บุปผาไร้ใจแห่งตำหนักทิศประจิม

140.0K · จบแล้ว
อาหลานเร่อ
54
บท
27.0K
ยอดวิว
8.0
การให้คะแนน

บทย่อ

ข้ามิหมายหมั่นเป็นหนึ่งเหนือสตรีใดในตำหนักบูรพา หวังเพียงชั่วชีวิตที่มิอาจเลือกชะตาตนเองนี้ ตัวข้าที่มิอาจหลุดพ้นกรงทอง ใจแท้จริงจะหลุดพ้นเป็นอิสระชั่วกาล ***************************************************************** เพราะความฝันบอกเหตุร้ายที่กำลังกล้ำกลายถึงชีวิต นางจึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาชีวิตตนไว้ ซ้ำร้ายนางยังถูกราชโองการโยนเข้าตำหนักบูรพาที่มีแต่การแย่งชิง ทำให้ต้องระแวดระวังยิ่งขึ้นทุกฝีก้าว สงครามการแย่งชิงความโปรดปรานจากองค์ไท่จื่อ ใครอยากจะเข้าร่วมก็ตามสบาย นางของนั่งจิบชาดูเฉย ๆ ดีกว่า จะไม่ขอแกว่งเท้าหาเสี้ยนเร่งเวลาตายให้ตนเองเป็นเด็ดขาด แต่ดูเหมือน องค์ไท่จื่อ ผู้ชื่นชมความครื้นเครงนั้นจะไม่อยากปล่อยให้นางได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขยืนยาวนี่สิ ***************************************************************** “เจ้า…กำลังทำสิ่งใด” นางนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะอ้างตอบกลับไป “อุ่นผ้าห่มให้พระองค์ไงเพคะ” “พระชายารองของข้าช่างใส่ใจนัก” “เป็นเรื่องที่หม่อมฉันควรใส่ใจเพคะ” “ได้ยินเจ้าเอ่ยเช่นนี้ก็แสดงว่าเป็นผู้ที่รู้จักหน้าที่ของตนเองเป็นอย่างดีใช่หรือไม่” คราวนี้ชายหนุ่มตรัสออกมาด้วยพระสุรเสียงที่จริงจัง พระพักตร์คมเข้มน่ามองยามนี้ดูเจ้าเล่ห์เล็กน้อย “หม่อมฉันไหนเลยจะกล้าเอ่ยว่ารู้ชัดเจนทุกเรื่อง” “เช่นนั้นในฐานะที่เจ้าเป็นชายารองของข้าหน้าที่สำคัญหลัก ของเจ้าคือสิ่งใด” โม่หลงอวี้ตรัสถาม สายพระพักตร์ยังคงจับจ้องไปที่เจ้าของร่างบางที่ยามนี้ยังคงนั่งห่อตัวเป็นเม่นน้อยอยู่ด้านในเตียงใหญ่ “หน้าที่ของหม่อมฉัน แน่นอนว่าย่อมต้องเป็นการตั้งใจดูแล ปรนนิบัติพระองค์เพคะ” เจ้าของใบหน้าอ่อนหวานเอ่ยตอบกลับไป “ปรนนิบัติอย่างไร” “เวลาเสวยหม่อมฉันคอยดูแล ยามพระองค์อ่านหนังสือหม่อม ฉันก็ควรคอยรินชาแก้กระหาย หากทรงอักษรหม่อมก็ควรคอยฝนหมึก เพคะ” “ที่เจ้าเอ่ยมาล้วนเป็นการปรนนิบัติข้าก็จริง แต่กลับเป็นเพียง การปรนนิบัติบนโต๊ะ การปรนนิบัติจริง ๆ กลับยังขาดอยู่”

นิยายจีนโบราณนิยายรักโรแมนติกนิยายรักฮ่องเต้ฮองเฮาท่านอ๋องวังหลังพระชายาแต่งงานสายฟ้าแลบจีนโบราณ

บทนำ สกุลเรืองอำนาจ

บทนำ

สกุลเรืองอำนาจ

วสันตฤดูมาเยือน ณ จวนเฉินไท่เว่ย (ต้าซือหม่า) หนึ่งในสามอำมาตย์ใหญ่แห่งแคว้นเป่ยซีนั้นเวลานี้กำลังเตรียมงานสมรสอันยิ่งใหญ่ให้กับบุตรสาวคนโตของแม่ทัพใหญ่เฉินกับรองแม่ทัพมู่ทหารกล้าผู้มีชื่อเสียง

สกุลเฉินนั้นแต่เดิมก็เป็นสกุลใหญ่ผู้เรืองอำนาจในทางทหารยิ่ง น้องสาวเฉินไท่เว่ยเองก็เป็นหนึ่งในสนมขั้นผินที่ฮ่องเต้โปรดปรานเป็นอย่างมากถึงขั้นประทานนามว่า กุ้ย ให้เป็นพิเศษ ตำแหน่งผินของพระนางจึงไม่ได้ด้อยกว่าตำแหน่งเฟยเลย

หากพระนางให้กำเนิดพระโอรสหรือพระธิดาสักพระองค์หนึ่งตำแหน่งเฟยก็คงอยู่เพียงเอื้อมเท่านั้น เสียดายที่วาสนาไม่เป็นใจ ครรภ์กุ้ยผินนั้นไร้ซึ่งความเคลื่อนไหวเสมอมา

เกียรติยศและชื่อเสียงไม่มีสิ่งใดที่สกุลเฉินขาดเพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องปกติหากบุตรีและบุตรชายสกุลเฉินจะ ถูกจับจ้องจากตระกูลชั้นสูงทั่วทั้งแคว้นเป่ยซี

หากสกุลเฉินมัวเมาอำนาจไม่รู้จบสิ้นลูกหลานสกุลเฉินก็คงต้องแต่งเพื่อเสริมอำนาจให้สกุล ดีที่สกุลเฉินไม่ได้หลงระเริงในอำนาจและไม่คิดให้มีการแต่งงานเพื่อเสริมอำนาจใด ๆ

ลูกหลานสกุลเฉินหากแต่งงานจึงยึดตามความพึงพอใจและความยินยอมพร้อมใจของสองสกุลเป็นหลัก การแต่งงานต้องมาจากความต้องการสร้างครอบครัวมิใช่เพื่ออำนาจ สำคัญที่สุดคือเจ้าบ่าวเจ้าสาวยินดีทั้งคู่ มิมีการฝืนใจฝ่ายใดทั้งสิ้น

งานสมรสที่จะมาถึงในอีกไม่กี่วันนี้ถือเป็นตัวอย่างการแต่งงานเพื่อความสุขอย่างแท้จริงที่เห็นได้ชัดเจน เพราะเจ้าบ่าวรองแม่ทัพมู่หวายหนานและคุณหนูใหญ่เฉินซือหนิงต่างมีใจตรงกันผูกสัมพันธ์รักใคร่ซึ่งกันและกันมาตั้งแต่วัยเยาว์ จากสหายในวันวานสู่สามีภรรยาเดินเคียงคู่กันชั่วชีวิต

อีกสามวันก็จะถึงงานวิวาห์ใหญ่

เฉินฮูหยินและบุตรสาวคนเล็กต่างก็พากันเข้ามาช่วยว่าที่เจ้าสาวตรวจดูความเรียบร้อยของชุดเจ้าสาวรวมไปถึง เครื่องประดับต่าง ๆ ที่จะต้องใช้ในวันงาน

นอกจากชุดเจ้าสาวสีแดงปักลายมงคลด้วยความประณีต ละเอียดลออเป็นอย่างยิ่งแล้วนั้น เครื่องประดับศีรษะอย่างมงกุฎ เจ้าสาวสีทองนั้นยิ่งดูประณีตหรูหรายิ่งกว่า

“ท่านแม่ มงกุฎหงส์ของพี่สาวดูท่าแล้วจะหนักไม่น้อยนะเจ้าค่ะ” เฉินจินฮวาเอ่ยขึ้นหลังจากที่นางหันไปเห็นมงกุฎหงส์ที่เพิ่งถูกยกเข้ามา

“หนักแค่นี้ไม่ถือว่าเป็นอะไร สวมใส่ออกมาแล้วยิ่งงดงามจึงจะดี” มารดาของนางเอ่ยขึ้นก่อนจะหันไปยกมงกุฎหงส์ขึ้นมาลองสวมลงที่ศีรษะของพี่สาวของนาง

“ท่านพี่หนักหรือไม่เจ้าคะ” นางเปลี่ยนมาเอ่ยถามพี่สาวของตนบ้าง

“หนักไม่เท่าใดหรอก จินเอ๋อร์อย่าได้กังวลเลย” เฉินซือหนิงเอ่ยตอบผู้เป็นน้องสาวพลางยิ้มมองนางผ่านกระจกทองเหลืองบานใหญ่ที่อยู่เบื้องหน้า

“จินเอ๋อร์ทราบแล้วเจ้าค่ะพี่ใหญ่ ว่าต่อให้มงกุฎหงส์ของท่านหนักกว่านี้ท่านพี่ก็คงเต็มใจจะสวมใส่อย่างไม่บิดพลิ้วอยู่ดี หากว่าสวมใส่แล้วจะได้ขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวของพี่เขยมู่” ผู้เป็นน้องสาวมิวายเอ่ยเย้า

ว่าที่เจ้าสาวอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างเอ็นดูจินเอ๋อร์ของนาง เมื่อได้ยินคำพูดเมื่อครู่

“เอาไว้วันหน้าถึงคราวเจ้าต้องสวมมงกุฎหงส์เพื่อวิวาห์เจ้าก็จะเข้าใจความรู้สึกของพี่สาวเจ้าในวันนี้เอง” เฉินฮูหยินเอ่ยขึ้นกับบุตรีสาวคนเล็กของนาง

“เกรงว่า ไม่แน่ชั่วชีวิตนี้ของข้าอาจไม่สามารถเข้าใจความรู้สึกที่พวกท่านกล่าวถึงได้”

เฉินจินฮวาเอ่ยขึ้นเพียงในใจ ตัวนางนั้นไม่เคยวาดฝันอยากพบรักแท้ ยิ่งไม่คาดหวังเคียงคู่ชั่วชีวิตกับผู้ใด มิใช่ว่านางมิเชื่อในความรัก เพียงแต่ไม่วาดฝันถึงบุพเพรักอันแสนหวานเช่นผู้อื่นก็เท่านั้น

เช่นนี้แล้ว ความรักหากยากนักย่อมไม่ต้องมีเสียเลยจะดีกว่า