ep6
ตะวันรู้สึกดีขึ้น เมื่อหมอใช้คำว่า ‘ให้คำปรึกษา’ ไม่ใช่ ‘บำบัด’
“ผมไม่รู้จะพูดยังไงดี ผมควรจะเริ่มต้นอย่างไรครับ?”
หมอชยนต์ยิ้มแล้วเล่าในเรื่องที่พลบอกเขาคร่าว ๆ ให้กับตะวันฟัง
“ครับ เรื่องเป็นอย่างนั้น ผมไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร? ให้ผมหลับสบายโดยที่ไม่มีความฝันนั้นมารบกวน”
“พลบอกว่าคุณเคยใช้ยานอนหลับ”
“ครับ ผมเคยใช้ แต่ว่าผมก็ไม่อยากใช้มันมากนัก ผมกลัวว่าผมจะติด”
“ดีครับ”
หมอชยนต์มองตาของตะวัน รู้ว่าคนไข้เริ่มคลายความวิตกกังวลและเริ่มไว้เนื้อเชื่อใจเขา
“บัว...ผมหมายถึงแฟนผม เขาจะให้ผมไปหาพระ แต่ผมไม่เชื่อในเรื่องคำทำนายหรืออะไรที่เขาเชื่อ ๆ กัน ว่าพระสามารถเห็นได้ บอกได้”
“คุณไม่เชื่อในธรรมะหรอกหรือ?” หมอชยนต์เลิกคิ้วสงสัย
“เปล่า? ผมเชื่อ! เชื่อในฌานบารมีของพระปฏิบัติดี แต่ว่าในสมัยนี้ อาหมอคิดหรือว่าจะยังมีพระปฏิบัติดีให้เราได้กราบลงอย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ”
“ผมเชื่อว่ามีอยู่ แต่คุณอาจจะยังไม่เจอ”
“ครับ ผมยังไม่เจอ เพราะคล้อยหลังการทำนายทายทักก็เห็นปัจจัยปึกใหญ่มอบให้ทุกที มันทำให้ผมหมดศรัทธา”
“เงินไม่ใช่สิ่งสำคัญ แต่มันก็จำเป็นไม่ใช่หรือ? พระที่รับปัจจัยก็ไม่ใช่พระเลวไปซะทั้งหมดหรอก”
หมอชยนต์พยายามพูดคุยกับตะวันไปเรื่อย ๆ เพื่อให้ตะวันได้ปลดปล่อยความรู้สึกนึกคิดออกมา ที่สำคัญสร้างความคุ้นเคยกับคนไข้
“พระที่รับโดยที่ไม่ร้องขอก็ไม่เท่าไรหรอกครับ แต่ส่วนใหญ่มักจะเรียกร้องในรูปแบบต่าง ๆ ไม่เรียกร้องเองก็จะมีหน้าม้านั่นละครับมาเทียบเคียงบอกกติกาไว้”
“ฮึ ฮึ…”
หมอชยนต์มองคนไข้หนุ่มด้วยรอยยิ้มเอ็นดู ภายนอกเขาก็เหมือนชายหนุ่มทั่วไป ความรู้สึกนึกคิดก็เหมือนคนทั่วไปที่มองสภาพการณ์ความเป็นไปในสังคมตามข่าวสาร ศรัทธาต่อศาสนาเสื่อมลงไปเพราะคนนำมาปฏิบัติอย่างผิดทำนองคลองธรรม วัตรปฏิบัติของแต่ละบุคคลมีผลต่อศรัทธาที่มองด้วยตาเนื้อ
“พล เขาบอกว่าอาหมอเป็นนักจิตวิทยาที่เก่งมาก บำบัดอาการทางจิตได้อย่างอัศจรรย์ มิหนำซ้ำยังสามารถบำบัดอาการหวาดกลัวกับสิ่งที่ไม่มีเหตุผลได้”
“แบบไหนล่ะคุณ?”
“ก็พวกกลัวความสูง กลัวเข็ม อะไรทำนองนั้น”
ตะวันเอียงหน้ามองหมอชยนต์ รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองคุยกับคนแก่ที่คุ้นเคยกันมากกว่าคุยอยู่กับ ‘หมอ’
“คุณก็รู้เรื่องผมมาบ้างแล้วสินะ”
“ก็รู้เท่าที่พลมันบอกให้ทราบเท่านั้นล่ะครับ”
“การรักษาของผม มันเป็นการสะกดจิตย้อนอดีตรักษาโรค”
“สะกดจิตย้อนอดีตรักษาโรค” ตะวันทวนคำ
“ครับ เป็นการรักษาในเชิงจิตวิทยาอย่างหนึ่ง พูดง่าย ๆ ก็คือการบังคับจิตของตัวเราเองให้เข้มแข็ง”
“แล้วเราสามารถย้อนอดีตได้ด้วยหรือครับ?”
