บท
ตั้งค่า

บทที่4

“อย่าคิดว่าแต่งงานกันแล้วเธอจะได้ทุกสิ่ง…เพราะสิ่งเดียวที่เธอจะได้จากฉันมีแค่ความเจ็บปวดเท่านั้นมนสิชา! จำไว้!!” ภาพของเจ้าบ่าวที่โน้มหน้าลงมากระซิบบางอย่างกับเจ้าสาวทำคนผู้คนในงานต่างพากันยิ้มเก้อเขินเพราะคิดว่าทั้งสองคงจะหยอกล้อกันเล่น แต่ไม่ใช่กับมนสิชาที่รู้สึกหน้าชาไปไม่น้อยกับประโยคแรกที่เขาเอ่ยขึ้นหลังจากที่ไม่ได้เจอหน้ากันมานานถึงหนึ่งเดือน แถมยังเลือกที่จะพูดมันออกมาในงานแต่งงานวันนี้อีกด้วย พิธีการต่างๆ เสร็จสิ้นลงในหนึ่งชั่วโมงก่อนคู่บ่าวสาวจะถูกส่งตัวเข้าหอในห้องสวีทชั้นบนสุดของโรงแรมที่จัดงานโดยมีเพียงแค่พี่ชายของมนสิชาและคุณหญิงโฉมไสวเท่านั้นที่ขึ้นมาส่งก่อนทั้งสองจะขอตัวกลับออกไปเมื่ออวยพรให้กับคู่บ่าวสาวเป็นที่เรียบร้อยเพื่อที่คู่ข้าวใหม่ปลามันจะได้มีเวลาอยู่ด้วยกันตามลำพัง

“ไง! ในที่สุดเธอก็ได้เป็นเมียฉันสมใจแล้วมีความสุขมากไหม!” คำถามที่อัดแน่นไปด้วยอารมณ์หงุดหงิดทำให้คนที่ตั้งท่าจะหลบเข้าไปอยู่ในห้องสักพักถึงกลับชะงักเท้าลงแทบไม่ทัน มีความสุขงั้นเหรอ อะไรกันที่มันทำให้เขาคิดว่าเธอจะมีความสุขได้ ถึงเธอจะรักเขามากแค่ไหน แต่ถ้าต้องแต่งงานกันทั้งๆ ที่เขาไม่ได้รักเธอเลยสักนิดความสุขที่เขาว่าก็คงไม่มีทางเกิดขึ้น หากเปลี่ยนเป็นความทุกข์ระทมที่มากกว่าเดิมก็ไม่แน่

“ถ้าพี่กันต์ไม่อยากแต่งงานกับมนพี่กันต์ก็น่าจะบอกคุณป้าไปตั้งแต่แรกนะคะ” เพราะถ้าเขาเป็นคนพูดทุกอย่างมันคงไม่ต้องมาลงเอยแบบนี้ แม้ว่าทั้งใจเธอจะรักแค่เพียงเขา แต่เพราะใจเขาไม่เคยรักเธอเลยมนสิชาก็ไม่คิดที่จะฝืนใจเพราะรู้ว่ามันจะทำให้เขาทุกข์ และยิ่งเขาทุกข์เธอก็ยิ่งจะรู้สึกทุกข์กว่าจนไม่รู้ว่าต่อจากนี้ไปจะยิ่งเป็นต้นเหตุให้เขาทุกข์มากแค่ไหน

“คิดว่าฉันทำแบบนั้นได้รึไง! ถ้าเลือกได้ฉันขอเลือกอยู่เป็นโสดไปจนตายยังจะดีกว่าต้องแต่งงานกับผู้หญิงอย่างเธอ! ต่อไปอย่าได้คิดว่าจะมีสิทธิ์ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของฉัน หน้าที่ของเราสองคนคืออยู่ด้วยกันเพื่อรอวันหย่าเท่านั้นจำเอาไว้ให้ดี!” กันต์ธีร์ทิ้งท้ายเอาไว้ด้วยคำพูดเจ็บแสบก่อนเขาจะพาตัวเองหนีเข้ามาในห้องน้ำพร้อมปิดประตูใส่หน้าเจ้าสาวป้ายแดงของตัวเองอย่างไม่ไว้หน้า แค่คิดว่าต่อไปจะต้องเจอกับเรื่องวุ่นวายไม่เว้นแต่ละวันเขาก็เครียดหนักมากแล้ว

แต่ถึงยังไงก็คงต้องรีบหาทางหย่ากับมนสิชาให้เร็วที่สุด ไม่ว่ายังไงเขาก็จะหย่ากับเธอให้ได้!!

