ep3
“คุณพลคะ คุณพล”
เสียงหวานใสปลุกเรียกร่างกำยำที่นอนแผ่หลาอยู่บนโซฟา สโรชายิ้มมองเพื่อนอย่างเวทนา เธอรู้ว่าเขาไม่ชอบกลับบ้านและมักจะมาขลุกอยู่บ้านพักในค่ายทหารของตะวัน เจ้าจ่อยเล่าให้เธอฟังว่านายพลต้องมาอาศัยบ้านของผู้กองตะวันอยู่ เพราะปลอดภัยดี
“อ้าว คุณบัว มาตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“สักครู่ค่ะ แต่เห็นว่าคุณนอนมาหลายชั่วโมงแล้ว เลยต้องปลุก กลัวจะปวดหัว”
“บ่ายสามแล้วหรือ อืม... ผมนอนไปนานเหมือนกัน ว่าจะงีบแป๊บๆ ทำไมหลับสนิทอย่างนี้ก็ไม่รู้”
“หิวไหมคะ? บัวทำอาหารไว้แล้ว เผื่อคุณตื่นขึ้นมาจะหิว”
“ก็ดีครับ”
สโรชาลุกเข้าครัว ส่วนพลเดินเข้าห้องน้ำ เจ้าจ่อยที่กำลังเช็ดเครื่องทองเหลืองจึงต้องละมือไปช่วยคุณบัวของมัน
“ตะวันฝันร้ายหรือคะ?” สโรชารำพึงออกมาเมื่อพลบอกเล่าถึงความฝันซ้ำซากที่ตะวันกังวลอยู่
“ตะวันมันไม่เคยบอกคุณเลยหรือ?”
“ไม่ค่ะ บัวเพิ่งทราบจากคุณพลนี่เอง”
“ตายล่ะ งั้นผมก็ปากเสียที่เอาเรื่องนี้มาบอกคุณ”
“ไม่หรอกค่ะ ดีเสียอีก จะได้ช่วยกันคิด”
สีหน้าคนพูดวิตกเป็นห่วงคนรักที่กำลังจะแต่งงานกัน
“อาจจะเพราะเหตุนี้ พระท่านจึงบอกให้รอไปก่อน เพราะยังไม่มีฤกษ์แต่งงานของเราทั้งคู่”
“แต่เจ้าตะวันมันเชื่อที่ไหน”
“นั่นซิคะ ตะวันบอกแต่ว่าเอาฤกษ์สะดวกก็พอแล้ว”
ระหว่างที่พลกับสโรชาคุยกันอยู่นั้น ร่างของคนที่พูดถึงก็ปรากฏขึ้นอย่างเงียบ ๆ
“ใช่ฤกษ์สะดวกน่ะดีที่สุด”
ผู้กองตะวันยืนพิงกรอบประตูมองคนรักและเพื่อนสนิทคุยกันอยู่สายตาที่ทอดมองลงมาเหนื่อยล้า
“คุณตะวัน!” เสียงสโรชาทักขึ้นอย่างตกใจ ไม่ใช่เพราะกำลังพูดคุยถึงเจ้าตัว แต่สภาพของตะวันต่างหาก
“คุณพลบอกว่าคุณฝันร้าย นอนไม่หลับ แต่บัวไม่คิดว่าสภาพคุณจะแย่แบบนี้”
สโรชากำลังยืนขึ้นหมายจะเข้าไปหา แต่ผู้กองหนุ่มเร็วกว่า ปราดเดียวเขาก็ก้าวมายึดบ่าคนรักให้นั่งลงดั่งเดิมแล้วขยับตัวนั่งบนโซฟาที่เหลือ
“ผมไม่เป็นอะไรมากหรอก แค่พักผ่อนน้อย”
“มันเรื่องอะไรกันหรือคะ? เกี่ยวกับความฝันนั่น”
“แล้วเจ้าพล มันไม่ได้บอกคุณหรอกหรือ?”
เสียงกระแอมเบา ๆ แทรกขึ้น
“ฉันบอกแค่ว่า นายฝันร้ายเท่านั้นเอง”
“ฝันว่าได้ยินเสียงม้า” สโรชาเสริม
ตะวันนิ่ง เหยียดหลังพิงพนักโซฟา ถอนใจเบา ๆ
“อย่าโกรธคุณพลเลยนะคะ เขาแค่เป็นห่วงคุณเลยปรึกษาบัว”
สโรชาวางมือที่แขนของตะวัน เขารู้เธอกำลังขอโทษ
“เปล่าหรอก ผมไม่ได้โกรธใคร ผมแค่เหนื่อยเท่านั้น”
ตะวันหันมายิ้มให้กับคนรัก ยกมือตบเบา ๆ บนหลังมือของสโรชา ไม่เป็นไร...
