บทที่ 2 ปณิธานแห่งความแค้น 2/2
“ถ้าเจ้าตัดสินใจแล้ว ข้าก็คงไม่อาจห้ามเจ้าได้” เว่ยจงถอนหายใจ “แต่จงจำไว้ว่าความแค้นอาจนำพาเจ้าไปสู่หนทางที่มืดมิด จงระมัดระวัง และอย่าให้ความแค้นบดบังจิตใจของเจ้า”
“ข้าจะจำคำของท่านลุงไว้” หลินเยว่กล่าวด้วยความเคารพ “ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง”
ในคืนนั้นเอง หลินเยว่นั่งอยู่หน้าหีบไม้เก่า เปิดตำรายาสมุนไพรอีกครั้ง แสงเทียนส่องสว่างบนใบหน้าของเธอที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น เธอไล่นิ้วไปตามตัวอักษรโบราณ ราวกับกำลังวางแผนการรบอย่างละเอียด เป้าหมายแรกของเธอชัดเจนแล้ว ตงฟางหลี่ ขุนนางผู้สูงศักดิ์ผู้นั้นจะต้องชดใช้ในสิ่งที่เขาได้กระทำ
“ท่านพ่อ ท่านแม่ โปรดรอข้าด้วย ข้าจะนำความยุติธรรมกลับมาให้ท่าน ด้วยมือของข้าเอง”
ความเงียบสงัดในกระท่อมถูกทำลายด้วยเสียงลมหายใจหนัก ๆ ของเด็กสาวที่กำลังจ้องมองไปยังเปลวเทียนที่สั่นไหว ความแค้นได้จุดประกายไฟในหัวใจของเธอแล้ว และเปลวไฟนั้นจะนำทางเธอไปสู่หนทางแห่งการแก้แค้น แม้ว่าหนทางนั้นจะเต็มไปด้วยอันตรายและความมืดมิดก็ตาม
ความทรงจำเกี่ยวกับวันที่บิดาจากไปยังคงแจ่มชัดอยู่ในห้วงความคิดของหลินเยว่ ราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน แสงตะวันสุดท้ายของวันนั้นสาดส่องลอดหน้าต่างกระท่อมเข้ามา จับฝุ่นละอองที่ลอยคว้างเป็นประกายเศร้าสร้อย หลินชานนอนอยู่บนเตียงไม้เก่า ๆ หายใจแผ่วเบา ใบหน้าซูบผอมซีดเซียว ดวงตาที่เคยเต็มไปด้วยความรักและความอบอุ่น บัดนี้กลับเลื่อนลอยและอ่อนแรง
หลินเยว่ในวัยเจ็ดขวบนั่งคุกเข่าอยู่ข้างเตียง จับมือบิดาไว้แน่น มือเล็ก ๆ ของเธอสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวและสิ้นหวัง หมอเฒ่าจากหมู่บ้านได้แต่ส่ายหน้าด้วยความจนปัญญา ยาสมุนไพรที่เคยช่วยบรรเทาอาการกลับไม่ได้ผลอีกต่อไป พิษร้ายที่ค่อย ๆ กัดกร่อนร่างกายของบิดาช่างร้ายกาจเกินกว่าจะเยียวยา
“เยว่เอ๋อร์” เสียงแหบพร่าของหลินชานดังแผ่วเบา หลินเยว่เงยหน้าขึ้นมอง น้ำตาคลอหน่วย
“ท่านพ่อ” หลินเยว่สะอื้น
“อย่าร้องไห้เลยลูก” หลินชานยกมือที่เย็นเฉียบขึ้นลูบศีรษะบุตรีเบา ๆ “พ่อ...พ่อดีใจที่มีเจ้า เจ้าเป็นเด็กดี”
“ไม่!!! ท่านพ่อต้องไม่ทิ้งข้าไป” หลินเยว่กอดมือบิดาแน่น น้ำตาไหลอาบแก้ม “ท่านเคยสัญญาว่าจะอยู่กับข้าจะดูแลข้า”
“พ่อ...” หลินชานไอแห้ง ๆ อีกครั้ง ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด “พ่อ...คงทำตามสัญญาไม่ได้แล้ว”
“ไม่จริง!!! ท่านต้องอยู่ ข้าจะหายา ข้าจะช่วยท่าน” หลินเยว่ลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ตั้งใจจะวิ่งออกไปตามหมอคนอื่น ๆ หรือหาสมุนไพรวิเศษใด ๆ ก็ตามที่อาจช่วยชีวิตบิดาได้
“เยว่เอ๋อร์” เสียงเรียกแผ่วเบาของบิดาหยุดยั้งเธอไว้ หลินเยว่หันกลับมามองด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความหวัง
“มานี่สิลูก” หลินชานกวักมือเรียก หลินเยว่รีบคลานเข่าเข้าไปใกล้ชิดอีกครั้ง
“จำไว้นะเยว่เอ๋อร์” หลินชานกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงทุกที “อย่าไว้ใจใครง่าย ๆ ในโลกนี้มีคนใจร้ายที่ซ่อนความชั่วร้ายไว้ภายใต้รอยยิ้ม”
“...” หลินเยว่ฟังคำพูดของบิดาด้วยความสงสัย นางไม่เข้าใจว่าบิดากำลังหมายถึงใคร
“ดูแลตัวเองให้ดี เข้มแข็งนะลูกอย่าให้ใครมารังแกเจ้าได้” หลินชานยกมือขึ้นสัมผัสแก้มของบุตรีอย่างแผ่วเบา เป็นสัมผัสที่อบอุ่นและอ่อนโยนที่สุดเท่าที่เธอเคยรู้สึก
“ข้าจะจำไว้ ท่านพ่อ” หลินเยว่สะอื้นไห้
“พ่อ” หลินชานหายใจเข้าลึก ๆ ราวกับกำลังรวบรวมเรี่ยวแรงสุดท้าย “พ่อรักเจ้า มากที่สุด”
สิ้นคำนั้น มือที่กุมมือของหลินเยว่ไว้ก็ค่อย ๆ คลายออก ดวงตาที่เคยมีประกายอ่อนโยนค่อย ๆ เลื่อนลอยและปิดสนิทลง ลมหายใจสุดท้ายขาดหายไปอย่างเงียบเชียบ
“ท่านพ่อ! ท่านพ่อ!” หลินเยว่เขย่าร่างของบิดาอย่างแรง แต่ไม่มีการตอบสนองใด ๆ น้ำตาของนางไหลพรั่งพรูออกมาอย่างไม่อาจกลั้นได้ ความเจ็บปวดราวกับมีดกรีดแทงหัวใจ ความรู้สึกสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ถาโถมเข้าใส่ร่างเล็ก ๆ ของเด็กหญิง
หมอเฒ่าเดินเข้ามาใกล้ วางมือบนไหล่เล็กของหลินเยว่อย่างปลอบโยน “เยว่เอ่อร์ ท่านพ่อไปสบายแล้ว”
“ไม่จริง! ท่านพ่อยังไม่ไป!” หลินเยว่กอดร่างไร้วิญญาณของบิดาไว้แน่น ร้องไห้โฮออกมาอย่างสุดกลั้น ความโดดเดี่ยวและความสิ้นหวังถาโถมเข้าใส่เธออย่างหนักหน่วง เธอสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง สูญเสียคนที่รักที่สุดในชีวิต
ในคืนที่มืดมิดนั้นเอง ความโศกเศร้าค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความเงียบงัน ความเจ็บปวดค่อย ๆ ก่อตัวเป็นความแค้นที่ฝังลึกในหัวใจ หลินเยว่จ้องมองใบหน้าอันสงบของบิดา น้ำตาเหือดแห้งไปจากดวงตา แต่แววตาที่เคยสดใสกลับแข็งกร้าวและเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
“คนที่ทำร้ายท่านพ่อ คนที่พรากท่านไปจากข้า ข้าจะไม่ปล่อยพวกมันไป ข้าจะแก้แค้น ข้าสาบาน!’
ความทรงจำอันแสนเจ็บปวดในวันนั้น กลายเป็นเชื้อเพลิงที่คอยโหมกระพือความแค้นในใจของหลินเยว่ตลอดมา มันเป็นแรงผลักดันให้เธอศึกษาพิษวิทยาอย่างหนัก ฝึกฝนตนเองอย่างลับ ๆ และวางแผนการแก้แค้นอย่างรอบคอบ เพื่อรอวันที่เธอจะสามารถชำระแค้นให้กับบิดาผู้เป็นที่รักได้สำเร็จ
สิบปี...สิบปีที่ความสูญเสียกัดกินหัวใจของหลินเยว่ราวกับคมเขี้ยวของสัตว์ร้าย นับตั้งแต่วันที่บิดาจากไป โลกทั้งใบของเด็กหญิงเจ็ดขวบก็พลันมืดมิด ความโดดเดี่ยวเย็นเยียบเกาะกุมร่างเล็ก ๆ นั้นแน่นหนา ข่าวลือเรื่อง ‘บุตรีต้องสาป’ ยังคงตามหลอกหลอน แม้จะย้ายออกจากกระท่อมในชายป่ามาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ห่างไกล ความหวาดระแวงและสายตาที่รังเกียจก็ยังคงไม่จางหาย