ภาพความฝันอันสวยหรูที่จะได้แต่งงานกับชายหนุ่มที่รักพังทลายลงอย่างรวดเร็วเมื่อตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาหลังจากต้องจำใจนอนร่วมเตียงเดียวกันในคืนเข้าหอกันต์ธีร์ก็ไม่เคยกลับมานอนที่บ้านอีกเลย เขาให้เหตุผลกับมารดาว่าคอนโดที่อาศัยหลับนอนอยู่ทุกคืนนั้นอยู่ใกล้บริษัททำให้เดินทางสะดวกจึงอยากที่จะอยู่ค้างที่นั่นไปจนกว่าโครงการห้างสรรพสินค้าแห่งใหม่ที่บริษัทกำลังจัดตั้งขึ้นจะสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ซึ่งเมื่อได้คำตอบกลับมาเช่นนั้นคุณหญิงโฉมไสวจึงหมดคำพูดไปโดยปริยายเพราะเห็นว่ามันคืองานของลูกชาย

จะมีก็แต่มนสิชาที่รู้ว่าเขาทำไปทั้งหมดนั้นก็เพื่อหลีกเลี่ยงการที่ต้องเจอหน้ากันกับเธอ!

หญิงสาวที่ตอนนี้จำใจต้องย้ายมาอยู่ที่บ้านกันตนารักษ์ในฐานะภรรยาที่ถูกต้องแต่ไม่ถูกใจของกันต์ธีร์อย่างเต็มตัว โดยปกติแล้วในช่วงกลางวันเธอจะวุ่นวายอยู่กับร้านดอกไม้ที่ร่วมหุ้นคู่กับจินดาเพื่อนสนิทเมื่อไม่กี่วันก่อน ร้านทอรัก คือร้านดอกไม้ที่เธอตั้งใจว่าจะสานต่อความฝันเล็กๆ ของผู้เป็นแม่ที่ยังไม่ทันจะได้ทำให้มันสำเร็จท่านก็ต้องมาด่วนจากกันไปเสียก่อน ซึ่งจินดาเมื่อรู้เรื่องจึงไม่รีรอที่จะขอร่วมหุ้นด้วยเพราะไม่อยากต้องไปสมัครงานเพื่อเป็นลูกน้องของใคร มันคงดีกว่าที่จะได้ทำงานกับเพื่อนรักของตัวเอง สองสาวจึงตั้งใจจะบริหารร้านดอกไม้นี้ให้ไปให้ไกลที่สุด

สองสาววุ่นวายตั้งแต่เช้าจรดเย็นกว่าจะปิดร้านได้ก็ปาไปเย็นย่ำอยู่หลายวันแต่ก็ทำให้มนสิชารู้สึกดีที่ไม่ต้องทนเหงา หากแต่พอกลางวันที่แสนจะวุ่นวายหมดไป ตกดึกเมื่อไหร่ความเหงาก็คอยแต่จะแทรกซึมเข้าสู่จิตใจจนทำให้นอนไม่หลับ แม้ว่าการนอนคนเดียวมันจะเป็นเรื่องปกติที่เธอทำมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วก็ตามที แต่การที่จู่ๆ ต้องย้ายมาอยู่ไกลบ้านไกลจากอ้อมกอดของพี่ชายแบบนี้หญิงสาวก็อยากจะมีที่พึ่งยามยากเอาไว้บ้าง แต่คนที่เธออยากพึงเขาคงไม่ปรารถนาที่จะเจอหน้ากันสักเท่าไหร่ไม่อย่างนั้นคงไม่หาเรื่องหลบหน้ากันแบบนี้

“หนูมนจ๊ะ!” เสียงเรียกจากแม่สามีที่ดังขึ้นทำให้มนสิชาดึงตัวเองออกมาจากความคิดได้ในที่สุดก่อนจะเอ่ยขานรับ

“คะคุณแม่”

“รีบขึ้นไปเก็บเสื้อผ้าเถอะจ๊ะ อีกประเดี๋ยวแม่จะให้ตาพลขับรถไปส่งหนูที่คอนโดของตากันต์” คำบอกกล่าวที่ได้ยินสร้างความแปลกใจให้แก่หญิงสาวอยู่ไม่น้อย แต่ดูเหมือนอีกคนจะรู้ทันความคิดกันจึงได้พูดต่อ…

”ในเมื่อพี่เขายุ่งจนไม่มีเวลากลับมาบ้าน เราก็ย้ายไปอยู่กับเขามันที่คอนโดเสียเลย หนูว่าดีไหมจ๊ะ” ไม่ดี! ไม่ดีเอามากๆ ด้วย มนสิชาได้แต่ร้องประท้วงคำตอบนี้ภายในใจ เธอไม่มีความกล้ามากพอที่จะเอ่ยปฏิเสธสุดท้ายจึงทำได้แค่ต้องยอมลุกขึ้นเดินกลับขึ้นไปห้องจัดกระเป๋าตามคำของแม่สามีที่อาสาจะเป็นคนโทรไปบอกเรื่องนี้แก่กันต์ธีร์ด้วยตัวของนางเอง

