ตอนที่ 2 นักพรตตาบอด
ตอนที่ 2
นักพรตตาบอด
ตั้งแต่ยังไม่ทันจะรุ่งสางดีด้วยซ้ำ ประตูหน้าจวนสกุลเฉินก็มีขบวนแม่สื่อมารออยู่หน้าจวนแล้ว พ่อบ้านเกิงอี้ผู้รับใช้สกุลเฉินมานานออกมารับหน้าขบวนแม่สื่อนี้ก่อนเป็นอันดับแรก ก่อนที่จะพาเข้าจวนไปพบผู้เป็นนายทั้งหลายที่ตนได้ส่งคนไปแจ้งถึงนายท่านและฮูหยินแล้ว
นายท่านเฉินและเฉินฮูหยินไม่ได้ออกมารับหน้าแม่สื่อด้วยตนเองเพียงแค่สั่งให้พ่อบ้านเกิงอี้เป็นคนรับเทียบสู่ขอเอาไว้เท่านั้นและจึงได้เชิญแม่สื่อกลับไป (จริง ๆ หากจะให้กล่าวตามความจริงไม่ใช่เชิญกลับแต่เป็นบังคับให้กลับต่างหาก)
ด้านเทียบสู่ขอที่ถูกนำมาให้ในวันนี้ก็ถูกเก็บใส่กล่องเข้าห้องเก็บของไปในทันทีโดยที่เจ้าบ้านสกุลเฉินไม่แม้แต่จะถามถึงหรือเอ่ยของดูแม้สักตัวอักษร
คุณหนูสกุลเฉินนั่น มิใช่ใครใคร่จะสู่ขอก็จะสู่ขอได้ตามอำเภอใจ ความเป็นจริงข้อนี้เกิงอี้ผู้เป็นพ่อบ้านย่อมรู้ดีเป็นที่สุด
หลังจากที่จัดการกับเทียบสู่ขอเรียบร้อยแล้ว ตัวเขาจึงได้เร่งฝีเท้าไปที่ห้องครัวใหญ่ของจวนเพื่อที่จะตรวจดูความเรียบร้อยของอาหารเช้าในวันนี้ อีกทั้งยังต้องไปเร่งของว่างที่เอาไว้รับประทานขณะเดินทางไปยังอารามนอกเมืองของฮูหยินเฉินและคุณหนูสามในวันนี้ด้วย
ที่สกุลเฉินนั้นให้ความสำคัญกับการรับประทานอาหารเช้าร่วมกันเป็นที่สุด สี่วันต่อสัปดาห์หากนายท่านผู้เฒ่าไม่ได้เข้าวังไปประชุมราชการส่วนใหญ่ทุกเช้าทุกคนก็มักจะร่วมรับประทานอาหารด้วยกัน
เนื่องด้วยสกุลเฉินนั้นเป็นตระกูลแม่ทัพส่วนใหญ่จึงไม่ค่อยได้มีเวลาอยู่พร้อมหน้ากันนัก ครั้งออกศึก ฝึกทัพ คุมค่ายทหารล้วนแล้วแต่ต้องจากบ้านไปเป็นเวลานาน เมื่อมีเวลาจึงได้หมายหมั่นจะใช้เวลาร่วมกันให้มากขึ้นสักหน่อยเพื่อที่ลูกหลานในสกุลจะได้ไม่รู้สึกเหินห่างกัน
หลังจากงานมงคลถือเป็นวันดี เฉินฮูหยินจึงอยากจะออกไปนอกเมืองไปไหว้สักการะองค์เทพที่อารามใหญ่นอกเมืองเพื่อขอพรให้บุตรีคนโตที่ออกเรือนไปสักหน่อยให้นางได้อุ่นใจ
ขบวนรถม้าของสกุลเฉินในวันนี้ มีเฉินฟูหมิงบุตรชายคนรองเป็นผู้ขี่ม้านำขบวนด้วยตนเอง ตัวเฉินจินฮวานั้นก็นั่งอยู่ในรถม้าด้วยกันกับมารดา
ตลอดเส้นทางเฉินจินฮวานั้นได้สนทนากับมารดาหลายเรื่องทีเดียว สองแม่ลูกใช้เวลาอยู่ในรถม้าได้อย่างไม่น่าเบื่อไม่นานพวกนางก็มาถึงที่หมายในที่สุด
พี่ชายนางประคองมารดาลงจากรถม้า ก่อนจะกลับมาช่วยประคองนางลงมาเช่นเดียวกัน
อารามโต้วเทียนในวันนี้ดูคึกคักกว่าครั้งใดที่นางเคยมา ผู้คนในวันนี้กะจากสายตาแล้วมากกว่าปกติกว่าสามเท่า
“หมิงเอ๋อร์ เจ้ารองให้คนไปถามดูหน่อยเถอะว่าเหตุใดอารามโต้วเทียนในวันนี้จึงดูคึกคักเป็นพิเศษ” มารดาของนางเอ่ยปากขึ้น
“ข้าจะให้คนไปถามดูเดี๋ยวนี้ขอรับท่านแม่” พี่ชายของนางรับคำมารดาทันที ก่อนจะหันไปสั่งคนสนิทของตนให้รีบเข้าไปสอบถามให้รู้ความ
ไม่นานผู้ติดตามคนสนิทของรองแม่ทัพหนุ่มก็กลับมารายงานเรื่องที่ได้ไปสอบถามมาให้แก่ผู้เป็นนายฟัง
“เมื่อครู่ข้าน้อยได้ไปสอบถามชาวบ้านกลุ่มหนึ่ง พวกเขาเล่าว่าท่านนักพรตลู่อวี้ออกจากการกักตัวสวดภาวนาแล้วอีกทั้งในวันนี้ท่านเมตตาเปิดทำนายชะตาให้ด้วยขอรับ”
“ท่านนักพรตลู่อวี้ที่กักตัวศึกษาพระธรรมนานนับสิบปีนะ หรือ” เฉินฮูหยินได้ฟังก็รีบเอ่ยถามขึ้นด้วยท่าทีดีใจ
“ใช่แล้วขอรับฮูหยิน” ผู้ติดตามหนุ่มยืนยัน
“ดี ดียิ่งนัก วันนี้ข้ากู่ฟางซินถือว่าไม่ได้มาเสียเที่ยวแล้ว”
“ท่านแม่ดีใจมากเช่นนี้เลยหรือขอรับ” เขาเอ่ยถามมารดา ซ้ำ ยังไม่ลืมใช้สายตามองอย่างรู้กันกับผู้เป็นน้องสาวด้วย
“แน่นอน นักพรตลู่อวี้ นักพรตตาบอดผู้มีชื่อเสียง เล่าลือกัน ว่าท่านนักพรตสามารถมองย้อนอดีตมองเห็นอนาคตได้เชียวล่ะ”
เฉินฮูหยินไม่รอท่าเอ่ยจบก็เร่งพาบุตรสาวและบุตรชายของ นางเดินขึ้นไปยังอารามในทันที
ก้าวขึ้นบันไดเกือบหนึ่งร้อยขั้นจนกระทั่งขึ้นมาถึงประตูหลักหน้าอารามนั่นทำเอาเฉินฮูหยินอดไม่ได้ที่จะนั่งพักทันทีที่เก้าอี้หินใต้ต้นไม้ใหญ่
“แม่ของพักสักครู่” เฉินฮูหยินเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงหอบเหนื่อย
“เมื่อครู่พี่รองอาสาจะอุ้มท่านแม่ดินขึ้นมา ท่านก็ไม่ยอม” เฉินจินฮวาพูดขึ้นขณะหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนบางของนางขึ้นมาเช็ดเหงื่อตามไรผมให้มารดา
“เดินขึ้นอารามต้องเดินขึ้นด้วยตัวเอง จะได้ให้พุทธองค์ท่านเห็นถึงความพยายามและความศรัทธาของเรา ท่านจะได้ประทานพรให้เรามาก ๆ”
“ท่านแม่เปี่ยมไปด้วยศรัทธาอันแรงกล้า ลูกเชื่อว่าพุทธองค์และเหล่าทวยเทพล้วนรับรู้ได้แน่ขอรับ” ยังคงเป็นบุตรชายคนรองผู้เป็นถึงรองแม่ทัพที่เป็นผู้อ่อนโยนและเอาใจมารดาได้ดีอยู่เสมอ
“ยังคงเป็นฟูหมิงที่เข้าใจแม่ที่สุด” นางมองบุตรชายด้วยสายตาเปี่ยมไปด้วยรักลึกซึ้งระหว่างมารดาและบุตร
“ท่านแม่ ข้าต้องขออภัยที่ต้องเอ่ยขัดขึ้นมานะเจ้าค่ะ แต่ดูเหมือนว่าถ้าไม่รีบเข้าอารามไปล่ะก็ ประตูอารามก็จะปิดแล้วเจ้าค่ะ” เฉินจินฮวาเอ่ยพลางชี้ไปที่ทางประตูอารามที่กำลังจะถูกดึงปิด
โชคดีที่ทันทีที่นางเอ่ยขึ้นบ่าวรับใช้ที่ติดตามมาด้วยก็รีบวิ่งไปห้ามนักพรตทั้งสองที่กำลังจะปิดประตูอารามเอาไว้ได้ทัน กลุ่มของพวกนางจึงเป็นกลุ่มสุดท้ายที่ได้เข้ามาในอารามก่อนที่ประตูอารามจะถูกปิด
ปกติแล้วหากพระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน ประตูอารามย่อมต้องเปิดเอาไว้เพื่อให้ชาวบ้านได้แวะเวียนมากราบสักการะเสมอ
เพียงแค่วันนี้เท่านั้นที่พิเศษออกไป นางและพี่รองช่วยกันประคองมารดาเข้าไปไหว้สักการะพระพุทธองค์รวมไปถึงการจุดธูปบูชาใช้เวลาไม่นานก็เดินตามคำบอกของนักพรตไปรวมกันที่ลานกลางอารามด้านใน ที่ในเวลานี้จากที่มองสำรวจก็จะเห็นว่ามีชาวบ้านมารวมตัวกันไม่ต่ำกว่าห้าสิบคน
ผู้คนเหล่านี้มีทั้งเป็นชาวบ้านธรรมดาจนกระทั่งผู้ที่ดูแล้วมี ฐานะดูภูมิฐานไม่ต่างจากพวกนางดูก็รู้ว่าต้องเป็นคนจากสกุลขุน นางหรือไม่ก็เศรษฐี
“เฉินฮูหยิน ใช่เฉินฮูหฺยินหรือไม่”
เสียงหนึ่งเอ่ยทักขึ้นก่อนที่เจ้าของเสียงจะเดินเข้ามาหาพวกนาง
“ที่แท้เป็นฟางฮูหยินนี่เอง ไม่ได้เจอกันเสียนานเชียว”
นางและพี่รองทำคารวะฟางฮูหยินทันทีที่แน่ใจว่าเป็นคนที่มารดาของพวกนางรู้จัก ด้านหลังฟางฮูหยินเหมือนว่าจะมีคุณหนูผู้หนึ่งติดตามมาด้วย คุณหนูผู้นี้ก็คารวะท่านแม่ของนางทันทีเช่นกัน
“ไม่คิดว่าจะเจอเฉินฮูหยินที่ นับว่าพวกเราสองคนมีวาสนายิ่ง มาอารามในวันนี้ที่ท่านนักพรตเฒ่าลู่อวี้จะให้คำทำนายพอดีเลย”
“จะถือว่าเป็นโชคดีที่สุดหากได้รับคำทำนายจากท่านจริง ๆ ผู้คนมากมายเช่นนี้เกรงว่ายากที่จะสมใจได้” นางเอ่ยกับสหายเก่าที่ไม่ได้พบมานานปี
“วันนี้เฉินฮูหยินกับข้าล้วนแล้วแต่สวมอาภรณ์สีแดงมงคลเช่นนี้ อย่างไรโชคดีก็ต้องมาถึงพวกเราเป็นแน่ ท่านวางใจเถิด”
ผู้ใหญ่สองคนเมื่อได้สนทนากันอย่างถูกคอแล้วย่อมลืมผู้คนรอบข้าไปจนหมด เฉินจินฮวาจึงเป็นฝ่ายส่งยิ้มเป็นมิตรไปให้คุณหนูฟางก่อน แล้วจึงค่อยเอ่ยชวนนางพูดคุย
“ข้าเฉินจินฮวา นี่พี่ชายข้าเฉินฟูหมิง แล้วเจ้าเล่ามีนางว่าอันใดกัน”
“นามของข้าคือ ฟางอันอัน ยินดีที่ได้พบพวกท่าน คุณหนูเฉิน คุณชายเฉิน”
พี่รองของนางเพียงแค่พยักหน้ารับคำเท่านั้น แล้วก็ถอย ออกไปยืนอยู่ไกล ๆ กับบ่าวรับใช้แทน พี่ชายของนางคงรับรู้ได้ ไม่ต่างจากนางว่าเวลานี้คุณหนูฟางผู้นี้กำลังรู้สึกกระอักกระอ่วน ทำตัวไม่ค่อยถูกจึงได้ตั้งใจถอยออกไป
ฟางอันอันผู้นี้ดูเรียบร้อยอ่อนหวานยิ่ง น้ำเสียงและ ท่าทางของนางนั้นก็เป็นเช่นเดียวกัน เฉินจินฮวาเห็นแล้วก็นึกเอ็นดูคุณหนูฟางผู้นี้อยู่มาก เพราะนางดูต่างจากคุณหนูคนอื่น ๆ ในเมืองหลวงที่ชอบเสแสร้ง
“ท่านแม่ของข้ากับท่านแม่เจ้าเป็นสหายกัน พวกเราก็คุยกันอย่างสบาย ๆ เถอะนะ ข้าขอเรียกเจ้าว่าอันอันได้หรือไม่” นางรีบลงมือตีสนิททันที
“เจ้าเรียกได้ตามสบาย ข้ายินดี” เจ้าของน้ำเสียงอ่อนหวานเอ่ยขึ้นพลางยิ้มส่งมาอย่างเป็นมิตร
“เช่นนั้นเจ้าเรียกข้าว่า จินเอ๋อร์เถอะ”
“ได้ จินเอ๋อร์”
คุณหนูทั้งสองเริ่มสนทนากันอย่างสนิทสนมเป็นกันเองมากยิ่งขึ้น อาจเป็นเพราะต่างก็รู้สึกถูกชะตากับอีกฝ่ายเช่นกัน ทำให้คนทั้งคู่แม้จะเพิ่งพบหน้ากันเป็นครั้งแรกแต่กลับกลายเป็นสหายรู้ใจไปเสียแล้ว เพียงแค่ได้สนทนากันเพียงไม่กี่ประโยคเท่านั้น
“ท่านแม่ ท่านนักพรตคงไม่ออกมาแล้วกระมังเจ้าคะ” นางหันไปเอ่ยกับมารดาตนพลางส่งยิ้มไปให้ท่านป้าฟาง เมื่อรู้สึกว่าได้รออยู่เช่นนี้เป็นเวลากว่าสองเค่อได้แล้ว
“ท่านไม่ออกมาอยู่แล้วล่ะ” นางเอ่ยตอบบุตรสาว
“เช่นนั้นแล้วเวลานี้พวกเรากำลังรอสิ่งใดอยู่หรือเจ้าคะ” เฉินจินฮวาเอ่ยถามมารดาต่อ นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดเมื่อทุกคนรู้อยู่แล้วว่าท่านนักพรตจะไม่ออกมาแต่ก็ยังคงรวมตัวรออยู่ที่ลานของอารามไม่ไปไหน
“ที่พวกเราทุกคนกำลังรออยู่ไม่ใช่ท่านนักพรต แต่เป็นคำทำนายของท่านต่างหาก” คราวนี้เป็นฟางฮูหยินที่เป็นผู้ตอบข้อสงสัยของนาง
“ท่านนักพรตไม่ก้าวออกจากอารามด้านในมาเป็นสิบ ๆ ปี แน่นอนว่าวันนี้แม้ท่านจะเมตตาจะมอบคำทำนายให้แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนจะได้รับ” กู่ฟางซินอธิบายให้บุตรสาวของนางฟังต่อ
“ท่านไม่ได้ออกมาพบ เช่นนั้นจะทำนายได้อย่างไรเจ้าค่ะ”
“ท่านนักพรตทำนายได้ เพราะท่านเป็นรู้เป็นผู้มองเห็นอดีตและอนาคตได้อย่างไรเล่า ทุกอย่างที่ท่านทำนายหรือบอกกล่าวล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ท่านเห็น ไม่เท่านี้หากทำนายเป็นเรื่องร้ายท่านนั้นจะให้เห็นเพื่อให้ผู้รับคำทำนายได้มีโอกาสหาทางแก้ไข”
ท่านแม่ของนางและท่านป้าฟางช่วยกันเล่ารายละเอียดให้นางพี่รองและอันอันฟังอย่างตั้งใจ
ท่าทีของท่านแม่และท่านป้าฟางแสดงออกมาให้เห็นถึงความนับถือและศรัทธานักพรตท่านนี้เป็นอย่างมาก
“ข้าเคยได้ยินมาว่า เคยมีนักพรตผู้หนึ่งให้คำทำนายเกี่ยวกับน้ำท่วมครั้งใหญ่ที่เมืองเหลียว ไม่ทราบว่าใช่ท่านนักพรตท่านนี้ที่ท่านแม่กำลังผู้ถึงเป็นผู้ทำนายด้วยหรือไม่” เฉินฟูหมิงที่ยืนฟังอยู่เงียบ ๆ มานานถามขึ้นเมื่ออยู่ ๆ ก็นึกไปถึงเรื่องหนึ่งที่ตนเคยได้ยินมาเมื่อนานมาแล้ว
“ใช่แล้ว เป็นท่านนักพรตลู่อวี้ท่านนี้แหละที่ทำนายภัยพิบัติครั้งใหญ่ของเมืองเหลียวเอาไว้ล่วงหน้า ชาวเมืองเหลียวจึงได้อพยพออกจากพื้นที่ได้ทันก่อนที่จะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น”
“ฟังว่าน้ำท่วมเมืองเหลียวครั้งนั้นไม่มีชาวบ้านบาดเจ็บล้มตายเลยแม้แต่คนเดียว”
“ถือเป็นโชคดีของชาวเมืองเหลียวจริง ๆ ไม่เช่นนั้นแคว้น เราคงจะต้องจดจำการสูญเสียครั้งใหญ่ไปอีกนานเชียวล่ะ”
“มิรู้ว่าครั้งนั้นเป็นผู้ใดที่ได้รับคำทำนายไป หลายคนเล่า ว่าเป็นขุนนางผู้หนึ่งบ้างก็ลือว่าเป็นถึงเชื้อพระวงศ์”
“ผู้ใดได้ไปก็ไม่แน่ชัด แต่ย่อมต้องเป็นผู้มีอำนาจไม่น้อยแน่ ผู้ที่สามารถจัดการอพยพชาวบ้านทั้งเมืองเหลียวได้ย่อมไม่ธรรมดาแน่”
