ep7
“ได้สิ สรุปง่ายนิดเดียวกับหนังสือสามเล่มนี้ เอาเล่มนี้ก่อนดีกว่า”
หมอชยนต์หยิบหนังสือเกร็ดประวัติศาสตร์ขึ้นมาแล้วเล่าว่าในเกร็ดพงศาวดารของฝรั่งเศสเรื่องหนึ่งบอกว่า ในสมัยนโปเลียนที่ ๓ สาวชาววังกลุ่มหนึ่งในราชสำนัก ชอบใช้ยาระบายของแพทย์คนหนึ่ง ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นยาศักดิ์สิทธิ์ รับประทานง่ายและได้ผลดีในการระบายท้อง ในเวลานั้นประเทศฝรั่งเศสมีกฎข้อบังคับว่าการให้ยา แพทย์ต้องจดลงไปให้แน่ชัดว่ามีส่วนผสมอะไรบ้าง ยาศักดิ์สิทธิ์นี้ก็เช่นกัน แพทย์ผู้ให้ได้ทำฉลากปิดขวดที่ขวดยาบอกส่วนผสมเป็นภาษาละติน
สาวชาววังในสมัยนโปเลียนที่ ๓ ได้ใช้เป็นยาระบายอย่างศักดิ์สิทธิ์มาตลอดเวลานาน นานจนกระทั่งมีคนที่รู้ภาษาละตินมาเห็นเข้าและแปลให้ฟัง สาวชาววังก็ตกใจไปถามแพทย์ว่าจริงหรือไม่ แพทย์ก็ตอบว่าแปลถูกต้องและตั้งแต่นั้นมา ยานั้นก็ไม่มีความศักดิ์สิทธิ์ รับประทานเท่าไรก็ไม่ระบายท้องอีกต่อไป
“ภาษาละตินนั่นคืออะไรหรือครับ?”
“น้ำเปล่า! นายแพทย์เอาน้ำเปล่าใส่ขวดให้ แล้วแกล้งเขียนภาษาละตินไว้ให้เห็นเป็นส่วนผสมมากมายหลายอย่าง ดูเป็นยาที่ศักดิ์สิทธิ์ การกระทำของนายแพทย์อย่างนั้นไม่ใช่เป็นการหลอกลวง แต่เป็นการทดลองเรื่องมหัศจรรย์ทางจิตและก็ทดลองได้ผลสำเร็จเสียด้วย”
“สมัยนั้นคงจะท้องผูกกันมาก ดื่มน้ำเยอะ ๆ ก็ช่วยให้มีการระบายท้องได้ง่ายขึ้น”
“ครับ ใช่”
“อาหมอกำลังจะบอกผมว่า บางทีถ้าผมได้พูดคุยกับอาหมอปลดปล่อยสิ่งที่ค้างคาใจออกมา ผมก็จะดีขึ้น งั้นหรือครับ?”
“ก็ไม่เชิง ผมแค่ชี้ให้คุณเห็นว่าความเชื่อบางอย่างมันทำให้คนเราสามารถที่จะปรับตัวเองและรักษาโรคบางอย่างได้”
“โดยใช้เครื่องมือง่าย ๆ เช่นน้ำเปล่า”
“ถูกต้องครับ”
ตะวันแอบยิ้ม จิตวิทยาบทแรกที่เขาเรียนรู้กับอาหมอ ไม่น่าเชื่อเป็นเกร็ดเล็ก ๆ ในเรื่องความศรัทธาที่เขาไม่คาดคิดมาก่อน
“เรื่องการรักษาทางพุทธก็คงแนวเดียวกัน”
ตะวันหยิบหนังสือขึ้นมาพลิกดู
“ก็ไม่เชิง นั่นเป็นการรักษาทางพุทธ เป็นพุทธประวัติในการสวดโพชฌงค์ของพระภิกษุ ถือเป็นพุทธมนต์”
“แค่การสวดเพียงอย่างเดียวหรือครับ?”
“คุณคิดว่ามันเป็นเพียงการสวดเพียงอย่างเดียวหรือเปล่าล่ะ”
“ผม... ไม่แน่ใจ”
“การสวดมนต์ ล้วนต้องตั้งใจ ตั้งจิตมั่น จิตที่ตั้งมั่นจะส่งพลังไปยังผู้ที่เราทำการรักษา ผมไม่ได้พูดถึงเรื่องปาฏิหาริย์นะครับ ผมพูดถึงเรื่องพลังของจิตที่ช่วยรักษาโรคได้ การสวดโพชฌงค์ก็มีลักษณะเดียวกัน คือรวมจิตไปยังบทสวด สวดให้กับคนที่ต้องการรักษาโรค”
“ผมไม่เข้าใจอยู่ดี” ตะวันยกมือลูบหน้า นี่เขากำลังทำอะไรอยู่!