“ความหวาดกลัวบางอย่างเป็นเรื่องที่เกิดจากการกระทบกระเทือนใจอย่างรุนแรงในวัยเด็กแล้วฝังใจเรื่อยมา ผมก็แค่เสริมภูมิคุ้มกันให้เขา จับจูงจิตของเขาให้เข้มแข็งและรับมือกับมัน จนคลายความหวาดกลัว”
ตะวันนึกถึงเพื่อนวัยเด็กที่กลัวแมลงสาบอย่างสุดชีวิต เพื่อนคนนั้นเล่าว่า ในวัยเด็กเขาเคยเล่นซ่อนหากับเพื่อน ๆ แต่ดันอุตริไปแอบในห้องเก็บของห้องหนึ่ง บังเอิญว่าเพื่อนไปเหยียบกล่องลังไม้เก่า ๆ ล้มลง โชคดีที่ข้าวของไม่เสียหาย แต่โชคร้ายคือแมลงสาบนับร้อย ๆ ตัว มันวิ่งกรูอยู่รอบตัวเพื่อน นับจากนั้นเพื่อนคนนี้ก็หวาดกลัวแมลงสาบจนขึ้นสมอง
แต่สำหรับตะวัน... เขาไม่ใช่กรณีนี้ เขาไม่ได้หวาดกลัวอะไรเลย
“ผมมีหนังสือหลายเล่มให้คุณอ่าน เป็นหนังสือธรรมะเกี่ยวกับการรักษาในการสวดโพชฌงค์พระพุทธเจ้า หนังสือศาสตร์ลับของโยคี และก็หนังสือเกร็ดประวัติศาสตร์เล็ก ๆ น้อย ๆ กับความศรัทธาในสมัยนโปเลียน”
หมอชยนต์ลุกขึ้นเลือกหยิบหนังสือในชั้นออกมาวางตรงหน้าให้กับตะวัน
“มีหนังสือหลายเล่มทีเดียวที่อาจจะทำให้คุณผ่อนคลาย”
หมอชยนต์กล่าวเรื่อย ๆ ไม่แสดงท่าทีผิดแปลกไปจากน้ำเสียงที่ราบเรียบดุจเดิม
ตะวันหยิบหนังสือ ๓ เล่ม มาพลิกดู ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาจะต้องอ่านหนังสือพวกนี้ ‘ศาสตร์ลับของโยคี’ แค่เห็นชื่อเขาก็แทบจะวางมันลงทันที เมื่อหันมาคว้าหนังสือเกร็ดประวัติการรักษาของทางพุทธดูเหมือนเขาจะสนใจ จึงถือไว้ในมือและตาก็เหลือบไปมองเกร็ดประวัติศาสตร์ยุโรปที่เกี่ยวกับพลังศรัทธาอย่างที่ ‘อาหมอ’ เล่าคร่าว ๆ ให้ฟัง
“ผมจำเป็นต้องอ่านหรือครับ?” ตะวันเงยหน้าขึ้นถามหลังจากพลิกดูหนังสืออยู่ชั่วครู่
“ไม่หรอกครับ คุณจะไม่อ่านก็ได้ แต่ผมเห็นว่าหนังสือเหล่านี้มันน่าสนใจ ก่อนที่ผมจะช่วยคุณก็อยากให้คุณเข้าใจผมด้วย”
ตะวันนิ่งคิด หนังสือสามเล่มนี้เป็นหนังสือเชิงวิชาการหรอกหรือ? ไม่น่าจะใช่ แต่ถ้าเขาอ่านหนังสือพวกนี้แล้วมันจะเกี่ยวกับการทำให้เขา ‘รู้’ ในสิ่งที่เขาอยากรู้อย่างไร?
“ผมว่าอาหมออธิบายมาเลยดีกว่าครับ”
ตะวันตัดสินใจบอกกับหมอชยนต์ การอ่านแม้จะน่าสนใจ แต่เขาใจร้อนกว่านั้น
