บท
ตั้งค่า

บทนำ สกุลเรืองอำนาจ

บทนำ

สกุลเรืองอำนาจ

วสันตฤดูมาเยือน ณ จวนเฉินไท่เว่ย (ต้าซือหม่า) หนึ่งในสามอำมาตย์ใหญ่แห่งแคว้นเป่ยซีนั้นเวลานี้กำลังเตรียมงานสมรสอันยิ่งใหญ่ให้กับบุตรสาวคนโตของแม่ทัพใหญ่เฉินกับรองแม่ทัพมู่ทหารกล้าผู้มีชื่อเสียง

สกุลเฉินนั้นแต่เดิมก็เป็นสกุลใหญ่ผู้เรืองอำนาจในทางทหารยิ่ง น้องสาวเฉินไท่เว่ยเองก็เป็นหนึ่งในสนมขั้นผินที่ฮ่องเต้โปรดปรานเป็นอย่างมากถึงขั้นประทานนามว่า กุ้ย ให้เป็นพิเศษ ตำแหน่งผินของพระนางจึงไม่ได้ด้อยกว่าตำแหน่งเฟยเลย

หากพระนางให้กำเนิดพระโอรสหรือพระธิดาสักพระองค์หนึ่งตำแหน่งเฟยก็คงอยู่เพียงเอื้อมเท่านั้น เสียดายที่วาสนาไม่เป็นใจ ครรภ์กุ้ยผินนั้นไร้ซึ่งความเคลื่อนไหวเสมอมา

เกียรติยศและชื่อเสียงไม่มีสิ่งใดที่สกุลเฉินขาดเพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องปกติหากบุตรีและบุตรชายสกุลเฉินจะ ถูกจับจ้องจากตระกูลชั้นสูงทั่วทั้งแคว้นเป่ยซี

หากสกุลเฉินมัวเมาอำนาจไม่รู้จบสิ้นลูกหลานสกุลเฉินก็คงต้องแต่งเพื่อเสริมอำนาจให้สกุล ดีที่สกุลเฉินไม่ได้หลงระเริงในอำนาจและไม่คิดให้มีการแต่งงานเพื่อเสริมอำนาจใด ๆ

ลูกหลานสกุลเฉินหากแต่งงานจึงยึดตามความพึงพอใจและความยินยอมพร้อมใจของสองสกุลเป็นหลัก การแต่งงานต้องมาจากความต้องการสร้างครอบครัวมิใช่เพื่ออำนาจ สำคัญที่สุดคือเจ้าบ่าวเจ้าสาวยินดีทั้งคู่ มิมีการฝืนใจฝ่ายใดทั้งสิ้น

งานสมรสที่จะมาถึงในอีกไม่กี่วันนี้ถือเป็นตัวอย่างการแต่งงานเพื่อความสุขอย่างแท้จริงที่เห็นได้ชัดเจน เพราะเจ้าบ่าวรองแม่ทัพมู่หวายหนานและคุณหนูใหญ่เฉินซือหนิงต่างมีใจตรงกันผูกสัมพันธ์รักใคร่ซึ่งกันและกันมาตั้งแต่วัยเยาว์ จากสหายในวันวานสู่สามีภรรยาเดินเคียงคู่กันชั่วชีวิต

อีกสามวันก็จะถึงงานวิวาห์ใหญ่

เฉินฮูหยินและบุตรสาวคนเล็กต่างก็พากันเข้ามาช่วยว่าที่เจ้าสาวตรวจดูความเรียบร้อยของชุดเจ้าสาวรวมไปถึง เครื่องประดับต่าง ๆ ที่จะต้องใช้ในวันงาน

นอกจากชุดเจ้าสาวสีแดงปักลายมงคลด้วยความประณีต ละเอียดลออเป็นอย่างยิ่งแล้วนั้น เครื่องประดับศีรษะอย่างมงกุฎ เจ้าสาวสีทองนั้นยิ่งดูประณีตหรูหรายิ่งกว่า

“ท่านแม่ มงกุฎหงส์ของพี่สาวดูท่าแล้วจะหนักไม่น้อยนะเจ้าค่ะ” เฉินจินฮวาเอ่ยขึ้นหลังจากที่นางหันไปเห็นมงกุฎหงส์ที่เพิ่งถูกยกเข้ามา

“หนักแค่นี้ไม่ถือว่าเป็นอะไร สวมใส่ออกมาแล้วยิ่งงดงามจึงจะดี” มารดาของนางเอ่ยขึ้นก่อนจะหันไปยกมงกุฎหงส์ขึ้นมาลองสวมลงที่ศีรษะของพี่สาวของนาง

“ท่านพี่หนักหรือไม่เจ้าคะ” นางเปลี่ยนมาเอ่ยถามพี่สาวของตนบ้าง

“หนักไม่เท่าใดหรอก จินเอ๋อร์อย่าได้กังวลเลย” เฉินซือหนิงเอ่ยตอบผู้เป็นน้องสาวพลางยิ้มมองนางผ่านกระจกทองเหลืองบานใหญ่ที่อยู่เบื้องหน้า

“จินเอ๋อร์ทราบแล้วเจ้าค่ะพี่ใหญ่ ว่าต่อให้มงกุฎหงส์ของท่านหนักกว่านี้ท่านพี่ก็คงเต็มใจจะสวมใส่อย่างไม่บิดพลิ้วอยู่ดี หากว่าสวมใส่แล้วจะได้ขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวของพี่เขยมู่” ผู้เป็นน้องสาวมิวายเอ่ยเย้า

ว่าที่เจ้าสาวอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างเอ็นดูจินเอ๋อร์ของนาง เมื่อได้ยินคำพูดเมื่อครู่

“เอาไว้วันหน้าถึงคราวเจ้าต้องสวมมงกุฎหงส์เพื่อวิวาห์เจ้าก็จะเข้าใจความรู้สึกของพี่สาวเจ้าในวันนี้เอง” เฉินฮูหยินเอ่ยขึ้นกับบุตรีสาวคนเล็กของนาง

“เกรงว่า ไม่แน่ชั่วชีวิตนี้ของข้าอาจไม่สามารถเข้าใจความรู้สึกที่พวกท่านกล่าวถึงได้”

เฉินจินฮวาเอ่ยขึ้นเพียงในใจ ตัวนางนั้นไม่เคยวาดฝันอยากพบรักแท้ ยิ่งไม่คาดหวังเคียงคู่ชั่วชีวิตกับผู้ใด มิใช่ว่านางมิเชื่อในความรัก เพียงแต่ไม่วาดฝันถึงบุพเพรักอันแสนหวานเช่นผู้อื่นก็เท่านั้น

เช่นนี้แล้ว ความรักหากยากนักย่อมไม่ต้องมีเสียเลยจะดีกว่า

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel