ตอนที่ 4 ตกน้ำ
ตอนที่ 4 ตกน้ำ
ในขณะที่บรรยากาศกำลังดำเนินไปอย่างครื้นเครงและชื่นมื่น พลันความเงียบก็บังเกิดขึ้นชั่วขณะ เมื่อรถม้าประจำตระกูลเซียวมาถึง พร้อมกับการปรากฏตัวของเซียวจิ้งเหยียน บุตรชายคนโตของเซียวอู๋เหยา
เขาสวมอาภรณ์สีน้ำเงินเข้ม ขับเน้นเรือนร่างสูงใหญ่และท่าทีองอาจน่าเกรงขาม ใบหน้าหล่อเหลาคมคายแต่กลับเรียบเฉยเย็นชา ดวงตาคมกริบดุจเหยี่ยวมองตรงไปข้างหน้า ไม่สนใจสายตาของผู้ใดที่มองมา บรรยากาศรอบกายแผ่ไอสังหารจางๆ สมกับเป็นคนที่เติบโตมาในค่ายทหารและสนามรบ
เซียวจิ้งเหยียนเดินตรงไปยังศาลากลางน้ำ และหยุดยืนอยู่ที่มุมหนึ่งตามลำพัง สายตาของเขาเหลือบมองมู่หรงเจวี๋ยแวบหนึ่งอย่างเย็นชา ก่อนจะกวาดตามองไปรอบบริเวณและหยุดลงที่หลี่ซูเหยาชั่วครู่หนึ่ง
ดวงตาของทั้งสองสบกันเพียงเสี้ยววินาที แต่หลี่ซูเหยากลับรู้สึกราวกับถูกกระบี่คมกริบจ่อที่ลำคอ ขนอ่อนลุกชันไปทั้งร่าง ลมหายใจเกิดติดขัดอย่างไม่อาจควบคุม
นางรีบหลบสายตาลงต่ำ สองมือยังคงกำแน่นด้วยความเกร็ง นางรู้สึกได้ว่าบุรุษผู้นี้อันตรายมากเพียงใด
ไป๋เยว่ซินเห็นว่าหลี่ซูเหยาไม่สนใจมู่หรงเจวี๋ยดังที่คาดไว้ ก็เริ่มรู้สึกกระวนกระวาย นางจึงเริ่มแผนการของตนเอง โดยการเดินเฉิดฉายไปรอบศาลา อวดปิ่นหยกบนเรือนผมให้ทุกคนได้เห็น
ซึ่งนั่นก็ได้ผลเป็นอย่างดี บรรดาคุณหนูหลายคนต่างก็เข้ามารุมล้อมนางด้วยท่าทีสนใจและอิจฉาไปในตัว
“คุณหนูไป๋ ปิ่นหยกของเจ้าช่างงดงามยิ่งนัก” คุณหนูจากตระกูลจางเอ่ยขึ้น “หยกเนื้อดีเช่นนี้ คงมีราคาสูงลิ่วเป็นแน่”
“ปิ่นหยกนี่เป็นของขวัญจากสหายรักของข้าน่ะ” ไป๋เยว่ซินยกมือขึ้นลูบปิ่นอย่างจงใจ และตอบกลับด้วยความภาคภูมิใจอย่างยิ่ง
นางปรายตาไปทางหลี่ซูเหยาพร้อมกับรอยยิ้มหวานอย่างสมใจที่เวลานี้ นางเป็นจุดสนใจเพียงหนึ่งเดียวในสถานที่อันเอิกเกริกเช่นนี้
หลี่ซูเหยาเห็นว่าถึงเวลาแล้ว นางจึงขยับเข้าไปใกล้กลุ่มคุณหนูเหล่านั้นอย่างแนบเนียน พร้อมกับส่งสัญญาณให้ชุนหลันที่ยืนรออยู่ไม่ไกล
ในขณะที่ไป๋เยว่ซินกำลังเพลิดเพลินกับคำเยินยออยู่นั้นเอง คุณหนูรองตระกูลหวังที่ค่อนข้างซุ่มซ่ามคนหนึ่งก็บังเอิญเดินสะดุดชายกระโปรงของตนเองแล้วเซถลาเข้ามาทางด้านหลังของไป๋เยว่ซิน
“ว้าย”
เสียงอุทานดังขึ้นพร้อมกับร่างของคุณหนูหวังที่ชนเข้ากับแผ่นหลังของไป๋เยว่ซินพอดิบพอดี
ไป๋เยว่ซินที่ไม่ได้ตั้งตัวถึงกับเสียหลักโอนเอนไปข้างหน้าตรงบริเวณริมระเบียงศาลา ตามสัญชาตญาณของคนที่หวงแหนของมีค่า มือของนางแทนที่จะพยายามคว้าจับราวระเบียงเพื่อทรงตัว กลับยกขึ้นไปกุมปิ่นหยกบนศีรษะของตนเองไว้แน่น
การกระทำนั้นทำให้นางเสียสมดุลอย่างสิ้นเชิง ปิ่นหยกผีเสื้อเจ้ากรรมถูกแรงกระแทกจนหลุดออกจากมวยผม มันลอยคว้างกลางอากาศแล้วกำลังจะร่วงหล่นลงสู่สระน้ำเบื้องล่าง
“ปิ่นของข้า” ไป๋เยว่ซินกรีดร้องอย่างลืมตัว ด้วยความเสียดายและตื่นตระหนก นางทิ้งสติทั้งหมดแล้วพุ่งตัวไปข้างหน้าหมายจะคว้าปิ่นอันล้ำค่านั้นกลับคืนมา
“ตูม...”
ร่างของไป๋เยว่ซินร่วงหล่นจากศาลาลงไปในสระอย่างรวดเร็วต่อหน้าต่อตาทุกคน
เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นเร็วมากจนไม่มีใครตั้งตัวทัน เสียงกรีดร้องด้วยความตกใจดังระงมไปทั่วบริเวณ แต่เสียงที่ดังและฟังดูสิ้นหวังที่สุดกลับเป็นเสียงของหลี่ซูเหยา
“เยว่ซิน...”
หลี่ซูเหยาถลาเข้าไปที่ริมระเบียง ใบหน้าขาวซีดเผือด ดวงตาเบิกกว้างเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกขวัญเสีย
“ช่วยด้วย...ใครก็ได้ช่วยเยว่ซินด้วย นาง...นางว่ายน้ำไม่เป็นง”
เสียงร้องของนางเรียกสติทุกคนกลับมา เหล่าทหารองครักษ์รีบกระโดดลงน้ำเพื่อไปช่วยไป๋เยว่ซินขึ้นมา
มู่หรงเจวี๋ยมีสีหน้าตกใจระคนรังเกียจ เขาไม่คาดคิดว่าจะเกิดเรื่องน่าอับอายเช่นนี้ขึ้นในงานเลี้ยง
ท่ามกลางความโกลาหลนั้น มีเพียงเซียวจิ้งเหยียนที่ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เขามองภาพเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยแววตาเรียบเฉย แต่สายตาคมกริบคู่นั้นไม่ได้จับจ้องอยู่ที่ไป๋เยว่ซินที่กำลังตะเกียกตะกายในน้ำ หากแต่จับจ้องอยู่ที่ใบหน้าอันแตกตื่นของหลี่ซูเหยาแทน
เขาสังเกตเห็น...เสี้ยววินาทีที่นางหันหลังให้ผู้คน แววตาที่ควรจะเต็มไปด้วยความหวาดกลัว กลับฉายแววแห่งความเย็นชาและสมใจออกมาวูบหนึ่งก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็ว
ไม่นานนัก ทหารก็ลากร่างที่เปียกปอนของไป๋เยว่ซินขึ้นมาได้ สภาพของนางในยามนี้น่าสมเพชอย่างที่สุด อาภรณ์งดงามแนบเนื้อจนดูอุจาด ผมเผ้ายุ่งเหยิง เครื่องประทินโฉมไหลเยิ้มปะปนกับน้ำตาและความอัปยศอดสู
นางสูญเสียท่วงท่าคุณหนูผู้สูงศักดิ์ไปจนหมดสิ้น และที่เลวร้ายที่สุด...ปิ่นหยกอันล้ำค่าได้จมหายไปในน้ำแล้ว
หลี่ซูเหยารีบถอดผ้าคลุมไหล่ของตนเองออกแล้ววิ่งเข้าไปคลุมร่างสั่นเทาของสหายรักทันที
“เยว่ซิน เจ้าไม่เป็นไรนะ ข้าเป็นห่วงแทบแย่ ข้าบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าเข้าใกล้ริมน้ำ เป็นความผิดของข้าเองที่ดูแลเจ้าไม่ดี”
นางกล่าวโทษตัวเองเสียงดังฟังชัดต่อหน้าทุกคน การกระทำที่เปี่ยมด้วยความห่วงใยและมิตรภาพอันสูงส่งนี้ทำให้ทุกคนที่ได้ยินต่างพากันชื่นชมในความดีงามของคุณหนูตระกูลหลี่ และมองไปยังไป๋เยว่ซินด้วยสายตาสมเพชระคนดูแคลน ที่ทั้งซุ่มซ่ามและยังโลภจนไม่ห่วงชีวิตตัวเอง
“ซูเหยารีบพาข้ากลับที” ไป๋เยว่ซินสะอึกสะอื้นออกมาราวกับคนที่กำลังสติแตก สองมือกอบกุมชายเสื้อที่เปียกชุ่มด้วยความอับอาย
หลี่ซูเหยาประคองร่างอันน่าสมเพชของไป๋เยว่ซินเดินจากไป ท่ามกลางเสียงซุบซิบนินทาของฝูงชน
ฉากแรกของการเอาคืนได้ปิดม่านลงอย่างงดงาม...โดยที่นางยังคงเป็นคุณหนูผู้แสนดีและบอบบางในสายตาของทุกคน
มีเพียงสายตาคมกริบคู่หนึ่งของเซียวจิ้งเหยียนเท่านั้นที่มองตามแผ่นหลังของนางไป...พร้อมกับรอยยิ้มหยันที่มุมปากซึ่งไม่มีใครได้เห็น
‘สตรีตระกูลหลี่ผู้นี้...น่าสนใจกว่าที่คิดไว้มากนัก’
