บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 4 ความกังวลใจ

ตอนที่ 4

ความกังวลใจ

นางคิดถูกแล้วที่ไม่รอเปิดถุงคำทำนายพร้อมกับท่านแม่และพี่ใหญ่ หลังจากเก็บกระดาษทำนายใส่ถุงตามเดิมเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ประจวบเหมาะกับที่อาหลัวมาถึงพอดี

“คุณหนู ตื่นหรือยังเจ้าคะ บ่าวขอเข้าไปนะเจ้าคะ” เสียงของอาหลัวดังขึ้นอยู่ที่ห้องด้านหน้าก่อนที่เจ้าตัวจะค่อย ๆ เดินเข้ามาในห้องด้านในซึ่งก็คือส่วนของห้องนอนของนาง

“ข้าตื่นแล้ว อาหลัวเจ้าเข้ามาเถอะ” นางเอ่ยตอบสาวใช้คนสนิท ก่อนจะปรับสีหน้าจากเดิมที่เคยเคร่งเครียด เป็นสีหน้าสบาย ๆ แทน

อาหลัวช่วยนางจัดการล้างหน้าผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า วันนี้เป็นวันสำคัญที่พี่ใหญ่ของนางจะกลับมาเยี่ยมบ้านหลังจากแต่งงาน นางจึงต้องแต่งตัวให้มีสีสันเสียหน่อยเพื่อที่จะได้เป็นมงคลต่อพี่ใหญ่ของนาง

อาหลัวช่วยนางเลือกชุดสีสีส้มคลุมทับด้วยเสื้อปักลายดอกไม้ด้วยด้ายสีขาวผูกทับด้วยผ้าคาดเอวสีผ้าอ่อน ส่วนผมของนางนั้นด้านหน้าถูกรวบขึ้นสูงม้วนขึ้นขดเป็นเกลียวนูนอย่างประณีต ผมด้านหลังถูกหวีอย่างเป็นระเบียบปล่อยปลายผมยาวตรงถึงเอวเล็ก

ปิ่นระย้าชิ้นหนึ่งซึ่งเป็นปิ่นดอกไม้เช่นเดียวกันกับลายบนชุดของนางถูกเลือกขึ้นมาใช้ปักประดับผมของนางพร้อมกับต่างหูที่เข้าคู่กัน

ใบหน้าของนางถูกแต่งแต้มอย่างอ่อน ๆ ริมฝีปากเรียวถูกแต้มด้วยชาดสีหวาน ทำให้ใบหน้าเล็กดูอ่อนหวานเป็นอย่างยิ่ง

“คุณหนู ท่านงดงามยิ่งนักเจ้าค่ะ” อาหลัวอดไม่ได้ที่จะเอ่ย ชมคุณหนูของนาง

นางยิ้มรับคำชมของสาวใช้คนสนิท ก่อนจะเอ่ยขึ้น

“ความงามเป็นนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ยั่งยืนที่สุด ไปเถอะท่านแม่ คงรอข้าอยู่นานแล้ว”

ช่วงสายของวันพี่ใหญ่กับพี่เขยก็มาถึงจวน ที่ห้องโถงใหญ่ด้านหน้าจวนถูกจัดเป็นสถานที่พบปะกันระหว่างครอบครัวในวันนี้

พี่ใหญ่และพี่เขยของนางยกน้ำชาคารวะ ท่านปู่ ท่านพ่อ และท่านแม่ของนางอย่างพอเป็นพิธี

เก้าอี้ประทานที่ตั้งอยู่ที่กลางห้องโถงนั้นแน่นอนว่าย่อมเป็นท่านปู่ของนางที่เป็นผู้มีศักดิ์อาวุโสสูงสุดในที่แห่งนี้ ถัดมาจึงเป็นท่านพ่อท่านแม่ของนางและไล่ลำดับกันตามลำดับอาวุโส

