ep16
คำสีมองภาพตรงหน้าบ่อาจกลั้นน้ำตา พ่อเฒ่าไปแคมแม่น้ำของจนวันสุดท้ายของชีวิต
แม้บ่เห็นหน้าก็คอยเฝ้า บ่มีหวังก็ยังรัก
อ้ายบุญอินจะรักเราอย่างนี้บ้างไหม รักจนลมหายใจสุดท้ายของชีวิต ยิ่งคิดก็ยิ่งอาดูร
การจากครั้งนี้ อ้ายบุญอินเพิ่งไปวันแรก เหตุใดจึงอยากให้กลับคืนเสียหนักหนา
“สีเอ๊ย คนฝั่งโน้น เขามาบ่?” เสียงแม่เฒ่าเจือสะอื้น หมอยา แลลูกหลานเต็มเรือน ช่วยกันยื้อชีวิตพ่อเฒ่า โดยที่แม่เฒ่าเพิ่งละห่างจากร่างผัว
“บ่มา พ่อเฒ่าบอกบ่เห็นหลายวันแล้ว”
“เฝ้ารัก เฝ้าหลง แม่บ่เคยหวงเคยห้าม แต่น่าจะดูแลตัวบ้างน้อ”
แม่เฒ่ารำพัน นางยอมรับในความรักของพ่อเฒ่ากับคนฝั่งโน้น นางอยู่กับพ่อเฒ่าก็เพราะนางรัก และพ่อเฒ่าก็สงสารนางเป็นความผูกพัน
“คนฝั่งโน้น แม่เฒ่ารู้บ่ว่าผู้ใด?”
แม่เฒ่าส่ายหน้าแต่บอกเหมือนใจคิดว่านางคงป่วยและคงสิ้นลมแล้ว เพราะทุกวันนางต้องมานั่งที่แคมแม่น้ำของอีกฝั่ง แม่เฒ่าเคยลอบดูด้วยความหึงหวงอยู่เงียบ ๆ
“ความรักก็แบบนี้แหละสีเอ๊ย เจ้ายังดีมีผัวรักผัวหลง แม้จะอยู่ไกล แต่บ่นานก็คงย้ายเรือนไปอยู่ด้วยกันที่เวียงพระธาตุกระมัง”
“ข้าน้อยบ่อยากแช่งพ่อ ข้าน้อยรอพ่อหายเจ็บ หากพ่อข้าน้อยแข็งแรง ข้าน้อยจะถามพ่ออีกครั้ง ว่าจะไปเวียงพร้อมข้าน้อยบ่ ข้าน้อยจะตามใจพ่อ หากพ่ออยู่ข้าน้อยก็จะอยู่กับพ่อ”
คำสียันคำหนักแน่นอยู่ดูพ่อบ่ยอมเข้าเวียง นับแต่นี้จะเข้มแข็งรอผัว
เสียงสะอื้นรำพันดังแว่วเข้ามา พ่อเฒ่าคงสิ้นลมแล้ว ง่ายเหลือเกิน เห็นอยู่ว่านั่งคุยอยู่แคมแม่น้ำของเป็นนาน เดินล้าถึงเรือนก็ทรุดลงด้วยตรอมใจมาหลายวัน
แม่เฒ่าปล่อยคำสีอยู่ชานเรือน ทุกอย่างโกลาหล ริน ๆ น้ำตาอาบแก้ม พ่อเฒ่าสิ้น เพื่อนเก่าพ่อตัวที่เสมือนญาติตัว
สิ้นเพราะรัก ตรอมใจเพราะรัก และที่อยู่มาได้ก็เพราะรักเช่นกัน
“คุณบอกคุณฝันอย่างนั้นหรือ”
หมอชยนต์ถือถ้วยกาแฟในมือครุ่นคิด เมื่อตะวันเล่าเรื่องความฝันเมื่อคืนให้ฟังอย่างตื่นเต้น เขาเชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริง บางทีอาจอาจจะไม่ต้องใช้การสะกดจิต แต่เขาสามารถฝันที่จะปะติดปะต่อเรื่องราวได้เอง
“ผมจะจดบันทึกความฝันของคุณเอาไว้ แต่ว่าคุณแน่ใจหรือว่าคุณไม่ต้องการให้ผมสะกดจิตคุณ”
“ผมว่าผมน่าจะฝันได้เอง ผมไม่อยากตื่นตามเวลาที่อาหมอปลุก” ตะวันกล่าวตรง
หมอชยนต์เงียบลง เขาปลุกเพราะการสะกดจิตย่อมต้องอยู่ในช่วงเวลาที่เหมาะสม
“แล้วคุณแน่ใจหรือว่าคุณจะฝันได้เป็นเรื่องเป็นราวอย่างที่คุณเล่าให้ผมฟังอีก” หมอชยนต์ย้ำให้แน่ใจ
“ผมว่าไม่ต่างจากที่อาหมอสะกดจิตผมนะครับ”
“ว่าไปก็ไม่ต่างสักเท่าไหร่? แต่ว่าถ้าผมสะกดจิตคุณ จะช่วยคุณได้ง่ายกว่าปล่อยให้คุณจมดิ่งลงในความฝันเพียงลำพังนะครับ”
“ผมอยากรู้เรื่องราวเร็ว ๆ” ตะวันสารภาพ เขาอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่อยากรอให้อาหมอปลุกเขาตามเวลา
“เพื่อความปลอดภัยของคุณเองนะครับ เพราะถ้าหากว่าจิตของคุณหลุดไปจริง ๆ คุณอาจไม่ตื่น”
ตะวันมองหน้าหมอชยนต์แล้วเงียบลง ถ้าเขาไม่ตื่น ใจหนึ่งเขาคงได้อยู่กับคำสี และคงไม่มีการพลัดพรากให้เขาได้เจ็บปวด เขาเชื่ออย่างนั้น แต่อีกใจหนึ่งเหมือนเขามีห่วง เป็นใยบาง ๆ อีกเส้น... ที่เขาเกือบลืมมันไป... สโรชา
ตะวันกลับมาที่บ้านด้วยความรู้สึกที่อิ่มเอม เรื่องของเขาไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นรู้แล้ว เขาน่าจะตัดสินใจเองได้ จริงอยู่หมอชยนต์เกรงเรื่องความปลอดภัยในการหลับลึกของเขา แต่เขาก็เชื่อว่าเขาสามารถตื่นเองได้หรือตั้งเวลาปลุกตัวเองได้
ตะวันกลับมาบ้าน แขวนลูกตุ้มนาฬิกาไว้บนขื่อเพดาน ไกวให้มันแกว่งไปมาเหมือนกับที่หมอชยนต์แกว่ง แล้วเขาก็นอนมองลูกตุ้มนั้นเหมือนสะกดจิตตัวเอง
เสียงควบม้า กุบกับ กุบกับ ดังก้องอยู่ในหัวสมองของเขา ตะวันกระสับกระส่าย มองไม่เห็นภาพ ไม่มีภาพให้เขาเห็น ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งทุรนทุราย และพยายามที่จะหลับต่อไป แต่เขาก็ตื่นขึ้นมา
“ทำไมมีแต่เสียงควบม้า ดังก้องอยู่ในหัวของของเรา”
ตะวันนั่งกุมขมับอยู่ลำพัง เสียงจ่อยขับรถจักรยานยนต์เข้ามาแล้วเปิดเสียงเปิดเพลงลั่น
“หูจะแตก เอ็งจะใจบุญเผื่อแผ่ชาวบ้านเขาทำไมวะ?”
เสียงตะวันเอ็ดตะโรลงไป จ่อยที่คิดว่าตัวเองอยู่คนเดียวรีบปิดเครื่องสเตอริโอ เสียวสันหลังวาบ ‘นายอยู่!’ เขาชะโงกไปที่โรงรถ นึกโทษตัวเองในใจว่าทำไมไม่สังเกต
“ขอโทษครับผู้กอง ผมไม่คิดว่าผู้กองอยู่ข้างบน” จ่อยตะโกนตอบ เพราะรู้ว่าผู้กองอยู่บนบ้าน
ตะวันเดินหัวยุ่งลงมาจากบนบ้าน หน้าตาบอกบุญไม่รับ ชำเลืองตามองเจ้าจ่อยที่ทำหน้าจ๋อยอยู่ข้างบันไดก็ให้สงสาร
“มีไรกินบ้าง?”
“มีครับมี ผมซื้อราดหน้ามาพอดี ผู้กองจะทานเลยไหมครับ?” จ่อยรีบตอบเอาใจ
“ของแกไม่ใช่เหรอจ่อย? เอานี่เงิน แกกินของแกไปก่อน แล้วไปซื้อมาให้ฉันห่อหนึ่ง”
ตะวันยื่นเงินให้จ่อยแล้วหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาอ่าน แต่จ่อยยังรีรออยู่ด้านหลัง จึงสำทับว่าไม่ต้องห่วง เขายังไม่หิวเท่าไหร่?