“ผมคงอธิบายคุณยากไป”
ตะวันส่ายหน้าหัวเราะเบา ๆ
“ก็ไม่เชิงครับ แต่ผมเชื่อว่าจิตผมเข้มแข็งดี แล้วก็งง ๆ ว่า เรื่องพวกนี้มันจะเกี่ยวข้องอะไรกับผมหรือครับ?”
หมอชยนต์ยิ้มความจริงเขาเริ่มรักษาด้วยวิธีการของเขาเลยก็ได้ โดยไม่ต้องอธิบาย แต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงอยากจะอธิบายให้กับหนุ่มคนนี้ได้รับรู้ถึงเรื่องพลังของจิตก็ไม่รู้ หมอชยนต์มองไปที่หนังสือ ‘ศาสตร์ลับของโยคี’ ศาสตร์แขนงหนึ่งซึ่งนักจิตวิทยานำมาประยุกต์ใช้กับการรักษาคนไข้ซึ่งก็คือ การสะกดจิตนั่นเอง บางทีเขาอาจไม่ต้องอธิบายถึงศาสตร์นี้ เพราะดูท่าแล้วตะวันคงไม่อยากรู้เท่าไหร่?
“เป็นไงบ้างวะ หน้าตานายเหมือนไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่?”
พลทักเพื่อนด้วยความเป็นห่วง แต่ก็ไม่ได้รอคำตอบอย่างจริงจัง เพราะเส้นทางที่รถบ่ายหน้าไปนั้นคือ สนามบินสุวรรณภูมิ
“นายจะไปไหน?”
ตะวันหันมาถามเพื่อน เพราะไม่ใช่เส้นทางที่เขาจะกลับบ้าน
“ฉันบอกนายไปแล้วไงล่ะว่าฉันจะไปน้ำงึม ไปตามสืบค้นอะไรสักหน่อย”
“ก็ไหนว่านายเปลี่ยนใจ”
“เปลี่ยนเที่ยวบิน ไม่ได้เปลี่ยนใจ” พลตอบแล้วปรายตาดูเพื่อนรัก
“นายสัญญากับฉันได้ไหมวะตะวัน?”
“อะไร?”
“อาหมอน่ะ นายไปหาเขาทุกวันเสาร์ ฉันเชื่อว่าสิ่งที่นายอยากรู้ นายจะได้รู้ อาหมอช่วยนายได้ นายเชื่อฉันสิ”
“แล้วท่าทางฉันมันไม่เหมือนคนที่จะกลับไปหาอาหมออีกครั้งเหรอวะ?” ตะวันพูดเสียงเนือย
“เชื่อฉันเถอะ นายจะรับรู้ได้ด้วยตัวนายเอง เพียงแต่นายต้องเปิดใจกับอาหมอ เชื่อใจอาหมอก่อน แล้วนายจะได้คำตอบเอง”
ตะวันเงียบเสียงลงหันมองไปนอกรถ ป้ายสุวรรณภูมิบอกทางเป็นระยะ เส้นทางที่ทอดยาวไปข้างหน้าก็ดูเหมือนสายพานเส้นใหญ่ที่ลอดทางโน้นโผล่ทางนี้ ชีวิตของเขาก็คงเหมือนเส้นทางพวกนี้ มันอาจจะลอดลงอยู่ใตถนนยกระดับอีกเส้น แต่ไม่นานมันก็จะขึ้นไปขนานกับถนนอีกเส้น แล้วแต่ว่าเราจะเลือกเส้นทางไปทางไหน ชีวิตของแต่ละคนมีจุดหมายไม่เหมือนกัน และเส้นทางของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกันด้วย
“ดีนะ ที่ทางไปสุวรรณภูมิไม่มีอุโมงค์”
“อะไรของนาย?” พลที่นั่งขับรถอยู่เงียบ ๆ หันมาถามอย่างแปลกใจ
“ชีวิตฉันช่วงนี้ ไม่ใช่ทางโค้งเหมือนวัยรุ่นแล้วว่ะ แต่เป็นทางใต้อุโมงค์ที่รอวันจะโผล่ขึ้นหาแสงสว่าง”
“หึ หึ...นายก็ช่างคิด แต่ก็ดี รถลงอุโมงค์ยังไงมันก็ต้องออกจากอุโมงค์”
“เว้นเสียแต่ว่าภายในอุโมงค์มีอุบัติเหตุ จนฉันไม่สามารถออกจากอุโมงค์นั้นได้” ตะวันยกมือกอดอกอันเป็นลักษณะที่เคยชินเวลานั่งบนรถ
“เออ ฉันเป็นคนขับ ถ้าพานายลงอุโมงค์แล้วเกิดอุบัติเหตุ ฉันนี่แหละจะเป็นเพื่อนนายอยู่ในอุโมงค์เอง”