ใช้เวลาเดินทางเพียงไม่นานหญิงสาวก็มาถึงที่หมาย ที่ซึ่งเธอไม่อยากคิดถึงครั้งสุดท้ายที่มาที่นี่เอาเสียเลย เพราะมันคือสถานที่ที่เธอต้องสูญเสียความสาวให้กับสามี สูญเสียความยับยั้งชั่งใจที่ควรมีไปจนหมดสิ้นด้วยคำว่ารักเบาๆ จากปากของเขา คำว่ารักที่เขาตั้งใจส่งผ่านมันออกมาเพราะคิดว่าเธอคือใครอีกคนที่เขารักและมีค่าต่อเขามากที่สุด คำว่ารักที่มันไม่ใช่ของเธอเลย

“ผมส่งแค่นี้นะครับคุณมน นี่ครับคีการ์ดสำหรับเข้าห้อง ถ้ายังไงผมขอตัวกลับเลยนะครับ ลาล่ะครับ” นายพลที่อาสาเดินถือกระเป๋ามาส่งเอ่ยขึ้นพร้อมยื่นคีการ์ดสำหรับเข้าห้องที่เพิ่งได้มาจากเจ้านายมาให้กันก่อนจะขอตัวกลับไปทันทีที่หน้าที่ที่ได้รับมอบหมายสำเร็จซึ่งหญิงสาวก็รับมันเอาไว้โดยไม่คิดถามอะไรเพราะรู้ดีกว่าอีกฝ่ายคงจะรู้พอๆ กับที่เธอเองก็รู้

“เอาน่ามน! เขาคงไม่ถึงกับฆ่าแกงเราหรอกมั้ง ภรรยาจะเข้าห้องสามีไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรสักนิด สู้ๆ” มนสิชาพูดให้กำลังใจตัวเองก่อนจะตัดสินใจเข้าไปในห้องของสามีในที่สุด

เวลานี้ประมาณหนึ่งทุ่มกว่าแล้วซึ่งอีกไม่นานเขาน่าจะกลับมา ถึงตอนนั้นค่อยนึกกลัวก็ยังไม่สาย หญิงสาวใช้เวลาส่วนใหญ่เดินสำรวจรอบห้องที่ครั้งแรกที่มีโอกาสได้เข้ามานั้นเธอไม่ค่อยมีสติสักเท่าไหร่ ครั้งนี้เมื่อมีโอกาสได้เข้ามาถึงที่ก็อยากเดินสำรวจห้องของเขาเท่าที่ใจอยากทำมานานอย่างรีบเร่ง เพราะถ้าหากเจ้าของห้องกลับมาเมื่อไหร่เธอคงหมดสิทธิ์ที่ว่านั้นทันทีเพราะเขาคงไม่มีวันยอมให้เธอทำแบบนี้แน่

หญิงสาวเดินไปได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องชะงักงันเมื่อสายตาเจ้ากรรมดันเหลือบไปเห็นรูปถ่ายของใครคนหนึ่งเข้าโดยบังเอิญ มันคือรูปถ่ายของแพรวาแฟนสาวของกันต์ธีร์ที่ถึงแม้ว่าตอนนี้ทั้งสองคนนั้นจะเลิกลากันไปแล้วแต่กันต์ธีร์กลับยังเก็บรูปถ่ายของเธอเอาไว้เป็นอย่างดีที่หัวเตียงราวกับเขาต้องการจะตอกย้ำกับตัวเองว่าผู้หญิงในรูปคนนั้นมีคนที่อยากจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยมากที่สุดก็ไม่ผิด ยิ่งได้มาเห็นก็ยิ่งทำให้มนสิชาเข้าใจว่าทำไมคืนนั้นเขาถึงได้พร่ำเรียกหาแต่เธอ

“เธอเข้ามาทำบ้าอะไรในนี้มนสิชา!!” มือที่ทำท่าจะวางรูปถ่ายที่เผลอหยิบขึ้นมาดูตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่อาบทราบได้สั่นเทาด้วยความตกใจต่อเสียงตวาดที่จู่ๆ ก็ดังขึ้นอย่างไม่ให้สุ่มให้เสียงจนเธอตกใจเผลอทำรูปในมือหล่นลงพื้นจนมันแตกกระจัดกระจายไปทั่วโดยที่หญิงสาวนั้นไม่ได้ตั้งใจเลยสักนิด

“มนขอโทษค่ะ! มนไม่ตั้งใจ…โอ้ย!!” มนสิชาร้องบอกอย่างตกใจก่อนจะรีบก้มลงเก็บเศษแก้วด้วยความหวาดหวั่น และเพราะอาการสั่นเทาของเธอนั่นเองเลยทำให้เผลอถูกเศษแก้วบาดเข้าให้จนต้องร้องเสียงดัง แม้ว่าตัวจะเจ็บแต่ใจกลับรู้สึกกลัวคนตรงหน้ามากกว่าอะไรดี ใครเลยจะรู้ว่ากันต์ธีร์ตอนโกรธน่ากลัวแค่ไหน เธอคนหนึ่งล่ะที่รู้เพราะเจอบ่อยที่สุด

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel