที่จะทำให้ตะวันคล้อยตามในสิ่งที่เขาพูดไปเรื่อย ๆ หลักจิตวิทยาในการชักจูงจิตของชยนต์ เคยทำให้ใครหลายคนหายขาดจากความหวาดกลัวที่ฝังลึกอยู่ในจิตใจมาแล้ว แต่ที่เขาไม่เคยบอกตะวันเลยก็คือจิตของบางคนนั้นตกภวังค์ลึกลงไปในอดีตชาติโดยที่เจ้าตัวไม่รู้
“คุณเห็นอะไรบ้างครับ? เห็นอะไรในตอนนี้ ตอนที่คุณหลับสบาย ตอนที่คุณผ่อนคลายที่สุด”
เสียงอาหมอชักจูงจิตไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งในที่สุด จิตของตะวันก็ตกอยู่ในภวังค์
เสียงควบม้า กุบกับ กุบกับ ดังมาไกล ๆ ค่อย ๆ ชัดขึ้น ชัดขึ้น
ตะวันมองเห็นคนที่ควบอยู่บนหลังม้า เขาสวมเสื้อแขนกุดเหมือนเสื้อกั๊ก ไม่สิ เหมือนเสื้อยันต์อย่างใดสักอย่าง ด้านหน้าผ่าตลอด มีปมใช้เป็นเชือกมัดอยู่ด้านหน้า ผมยาวรวบมัดมวยอยู่เบื้องหลัง ใบหน้ามีเหงื่อไคลไหลย้อย ผิวมันมะเมื่อมคล้ายเดินทางมาไกลนักหนา เสียงม้าชะลออยู่ในลานกว้าง ชายผู้อยู่บนหลังม้ากำลังมองหาใครสักคน เหลียวซ้ายแลขวาอย่างร้อนรนในใจ
“คุณเห็นใคร ตะวัน คุณจำได้ไหมว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร?”
เสียงทุ้มนุ่ม แทรกเข้ามาในภวังค์
ตะวันพยายามเพ่งมองใบหน้าของคนที่อยู่บนม้าให้ชัดเจน แต่ร่างของชายคนนั้นควบคุมม้าหันไปทุกทิศทางทำให้ตะวันมองไม่ชัด แต่เขารู้สึกว่าเขาเจ็บปวดกับภาพที่เห็น
‘คำสี คำสีอยู่ไหน อ้ายมาแล้ว อ้ายมารับมาคำสีแล้ว คำสีเอย’
เสียงของชายคนนั้นตะโกนก้อง สลับกับการควบม้าไปรอบ ๆ บริเวณ แล้วม้าก็ผ่านเรือนไปอีกหลายเรือน จนตะวันเริ่มเหนื่อยหอบและหัวใจเริ่มเต้นแรงขึ้น
“คำสี คำสี”
ตะวันตื่นจากภวังค์ อาการหอบเกิดขึ้นจริง เหงื่อกาฬเปียกชุ่มไปทั้งหลัง
“เกิดอะไรขึ้นครับหมอ ผมเป็นอะไรไป?”
“คุณจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม แต่ผมบอกคุณได้ว่าคุณตกอยู่ในภวังค์ของการสะกดจิตจากผม และจิตของคุณนั้นดิ่งลึกลงไปในอดีตชาติของคุณเอง”
หมอชยนต์กล่าว พร้อมทั้งเปิดเทปบันทึกเสียงให้เขาฟัง
“ใบหน้าผม ผมคือคนที่ควบม้า คำสี ผมกำลังตามหาผู้หญิงที่ชื่อคำสี”
เสียงของเขาเอง เขาพร่ำพูดอะไรบางอย่างในภาพที่เขาเห็นไม่ค่อยปะติดปะต่อกันนัก เหมือนว่าเขากำลังวุ่นวายอยู่กับภาพที่เห็นและความรู้สึกที่ส่งผ่านถึงกันระหว่างชายคนนั้นและตัวของเขาเอง
“คำสีเป็นใคร ทำไมผม เอ่อ.. ชายคนนั้นต้องตามหา?” ตะวันถามออกไปโดยเร็วเมื่อได้ฟังเสียงทั้งหมดจบลง
“ผมว่าคุณไปล้างหน้าล้างตาก่อนดีกว่า เดี๋ยวเราค่อยมาคุยกัน”
หมอชยนต์กล่าวเสียงเรียบไม่ได้แสดงอาการตื่นเต้นแต่อย่างใด เขาย่อมรู้ สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้
“จิตของผม ทำไมจึงดิ่งลึกลงไปถึงอดีตชาติได้ละครับ?”
ตะวันทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับหมอชยนต์ เขาเต็มไปด้วยความสงสัยฉงนใจ
“เอาง่าย ๆ นะครับ คุณเคยได้ยินได้ฟังเรื่องราวของการนั่งสมาธิแล้วเห็นอดีตชาติไหมครับ?”
“ครับ ผมเคยได้ยิน”
“ก่อนหน้านี้ คุณเคยเชื่อในเรื่องของอดีตชาติบ้างไหม?”
“ผม... ไม่แน่ใจ”
“ในความเชื่อของเราชาวพุทธ อดีตชาติมีอยู่จริง เพราะมนุษย์เราทุกคนก็อยู่ในวัฏสงสาร มีการเวียนว่ายตายเกิด บางคนระลึกชาติได้โดยไม่ต้องนั่งสมาธิ ฝึกวิปัสสนากรรมฐาน เพราะมีมาแต่เดิม แต่ในทางจิตวิทยาเราเพิ่งค้นพบเมื่อไม่นานมานี้ว่า เราสามารถชักจูงจิตให้จมดิ่งลึกลงไปในสมาธิเพื่อให้เขารู้ในอดีตชาติของเขาได้ แล้วแก้ไขในสิ่งที่เป็นปัญหาแก่เขา”