แน่นอนว่าเก้าอี้ลำดับสุดท้ายทางด้านขวามือถัดจากพี่รองย่อมเป็นของนางที่มีลำดับอาวุโสน้อยที่สุด

“ลูกกลับมาเยี่ยมฮูหยินท่านจะมัวแต่ร้องไห้ได้อย่างไร” ท่านพ่อของนางเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นว่ามารดาของนางเริ่มจ้องไปที่พี่ใหญ่ของนางและเริ่มร้องไห้ออกมาเงียบ ๆ

“ข้าเห็นลูกมีความสุข ถึงได้ตื้นตันใจจนน้ำตาไหลออกมาเองเจ้าค่ะท่านพี่”

“โถ่ ท่านแม่เจ้าคะ” พี่ใหญ่นางเอ่ยออกมาก่อนจะเริ่มทำท่าจะร้องไห้ตามมารดาอีกคน

“วันดีเช่นนี้จะมัวแต่ร้องไห้ได้อย่างไร แต่งงานแล้วก็เร่งมีเจ้าตัวน้อยเข้าล่ะ ปู่กับพ่อเจ้ารอเห็นหน้าหลานตัวน้อยอยู่นะ” เฉินไท่เว่ยเอ่ยขึ้น

เฉินซือหนิงได้ยินเช่นนั้นก็อดจะก้มหน้าอย่างเขินอาจไม่ได้ นางเพิ่งจะแต่งงานไม่นานเรื่องเช่นนี้นางยังใหม่อยู่มากจริง ๆ คงต้องใช้เวลาสักหน่อยจึงจะมีความกล้ายิ่งขึ้น

ชายชรามองดูครอบครัวใหญ่ของตนอย่างมีความสุข ครึ่งชีวิตของเขาล้วนใช้ชีวิตอยู่ในสนามรบ เขาต่อต้านศัตรู ต่อสู้เพื่อแคว้นเพื่อประชาชนก็เพื่อให้มีความสุขครอบครัวพร้อมหน้าเช่นวันนี้

เสียดายอยู่เพียงสิ่งเดียวก็คือฮูหยินรักของเขานั้นด่วนจากไปเร็ว จึงไม่ได้ร่วมมีความสุขพร้อมหน้าครอบครัวเช่นนี้ไปนาน ๆ เช่นตัวเขา

เสียงหัวเราะและเสียงการพูดคุยกันอย่างสนุกสนานดังไปทั่วทั้งห้องโถง เฉินจินฮวาแม้ไม่ค่อยได้เอ่ยปากร่วมวงสนทนาด้วยสักเท่าไหร่นัก แต่นางก็คอยสังเกต ทุก ๆ คนในครอบครัวอยู่ตลอด

พี่ใหญ่ของนางเฉินซือหนิงนั้นเป็นผู้ที่เฉินจินฮวานั้นจ้องมองอยู่นานที่สุด

นางเห็นความสุขที่พี่ใหญ่แสดงออกมาได้อย่างชัดเจน แววตา น้ำเสียง ท่าทาง ทุกอย่างล้วนเต็มไปด้วยความสุข

เสี้ยวหนึ่งในหัวของนางก็บังเกิดความคิดว่า เพียงได้อยู่กับครอบครัวที่รักใคร่กลมเกลียวกันเช่นนี้นางก็พอใจแล้ว

“เห็นพี่สาวเจ้ามีความสุขเช่นนี้แล้ว ฟูหมิงเจ้าเองก็รีบมองหาแม่นางน้อยสักผู้หนึ่งได้แล้วกระมัง ในจวนเราควรมีเด็กเล็ก ๆ วิ่งเล่นเพิ่มสีสันได้แล้ว” ผู้เป็นบิดาเอ่ยขึ้นกับบุตรชายเพียงคนเดียว

