บทที่ 3 ก้าวแรกสู่วังวน 1/2
บทที่
3
ก้าวแรกสู่วังวน
สิบปี...สิบปีที่ความสูญเสียกัดกินหัวใจของหลินเยว่ราวกับคมเขี้ยวของสัตว์ร้าย นับตั้งแต่วันที่บิดาจากไป โลกทั้งใบของเด็กหญิงเจ็ดขวบก็พลันมืดมิด ความโดดเดี่ยวเย็นเยียบเกาะกุมร่างเล็ก ๆ นั้นแน่นหนา ข่าวลือเรื่อง ‘บุตรีต้องสาป’ ยังคงตามหลอกหลอน แม้จะย้ายออกจากกระท่อมในชายป่ามาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ห่างไกล ความหวาดระแวงและสายตาที่รังเกียจก็ยังคงไม่จางหาย
หลินเยว่เติบโตขึ้นภายใต้เงามืดแห่งความทรงจำและความแค้น นางไม่เคยลืมใบหน้าอันอ่อนโยนของบิดา คำพูดสุดท้ายที่แฝงไว้ด้วยความเป็นห่วง และความเจ็บปวดที่กัดกินชีวิตท่านอย่างช้า ๆ ความทรงจำเหล่านั้นเป็นดั่งเปลวไฟที่คอยโหมกระพือความมุ่งมั่นในการแก้แค้นให้ลุกโชนอยู่เสมอ
นางใช้เวลาทั้งหมดทุ่มเทให้กับการศึกษาตำรายาสมุนไพรเก่าแก่ที่บิดาทิ้งไว้ ตัวอักษรโบราณที่เคยยากจะเข้าใจ บัดนี้กลับกลายเป็นกุญแจสำคัญสู่โลกแห่งความรู้เรื่องยาพิษและสมุนไพร นางจดจำลักษณะ สี กลิ่น รสชาติ และสรรพคุณของพืชแต่ละชนิดอย่างแม่นยำ ทดลองปรุงยาต่าง ๆ อย่างลับ ๆ ในสวนเล็ก ๆ หลังบ้าน สังเกตปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นอย่างละเอียดถี่ถ้วน ความรู้เหล่านี้กลายเป็นอาวุธลับที่นางจะใช้ในการแก้แค้น
นอกจากความรู้เรื่องยาแล้ว หลินเยว่ยังฝึกฝนร่างกายอย่างหนัก นางเรียนรู้การต่อสู้ด้วยมือเปล่าจากชายชราลึกลับที่บังเอิญพบเจอระหว่างเดินทางเก็บสมุนไพร
“เจ้าหนู ฝีมือไม่เลวนี่ ฝึกมานานเท่าไหร่แล้ว” ชายชราเอ่ยถามขณะมองหลินเยว่ฝึกซ้อมท่าทางอย่างคล่องแคล่ว
หลินเยว่หยุดการเคลื่อนไหว หันมามองชายชราด้วยความระแวดระวัง “ข้าฝึกเอง ไม่ได้มีใครสอน”
ชายชรายิ้มเล็กน้อย “พรสวรรค์แท้ ๆ แต่การต่อสู้ไม่ได้มีแค่พละกำลังและความเร็ว เจ้าต้องรู้จักการป้องกันตัว การหลบหลีก และการใช้ไหวพริบ”
“ไหวพริบ” หลินเยว่ขมวดคิ้ว
ชายชราเดินเข้ามาใกล้ “ใช่ การอ่านการเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้ การใช้สภาพแวดล้อมให้เป็นประโยชน์และการรู้ว่าเมื่อไหร่ควรจะถอย”
หลินเยว่มองชายชราด้วยความสนใจ “ท่านพอจะสอนข้าได้หรือไม่”
ชายชราหัวเราะเบา ๆ “ข้าเป็นแค่คนแก่ใกล้ตาย จะสอนอะไรเจ้าได้ แต่ถ้าเจ้าอยากเรียนรู้จริง ๆ พรุ่งนี้เช้าตรู่ จงมาที่นี่ ข้าจะสอนสิ่งที่ข้ารู้ให้เจ้า”
ดวงตาของหลินเยว่เป็นประกาย “ขอบคุณท่านมาก ข้าจะมา”
การตัดสินใจเข้าวังหลวงไม่ใช่เรื่องง่าย หลินเยว่รู้ดีว่าสถานที่แห่งนั้นเต็มไปด้วยอันตรายและการแก่งแย่งชิงอำนาจ แต่ก็เป็นหนทางเดียวที่นางจะสามารถเข้าใกล้เป้าหมายของการแก้แค้นได้ นั่นคือ เสนาบดีตงฟางหลี่ ผู้ที่นางเชื่อว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการล่มสลายของครอบครัว
ด้วยความช่วยเหลืออย่างลับ ๆ จากเว่ยจง ผู้ที่เคยเป็นสหายสนิทของบิดา หลินเยว่ได้รับจดหมายแนะนำตัวปลอมและเงินจำนวนหนึ่งเพื่อใช้ในการเดินทาง เว่ยจงเตือนนางด้วยความเป็นห่วงถึงอันตรายในวังหลวง แต่ก็เข้าใจถึงความแค้นที่ฝังลึกในใจของเด็กสาว
การเดินทางสู่เมืองหลวงยาวนานและยากลำบาก หลินเยว่ต้องปลอมตัวเป็นเด็กชายเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกรังแกและเพื่อความปลอดภัย นางทำงานรับจ้างสารพัด ตั้งแต่แบกหามของ ไปจนถึงช่วยงานในโรงเตี๊ยม อดทนต่อความเหนื่อยล้าและความหิวโหย ทุกหยาดเหงื่อและทุกความยากลำบากเป็นเพียงบททดสอบความมุ่งมั่นของนาง
เมื่อเข้าใกล้เมืองหลวง หลินเยว่เปลี่ยนไปอีกครั้ง นางใช้เงินที่เก็บสะสมมาซื้อเสื้อผ้าเนื้อหยาบและแต่งหน้าให้ดูซูบซีด เพื่อให้ดูเหมือนหญิงสาวกำพร้าที่เดินทางมาหางานทำ นางเรียนรู้วิธีการพูดจาและวางตัวอย่างคนต่ำต้อย จากขอทานข้างถนน เพื่อไม่ให้ใครสงสัยในภูมิหลังที่แท้จริงของนาง
นางเดินเข้าไปถามหญิงชราที่กำลังขายผลไม้ “ท่านป้าพอจะทราบหรือไม่ว่าในวังหลวงมีการรับคนทำงานบ้างหรือไม่เจ้าคะ”
หญิงชรามองหลินเยว่ด้วยความสงสาร “เด็กน้อยน่าสงสาร มาจากไหนกัน วังหลวงน่ะหรือ เขามักจะรับคนที่มีเส้นสายหรือไม่ก็คนรู้จักมากกว่านะ”
“แล้วไม่มีโอกาสสำหรับคนนอกอย่างข้าเลยหรือเจ้าคะ ข้าอยากมีงานทำเพื่อเลี้ยงตัวเอง” หลินเยว่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้าลง
หญิงชราถอนหายใจ “ก็พอจะมีบ้างแต่ต้องอดทนและทำงานหนักมาก ล่าสุดข้าได้ยินว่าเขากำลังรับคนดูแลสวนสมุนไพร ลองไปถามที่ประตูทางด้านทิศตะวันตกดูสิ อาจจะมีหวัง”
ดวงตาของหลินเยว่เป็นประกายอีกครั้ง “จริงหรือเจ้าคะ ขอบคุณท่านป้ามากนะเจ้าคะ” ก่อนที่นางจะเดินต่อไปเพื่อเข้าไปในวังหลวงให้ได้
นางนั่งลงข้าง ๆ ขอทานชรา “ท่านลุง ท่านอยู่ที่นี่มานานแล้วใช่หรือไม่” พอจะแนะนำข้าได้ไหมว่าคนต่ำต้อยอย่างเราควรจะวางตัวอย่างไรในเมืองนี้”
