บทที่ 2 ปณิธานแห่งความแค้น 1/2
บทที่
2
ปณิธานแห่งความแค้น
ห้าปีล่วงเลยผ่านไปราวกับสายลมที่พัดผ่านป่าใหญ่ กระท่อมหลังเดิมยังคงตั้งตระหง่านอยู่ในชายป่า แต่บรรยากาศกลับแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง ความเงียบเหงาและความเศร้าสร้อยถูกแทนที่ด้วยความมุ่งมั่นและพลังเงียบที่แผ่ออกมาจากร่างของเด็กสาววัยสิบสองปี หลินเยว่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว รูปร่างสูงโปร่ง ดวงตากลมโตยังคงฉายแววเฉลียวฉลาด แต่แววเศร้าสร้อยในวัยเยาว์ได้แปรเปลี่ยนเป็นความเด็ดเดี่ยวและมุ่งมั่นอันแรงกล้า
หลังจากที่บิดาจากไปอย่างสงบด้วยพิษร้ายที่เธอไม่อาจยับยั้งได้ ความแค้นก็ฝังรากลึกลงในหัวใจของหลินเยว่ราวกับเถาวัลย์ที่รัดแน่น เธอเก็บซ่อนความโศกเศร้าไว้ภายใต้ใบหน้าที่สงบนิ่ง และทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้กับการศึกษาตำรายาสมุนไพรเก่าแก่ที่บิดาทิ้งไว้ ตำราเล่มนั้นถูกเก็บซ่อนไว้ในหีบไม้ผุพังใต้พื้นกระท่อม เต็มไปด้วยตัวอักษรโบราณและภาพวาดสมุนไพรที่ซับซ้อน ในวัยเด็กเธออาจจะอ่านไม่ออก แต่ด้วยความพยายามอย่างหนักและการจดจำอย่างละเอียด หลินเยว่ค่อย ๆ ถอดรหัสความรู้ที่บรรจุอยู่ในนั้น
แสงเทียนริบหรี่ส่องสว่างภายในกระท่อมยามค่ำคืน หลินเยว่นั่งอยู่บนพื้นดิน ขลุกอยู่กับตำรายาสมุนไพร ใบหน้าเล็ก ๆ เปื้อนหมึกจากการคัดลอกสูตรยาต่าง ๆ เธอจดจำชื่อสมุนไพร สรรพคุณ วิธีการปรุง และที่สำคัญที่สุดคือพิษร้ายของพืชแต่ละชนิด เธอทดลองปรุงยาต่าง ๆ อย่างลับ ๆ ในสวนสมุนไพรเล็ก ๆ หลังกระท่อม สังเกตการเปลี่ยนแปลงของสี กลิ่น และปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นอย่างใส่ใจ
นอกจากตำรายาแล้ว หลินเยว่ยังฝึกฝนร่างกายอย่างหนัก เธอเรียนรู้การเคลื่อนไหวที่รวดเร็วและเงียบเชียบ การหลบหลีก และการใช้สมุนไพรบางชนิดเพื่อเสริมสร้างพละกำลังและความว่องไว เธอรู้ดีว่าการแก้แค้นไม่ใช่เรื่องง่าย เธอต้องแข็งแกร่งทั้งร่างกายและจิตใจ เพื่อที่จะเผชิญหน้ากับศัตรูที่อาจมีอำนาจและอิทธิพลเหนือกว่าเธอมากนัก
วันหนึ่ง ขณะที่หลินเยว่กำลังบดสมุนไพรอยู่ในครกหิน เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นเบา ๆ เด็กสาวชะงักมือ เงี่ยหูฟังด้วยความระแวดระวัง นับตั้งแต่บิดาจากไป เธอไม่เคยเปิดรับผู้ใดอีกเลย
“ใคร” หลินเยว่ถามเสียงเบา
“เป็นข้าเองเว่ยจง” เสียงทุ้มนุ่มดังลอดมาจากบานประตูไม้เก่า
หลินเยว่ถอนหายใจอย่างโล่งอก เว่ยจงคือชายชราที่อาศัยอยู่ในป่าลึก เขาเป็นคนที่บิดาเคยให้ความเคารพและนับถือ ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก เว่ยจงมักจะแวะเวียนมาดูแลสองพ่อลูกอย่างเงียบ ๆ และให้ความช่วยเหลือเท่าที่ทำได้ หลังจากการจากไปของบิดา เว่ยจงก็ยังคงมาเยี่ยมเยียนหลินเยว่เป็นครั้งคราว
หลินเยว่เปิดประตูต้อนรับชายชรา เว่ยจงในวัยหกสิบเศษ ผมขาวโพลน หนวดเครายาวรุงรัง แต่ดวงตากลับยังคงมีประกายแห่งความเมตตา
“เจ้าสบายดีหรือไม่ เยว่เอ๋อร์” เว่ยจงถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน มองสำรวจร่างของเด็กสาวด้วยความเป็นห่วง
“ข้าสบายดี ท่านลุงเว่ย” หลินเยว่ตอบด้วยความเคารพ “ท่านมีธุระอันใดหรือ”
“ข้าเพียงแค่นำสมุนไพรบางชนิดที่เจ้าเคยบอกว่าต้องการมาให้” เว่ยจงยื่นห่อผ้าเล็ก ๆ ให้หลินเยว่
หลินเยว่รับมาเปิดดู ดวงตาเป็นประกายเมื่อเห็นสมุนไพรหายากที่อยู่ข้างใน “ขอบคุณท่านลุงมาก”
“เจ้ายังคง” เว่ยจงลังเลเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถาม “ยังคงคิดถึงเรื่องในอดีตอยู่ใช่หรือไม่”
หลินเยว่เงยหน้าขึ้นมองชายชรา แววตาของเธอแข็งกร้าวขึ้นเล็กน้อย “ความแค้นฝังลึกในใจ ข้าไม่มีวันลืม”
เว่ยจงถอนหายใจ “ความแค้นเป็นเหมือนยาพิษที่กัดกินหัวใจเจ้าเองนะ เยว่เอ๋อร์”
“แต่พวกมันสมควรได้รับ” หลินเยว่กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“พวกมันพรากทุกสิ่งทุกอย่างไปจากข้า พวกมันต้องชดใช้”
“เจ้ามีเป้าหมายแล้วหรือ” เว่ยจงถามอย่างระมัดระวัง
หลินเยว่พยักหน้าช้า ๆ ดวงตาจ้องมองไปยังเปลวเทียนที่กำลังสั่นไหว “ตงฟางหลี่”
เว่ยจงขมวดคิ้ว “ตงฟางหลี่ ท่านเสนาบดีตงฟางหรือ”
“ใช่” หลินเยว่ตอบเสียงเย็นชา “เขาคือหนึ่งในคนที่อยู่เบื้องหลังการใส่ร้ายครอบครัวของข้า เขาเป็นคนที่สั่งให้คนวางยาพิษท่านแม่ และเป็นคนที่ทำให้ท่านพ่อต้องตรอมใจจนสิ้นลม”
“เจ้าแน่ใจหรือ ตงฟางหลี่เป็นขุนนางใหญ่ มีอำนาจและอิทธิพลมากนัก การแก้แค้นเขาไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ” เว่ยจงกล่าวด้วยความเป็นห่วง
“ข้ารู้” หลินเยว่ตอบอย่างหนักแน่น
“แต่ข้าไม่กลัว ข้าจะใช้ทุกสิ่งที่ข้ามี ความรู้เรื่องยาพิษ สติปัญญา และความอดทน เพื่อลากเขาลงมาจากตำแหน่งอันสูงส่งนั้น และทำให้เขารับรู้ถึงความเจ็บปวดที่ข้าเคยได้รับ”
“เจ้ามีแผนการแล้วหรือ” เว่ยจงถามด้วยความกังวล
“ข้ากำลังวางแผนอยู่” หลินเยว่ตอบ
“ข้าต้องเข้าไปในเมืองหลวง เข้าไปในวังวนอำนาจนั้น เพื่อเข้าใกล้เป้าหมายของข้า”
“วังหลวงเป็นสถานที่อันตราย เยว่เอ๋อร์ เจ้าตัวเล็กแค่นี้” เว่ยจงกล่าวด้วยความไม่เห็นด้วย
“ข้าไม่ได้ตัวเล็กอีกต่อไปแล้ว ท่านลุงเว่ย” หลินเยว่กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ความแค้นทำให้ข้าเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว และข้าจะไม่ยอมให้ใครมาขวางทางข้าได้”
เว่ยจงมองเข้าไปในดวงตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นของเด็กสาว เขารู้ดีว่าเมื่อหลินเยว่ตัดสินใจแล้ว ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงความคิดของเธอได้