“นั่นสิ ปู่เองก็เห็นด้วยกับพ่อเจ้า หากยามนี้มีสตรีสกุลให้ที่เจ้าถูกใจและอยากจะผูกสมัครรักใคร่ก็บอกกล่าวออกมาได้เลย” เฉินไท่เว่ยผู้ทรงอำนาจก็เห็นด้วยกับคำพูดของบุตรชายตนเช่นกัน เนื่องด้วยฟูหมิงนั้นเป็นหลานชายสายหลักเพียงคนเดียวของเขา การที่ให้ฟูหมิงรีบมีทายาทสืบสกุลนั้นก็เป็นเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งของสกุลเลยทีเดียว

“พี่ใหญ่ก็แต่งออกไปแล้ว พวกท่านที่ข้าเคารพยิ่งโปรดปล่อยให้ข้าเที่ยวเล่นเป็นอิสระอีกสักหน่อยเถิด หากวันใดข้าพบสตรีที่พึงใจจะต้องรีบสู่ขอนางมาเป็นภรรยาแน่” ฟูหมิงกล่าวอย่างติดตลก

“ได้ ปู่กับพ่อเจ้าไม่ได้ตั้งใจจะเร่งรัดเจ้า เพียงแต่เตือนเจ้าเอาไว้หน่อยเท่านั้นว่าจะต้องเริ่มตั้งใจหาภรรยาได้แล้ว” ผู้เฒ่าเฉินกล่าวขึ้นกับหลานชายอย่างใจเย็น

“ลูกชายพ่อรอลูกสะใภ้อยู่นะ เจ้าไม่ต้องรีบร้อน ๆ “

“แม่เองก็รอลูกสะใภ้อยู่เช่นกัน ค่อย ๆ หาไม่รีบร้อนเช่นกัน”

เฉินฟูหมิงนั้นทอดมองไปยังท่านพ่อและท่านแม่ของเขา ที่เมื่อครู่ทั้งสองพร้อมใจกันกล่าวออกมาว่ากำลังรออยู่ แต่ก็ไม่ได้ให้เขาเร่งรีบ

เหตุใดเมื่อครู่พอได้ฟังคำพูดของพวกเขาชายหนุ่มจึงรู้สึกว่ากำลังถูกเร่งเร้าอยู่กันเล่า...

“ข้าเองก็รอน้องสะใภ้อยู่นะ” เป็นพี่ใหญ่ของเขาเฉินซือหนิงที่เองขึ้นด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า

“พี่หญิงใหญ่ท่านน่ะเงียบไปเถิดขอรับ”

“ข้าจะเงียบได้อย่างไร ท่านปู่ ท่านพ่อ ท่านแม่ ล้วนกำลังฝากความหวังเอาไว้กับเจ้า น้องรองเจ้าก็รีบ ๆ เข้าล่ะ” ซือหนิงได้ทีก็เย้าน้องชายตนไม่เลิก “ไม่รู้ว่ายามน้องเล็กออกเรือนไปแล้ว เจ้าจะได้แต่งน้องสะใภ้เข้าจวนหรือยัง”

“เช่นนั้นหากข้ายังหาภรรยาไม่ได้ ก็จะไม่ให้น้องเล็กแต่งออกไปดีหรือไม่ จินเอ๋อร์เจ้าไม่ต้องแต่งงานอยู่ที่จวนเฉินแห่งนี้ตลอดไป พี่รองผู้นี้จะเลี้ยงเจ้าเอง” ฟูหมิงได้ทีก็เอ่ยถึงน้องคนเล็กของเขาขึ้นมา

“ได้เช่นนั้น ข้าจะไม่แต่งงาน จะอยู่จวนเฉินให้ท่านเลี้ยงดูตลอดชีวิต” เฉินจินฮวาเอ่ยขึ้นพลางยิ้มแย้มออกมาอย่างยินดี

“ไม่ได้นะจินเอ๋อร์ของแม่ ลูกรัก อย่าไปฟังคำพูดเลอะเลือนของพี่ชายเจ้า!!!”

หลังจากที่เกิดเหตุชุลมุนขึ้นพี่รองของนางถูกมารดาทุบตีอยู่หลายหนพวกเราจึงชวนกันออกมารับลมที่ลานดอกไม้หน้าโถงใหญ่

ท่านพ่อกับท่านปู่ของนางนั้นพากันขะมักเขม้นจริงจังอยู่กับกระดานหมากรุก

ด้านพี่เขยกับพี่รองของนางก็กำลังแลกเปลี่ยนวิชาดาบกันอยู่ในลานด้านใน

ส่วนนาง ท่านแม่และพี่ใหญ่ ก็พากันเข้าครัวมาเตรียมอาหารพิเศษสองสามอย่างเพิ่มเติมจากที่พ่อครัวของจวนได้จัดเตรียมเอาไว้สำหรับมื้อกลางวันแล้ว

ท่านแม่ของนางนั้นนับเป็นศรีภรรยาตัวอย่าง นางเก่งทั้งอาหารคาวและหวาน

ด้านพี่สาวของนางนั่นก็ไม่แพ้ท่านแม่ เพียงแแต่พี่ใหญ่ซือหนิงนั้นชมชอบการทำอาหารคาวเป็นหลัก ด้านอาหารหวานนั้นไม่ได้ชำนาญแต่ก็พอมีฝีมืออยู่บาง

แน่นอนว่านางที่เติบโตมาท่ามกลางยอมสตรีผู้มีฝีมือทำอาหารไม่ธรรมดา ทำให้ส่วนใหญ่นางนั้นไม่ค่อยจะได้เข้าครัวเท่าใดนัก หากมีของที่อยากรับประทานเพียงเอ่ยปาก ก็มีทั้งท่ายแม่ทั้งพี่สาว รวมไปถึงพ่อครัวประจำจวนค่อยรังสรรค์ให้แล้ว

เรื่องเข้าครัวนางนั้นไม่อาจจะยกตัวเองไปเทียบกับมารดาหรือพี่สาวได้ แต่ก็ยังดีที่นางก็ยังพอวิชาติดตัวอยู่บ้าง อย่างน้อยนับว่านางก็ยังต้มซุปกับน้ำแกงเป็นแถมยังมั่นใจว่ารสชาติดีอยู่(พอกินได้) ขนมหวานก็ทำได้หลายอย่างเช่นกัน ถึงหลายอย่างที่ว่าจะไม่เกินห้าอย่างก็เถอะ แต่ก็ถือว่านางมีวิชาติดตัวทั้งอาหารคาวหวานนั่นแหละ

แน่นอนว่าพวกนางลงครัวครั้งนี้ล้วนแบ่งหน้าที่กันชัดเจน ท่านพี่เป็นลูกมือของท่านแม่ค่อยเตรียมของ ส่วนท่านแม่นั้นเป็นผู้ลงมือประกอบอาหารด้วยตัวเอง

ตัวนางน่ะหรือย่อมเป็นผู้ที่มีหน้าที่ที่สำคัญที่สุด ซึ่งหน้าที่นั้นก็คือ

การยืนมองขั้นตอนทุกอย่างจากที่ใกล้ ๆ อย่างตั้งอกตั้งใจอย่างไรเล่า...

ด้วยความชำนาญและความคล่องแคล่วของท่านแม่และพี่ใหญ่ทำให้ใช้เวลาเพียงไม่นานอาหารหน้าตาน่ารับประทานก็เสร็จเรียบร้อย

“หอมมากเลยเจ้าค่ะ” นางเอ่ยขึ้นหลังจากที่เดินเข้ามามองใกล้ ๆ “ท่านแม่กับพี่ใหญ่สมแล้วที่เป็นยอมฝีมือ” เฉินจินฮวาเอ่ยชมไม่ขาดปาก

“ชมเกินไปแล้ว มาเถอะ พวกเรายกของว่างไปให้พวกท่านพ่อเจ้าก่อน อีกสักพักจึงจะถึงเวลาจัดโต๊ะ”

“ได้เลยเจ้าค่ะ ขนมถาดนั้นข้ายกออกไปเอง” นางขันอาสาก่อนจะยกถาดที่มีขนมกลีบบัววางอยู่ด้านในสองจานขึ้นมาถือ และเดินนำออกจากห้องครัวไปเป็นคนแรก

“ดูน้องเล็กเจ้าเถอะ นางยกของชอบตัวเองไปก่อนใครเลยนะนั่น” ผู้เป็นมารดากล่าวอย่างเอ็นดู

“จินเอ๋อร์นางรู้ความยิ่งนะเจ้าคะ มีเพียงต่อหน้าพวกเราเท่านั้นที่นางเป็นเช่นนี้”

“ทั้ง ๆ ที่ต่อหน้าพวกเรานางน่ารักร่าเริงถึงเพียงนี้ ไฉนอยู่ต่อหน้าผู้อื่นจึงได้เคร่งขรึมรู้ความนักก็ไม่รู้”

“นี่อาจเป็นข้อดีนะเจ้าคะ นางเป็นเช่นนี้แปลว่าไว้ใจผู้อื่นยาก นางหยั่งเชิงผู้อื่นด้วยความนิ่งเฉย ใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหวอย่างไรเจ้าคะ”

“แต่ข้ากลับมองเห็นเป็นปัญหานะ หากนางเป็นเช่นนี้ภายหน้าพวกเราอาจจะไม่เห็นน้องเขยของเจ้าจริง ๆ “

“ท่านแม่คิดมากไปแล้วเจ้าค่ะ ภายหน้าจินเอ๋อร์ย่อมได้เจอกับผู้ที่จะรักในตัวตนและเข้าใจนางอย่างลึกซึ้งแน่นอนเจ้าค่ะ” บุตรสาวคนโตเอ่ยปลอบมารดาอย่างนิ่มนวล

“ข้าก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น เจ้าเห็นใช่ไหมตอนที่อยู่ในห้องโถงใหญ่ น้องสาวเจ้าพูดว่าจะไม่แต่งงานไปตลอดด้วยสีฟ้าจริงจังแค่ไหน”

“ท่านแม่...” เฉินซือหนิงเตรียมจะเอ่ยปลอบมารดาอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้มารดาของนางกลับไม่เปิดโอกาสให้นางได้เอ่ยสิ่งที่จะทำให้ท่านเบาใจอีก

“ซือเอ๋อร์ แม่รู้ดีลูกเอ่ยเพื่อปลอบโยนแม่ ทว่าแม่เองก็รับรู้ได้ว่าคำพูดของน้องเจ้านั้นจริงจัง นางหมายใจที่จะไม่แต่งงาน ชาตินี้นางก็คงไม่คิดเปิดใจให้ผู้ใด ข้ากลัวว่าหากมีวันหนึ่งยามนั้นน้องเจ้านางอาจแก่ชรา ครั้นตอนที่มองย้อนกลับมาจะนึกเสียดายเอาภายหลัง เมื่อถึงยามนั้นคิดถึงเสียใจก็ไม่ทันแล้ว”

เฉินจินฮวานั้นไม่ได้เดินจากไป นางเพียงแต่ยืนหลบอยู่ข้างประตูด้านนอกเท่านั้น เพื่อรอจะแกล้งทำให้ท่านแม่กับพี่ใหญ่ตกใจยามออกมาตอนไม่ทันได้ตั้งตัว

นางไม่ได้คิดว่าท่านแม่จะเอ่ยเรื่องในใจออกมาให้ท่านพี่ฟัง ซ้ำยังเป็นเรื่องของนางที่ทำให้ท่านแม่รู้สึกเป็นกังวล

'ท่านแม่ ต่อจากนี้เส้นทางที่ข้าเลือก ข้าจะไม่มีวันเสียใจเจ้าค่’

นางเอ่ยตอบมารดาเพียงในใจก่อนจะเดินจากไปจากตรงนั้น ทำเป็นเหมือนเมื่อครู่นี้ นางไม่ได้ยินสิ่งใดเลย

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel