ตอนที่ 5 ขายหน้า
ตอนที่ 5 ขายหน้า
รถม้าของตระกูลหลี่เคลื่อนตัวกลับสู่จวนอย่างเงียบเชียบ บรรยากาศภายในรถม้าแตกต่างจากขามาอย่างสิ้นเชิง หลี่ซูเหยานั่งนิ่งพิงพนัก ดวงตาทอดมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างไร้จุดหมาย ใบหน้ายังมีร่องรอยของความกังวลและความเห็นใจสหายรัก แต่ภายในใจของนางนั้นเยือกเย็นและสงบนิ่งดุจผืนน้ำในคืนเดือนดับ
ชุนหลันที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามลอบมองคุณหนูของตนเป็นระยะด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย นางรู้สึกชื่นชมที่คุณหนูมีจิตใจดีงามเป็นห่วงสหายถึงเพียงนี้ แต่ก็อดสงสารคุณหนูไป๋เยว่ซินไม่ได้ สภาพตอนถูกหามออกจากงานเลี้ยงนั้นช่างน่าเวทนาเหลือแสน
“คุณหนู...คุณหนูไป๋จะเป็นเช่นใดบ้างก็ไม่รู้นะเจ้าคะ” ชุนหลันเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ “เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ คงทำให้นางเสียหน้าไปอีกนาน”
หลี่ซูเหยาละสายตาจากทิวทัศน์ภายนอก หันมามองสาวใช้คนสนิทของตน แววตาของนางในยามนี้ปราศจากความเสแสร้งใดๆ
“ชุนหลัน เจ้าจงจำไว้ ในเมืองหลวงแห่งนี้...เกียรติยศและชื่อเสียงสำคัญกว่าชีวิตเสียอีก วันนี้นางไม่ได้เสียชีวิต แต่ได้สูญเสียในสิ่งที่นางหวงแหนยิ่งกว่าชีวิตไปต่างหาก”
น้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงไปด้วยความหมายลึกซึ้งนั้นทำให้ชุนหลันถึงกับขนลุกชัน นางรู้สึกว่าคุณหนูของนางนับวันยิ่งดูแปลกตาและลึกลับเกินกว่าที่นางจะเข้าใจได้
“บทเรียนในวันนี้ หวังว่านางจะจดจำมันไปจนวันตาย” หลี่ซูเหยากล่าวปิดท้ายเบาๆ ก่อนจะกลับไปนิ่งเงียบอีกครั้ง ทิ้งให้ชุนหลันนั่งครุ่นคิดถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ในประโยคนั้น
เมื่อกลับถึงจวนตระกูลหลี่ ข่าวคราวเรื่องที่เกิดขึ้นในงานชมบุปผาก็แพร่สะพัดมาถึงก่อนแล้ว หลี่เจินอี้รีบออกมารอรับบุตรสาวด้วยตนเอง เมื่อเห็นใบหน้าซีดเซียวของหลี่ซูเหยา เขาก็รีบเข้าไปปลอบโยนทันที
“เหยาเอ๋อร์ พ่อได้ยินเรื่องทั้งหมดแล้ว เจ้าเป็นอะไรหรือไม่ แล้วคุณหนูไป๋...เฮ้อ...เจ้าทำดีที่สุดแล้ว”
หลี่ซูเหยาสวมบทบาทบุตรสาวผู้ตื่นตระหนกได้อย่างแนบเนียน นางสวมกอดบิดาและพยักหน้าเบาๆ
“ท่านพ่อ ลูกไม่เป็นอันใด เพียงแต่ลูกกลัวเหลือเกิน...กลัวว่าเยว่ซินจะเป็นอะไรไป ตอนนี้นางกลับจวนแล้ว ลูกคงต้องหาเวลาไปเยี่ยมนางและอยู่เป็นเพื่อนนางให้มากสักหน่อย”
“ตามใจเจ้าเถอะ วันนี้เจ้าเหนื่อยมากแล้ว รีบเข้าไปพักผ่อนเถิด”
คำพูดและการกระทำของบุตรสาวยิ่งทำให้หลี่เจินอี้คลายความกังวลไปได้มาก โดยไม่รู้เลยว่าภายใต้ท่าทีของลูกแกะผู้หวาดกลัวนั้น คือหัวใจของพยัคฆ์ร้ายที่กำลังลิ้มรสเลือดของเหยื่อคำแรกอย่างพึงพอใจ
ในเวลาเดียวกัน บรรยากาศภายในจวนตระกูลไป๋กลับแตกต่างราวฟ้ากับเหว
“เพล้งงงง....”
เสียงถ้วยชากระเบื้องชั้นดีถูกขว้างลงบนพื้นจนแตกกระจาย ไป๋เยว่ซินนั่งตัวสั่นเทาอยู่บนตั่ง ผมเผ้าที่เคยงดงามบัดนี้เปียกชื้นลู่ไปกับใบหน้า ดวงตาแดงก่ำจ้องมองบิดาและมารดาของตนด้วยความเคียดแค้น
“น่าขายหน้า...น่าขายหน้าที่สุด” ไป๋ซูหนิง มารดาของไป๋เยว่ซินชี้นิ้วด่าทอบุตรสาวของตนไม่หยุด “เจ้าทำเรื่องน่าอับอายเช่นนี้ได้เช่นใด...ต่อหน้าท่านอ๋องหรงเจวี๋ย...ต่อหน้าคุณหนูคุณชายทั่วทั้งเมืองหลวง ต่อไปใครเขาจะอยากได้เจ้าไปเป็นสะใภ้”
ไป๋จูเหยียน บิดาของไป๋เยว่ซิน ผู้เป็นเพียงขุนนางขั้นสี่ มีสีหน้าเคร่งเครียด “ข้าบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่าให้สำรวมกิริยา...แล้วนี่อะไรกัน แค่ปิ่นหยกอันเดียวถึงกับต้องกระโจนตามลงไปในน้ำราวกับคนเสียสติ เจ้าทำให้ตระกูลไป๋ต้องกลายเป็นตัวตลกของคนทั้งเมือง”
“ท่านพ่อ...ท่านแม่...ข้า...ข้าไม่ได้ต้องการให้เป็นแบบนี้” ไป๋เยว่ซินโอดครวญด้วยความเจ็บช้ำ ภาพลักษณ์และชื่อเสียงของนางป่นปี้จนไม่มีหน้าไปพบใครอีกแล้ว
“เจ้ายังจะมาร้องไห้คร่ำครวญอยู่อีก แล้วต่อไปพวกข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน” ไป๋ซูหนิงยังคงก่นด่าไม่หยุด
นางจ้องมองบุตรสาวด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง ตระกูลไป๋เดิมที่ก็ต้องพึ่งพาคนอื่นอยู่แล้ว กว่าที่นางจะพยายามอย่างหนักเพื่อเป็นที่ยอมรับของเหล่าฮูหยินจวนต่างๆ ก็ยากเย็นแสนเข็ญ ตอนนี้บุตรสาวยังมาทำตัวน่าขายหน้าแบบนี้ ต่อไปนางเข้าร่วมสังคมเช่นใด
“แต่นั่นไม่ใช่ความผิดของข้า” ไป๋เยว่ซินกรีดร้องออกมาอย่างไม่อาจทนได้อีกต่อไป “เป็นนาง...เป็นหลี่ซูเหยา มันวางแผนทั้งหมด มันจงใจให้ปิ่นข้าเพื่อหลอกล่อข้า มันต้องอยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดแน่ๆ”
“เพี๊ยะ...” ไป๋ซูหนิงตบหน้าบุตรสาวของตนฉาดใหญ่ “ยังจะกล้ากล่าวร้ายคุณหนูหลี่อีกหรือ ทุกคนในงานเห็นกันทั้งนั้นว่านางเป็นห่วงเจ้าเพียงใด นางถึงกับถอดผ้าคลุมของตนเองให้เจ้าทั้งที่อากาศก็เริ่มเย็นแล้ว นางกล่าวโทษตัวเองว่าเป็นเพราะดูแลเจ้าไม่ดีพอ คนจิตใจดีงามเช่นนั้นน่ะหรือจะวางแผนทำร้ายเจ้า เจ้ามันโง่เขลาแล้วยังจะพาลอีก”
คำพูดของมารดาเปรียบเสมือนน้ำกรดที่สาดซัดลงกลางใจของไป๋เยว่ซิน นางพูดความจริง แต่กลับไม่มีใครเชื่อ ภาพของหลี่ซูเหยาที่แสร้งทำเป็นห่วงใย วิ่งเข้ามาสวมกอดนางด้วยใบหน้าซีดเผือด...การแสดงอันสมบูรณ์แบบนั้นหลอกทุกคนได้สนิท
“ข้าเกลียดมัน ข้าเกลียดนังสารเลวหลี่ซูเหยา” ไป๋เยว่ซินกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง น้ำตาแห่งความอัปยศและความแค้นไหลทะลักออกมาไม่ขาดสาย
ในวันนี้ นางได้เรียนรู้แล้วว่าความเกลียดชังที่แท้จริงนั้นเป็นเช่นใด มันแผดเผาอยู่ในอก ร้อนแรงยิ่งกว่าไฟใดๆ
‘หลี่ซูเหยา...ข้าจะให้เจ้า...อยู่มิสู้ตาย’
หลายวันต่อมา ข่าวลือเรื่อง “คุณหนูไป๋ผู้ละโมบ” และ “คุณหนูหลี่ผู้มีคุณธรรม” ก็กลายเป็นหัวข้อสนทนาอันดับหนึ่งในวงสังคมของเมืองหลวง ชื่อเสียงของไป๋เยว่ซินป่นปี้จนแทบไม่เหลือชิ้นดี ในขณะที่ชื่อเสียงของหลี่ซูเหยากลับขจรขจายไปในทางที่ดีงามยิ่งขึ้น
วันนี้หลี่ซูเหยาตั้งใจจะออกไปข้างนอก เพื่อไปยังร้านตำราที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง นางต้องการหาตำราเกี่ยวกับประวัติศาสตร์การทหารและการวางกลยุทธ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่นางไม่เคยสนใจมาก่อนในชาติที่แล้ว แต่นางรู้ดีว่าการจะเอาชนะศัตรูได้นั้น จำเป็นต้องรู้เขารู้เรา การเมืองในราชสำนักก็ไม่ต่างอะไรกับสนามรบ
ขณะที่นางกำลังเลือกดูตำราอยู่บนชั้นสองของร้านอย่างเงียบๆ นั้นเอง เสียงฝีเท้าหนักแต่สม่ำเสมอก็ดังจากบันไดขึ้นมา ก่อนที่ร่างสูงใหญ่ในอาภรณ์สีเข้มจะปรากฏตัวขึ้น...เซียวจิ้งเหยียน