“เอ่อ ลองให้พระท่านช่วยดูอีกครั้งไหมคะ? พระที่เราไปขอให้ดูฤกษ์ ดูเหมือนว่าท่านจะรู้อะไรแต่ไม่ได้พูดให้เราไม่สบายใจ”
“นั่นสิตะวัน นายน่าจะลองไปหาพระหาเจ้าให้ดูดวงก็ดีนะ ไปสาบงสาบานอะไรกับใครเขาไว้ จะได้อโหสิกรรมเขาไป” พลพูดขึ้นพลางขยับถอยร่างให้ไกลจากเท้าของเพื่อน
“สาบานอะไรหรือคะ” สโรชาขมวดคิ้วงุนงง
“ไม่มีอะไรหรอก! ผมจะไปสาบานอะไรกับใครที่ไหนได้ คุณก็รู้ว่าผมมีเพียงคุณคนเดียว”
“ไม่ชาตินี้ก็ชาติที่แล้วละมั้ง” พลแซวขึ้นมาหลังจากเห็นคู่รักเพื่อนทำท่าเหมือนจับผิด
“ตะวันคะ คุณลองไปหาพระให้ท่านตรวจดวงชะตาให้ดีไหม?” สโรชาชวนอีกครั้ง
“คุณก็รู้ว่าผมไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ แล้วจะให้ผมไปนั่งฝืนตัวเองกับการทำนายได้ยังไงกัน ผมไม่ไปหรอก” ตะวันนิ่งเงียบไปสักครู่ ก่อนจะตอบออกมาด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด
“จ่อย เอาเหล้าหลังตู้มาสิ ไปเซ็นโซดาร้านป้ามาด้วย ว่าง ๆ เดี๋ยวฉันไปจ่าย”
“นี่มันเพิ่งจะห้าโมงเองนะคะ?”
“ช่างผมเถอะ เมา ๆ ไป เดี๋ยวก็หลับ ดูสิว่าถ้าผมเมาเต็มที่แล้วเสียงควบม้ามันจะดังรบกวนผมอยู่อีกไหม?”
“เฮ้ย! แต่นายก็เมามาหลายคืนแล้วนะ” พลแย้งขึ้น
“มันยังไม่เต็มที่ว่ะเพื่อน วันนี้เมากับนาย เอาให้เต็มคราบไปเลย”
“คุณพลเขาก็ต้องมีธุระอะไรของเขานะคะ คุณเองก็ไม่ควรดื่มให้มันมากนัก” ตะวันสบตาสโรชา รู้ว่าเธอห่วงแต่เขายังไม่อยากทำตามใจเธอในเวลานี้
“ผมกินที่บ้านไม่ได้ไปกินที่ไหน เมาแล้วก็หลับที่นี่ ดีเสียอีก จะได้รู้ไปว่าเสียงควบม้ามันจะตามไปหลอกหลอนผมอีกหรือเปล่า?”
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ วันนี้ผมว่าง รับรองว่าผมจะดูแลให้คุณบัวเอง”
“ก็ห้ามไม่ฟัง บัวจะทำอะไรได้ล่ะคะ” สโรชากล่าวด้วยน้ำเสียงงอนเง้า
“ทำกับแกล้มสิ ผมชอบกับแกล้มฝีมือคุณ” ตะวันเย้าเอื้อมมือโยกศีรษะคนรักเบา ๆ
“ดูก่อนนะคะว่าของในตู้เย็นทำอะไรได้บ้าง?” สโรชาพูดเสียงสะบัด แต่ก็ยินยอมทำตามที่ตะวันร้องขอ
“ขอบคุณครับ”
น้ำเสียงหนักแน่นอย่างชายชาติทหาร พร้อมมือที่ตะเบ๊ะขึ้นที่หางคิ้ว ทำให้คนที่งอนอยู่ถึงกับหัวเราะออกมาเบา ๆ คล้อยหลังสโรชา ตะวันหันมาดูเพื่อนที่นั่งเอกเขนกอยู่บนโซฟา ขณะที่จ่อยยกเหล้า โซดา น้ำแข็ง มาเสิร์ฟที่โต๊ะรับแขก
“ขอบใจจ่อย” พลยื่นแบงก์ร้อยให้พลทหารที่รีบรับไว้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะถอยออกไปห่าง ๆ แต่พร้อมรับใช้
“ว่าธุระของนายมา นายพล”
