ตอนที่ 3 ปิ่นหยก
ตอนที่ 3 ปิ่นหยก
ไป๋เยว่ซินจ้องมองปิ่นหยกตาไม่กะพริบ ดวงตาของเบิกกว้างด้วยความโลภและความตื่นเต้น นางไม่คิดว่าหลี่ซูเหยาจะโง่ถึงขนาดยอมมอบของล้ำค่าเช่นนี้ให้นางง่ายๆ
“ซูเหยา นี่มัน...ของสำคัญของเจ้านะ ข้ารับไว้ไม่ได้หรอก” นางแสร้งปฏิเสธ ทั้งที่มือเอื้อมมารับแทบจะทันที
“รับไปเถอะน่า” หลี่ซูเหยายัดปิ่นใส่มือของไป๋เยว่ซิน “ถือว่าเป็นของขวัญจากข้า แล้ววันงาน...เราไปที่สะพานตรงกลางตลาดแทนดีกว่า ตรงนั้นปลอดภัยกว่าเยอะ มีไม้คั่นล้อมรอบอย่างดี ต่อให้ใครอยากจะผลักใครตกน้ำก็ทำไม่ได้หรอก...จริงไหม”
หลี่ซูเหยาพูดพลางหัวเราะใสซื่อ แต่คำพูดประโยคสุดท้ายนั้นทำเอาหัวใจของไป๋เยว่ซินกระตุกวูบไปชั่วขณะ นางมองลึกเข้าไปในดวงตาของหลี่ซูเหยา พยายามค้นหาความนัยที่ซ่อนอยู่ แต่ก็พบเพียงแววตาที่ใสกระจ่างเหมือนเช่นเคย
‘คงจะคิดมากไปเอง...คนโง่อย่างหลี่ซูเหยาก็ยังเป็นคนโง่คนเดิมนั่นแหละ’
ไป๋เยว่ซินเก็บปิ่นหยกลงในแขนเสื้ออย่างรวดเร็ว พลางตอบตกลง “ก็ได้ ข้าตามใจเจ้าเลย พวกเราไปที่สะพานตรงกลางตลาดก็ได้”
หลังจากพูดคุยกันอีกเล็กน้อย ไป๋เยว่ซินก็ขอตัวลากลับไป หลี่ซูเหยาเดินไปส่งนางถึงด้านหน้าจวน ดวงตาจ้องมองตามแผ่นหลังของสหายรักที่เดินจากไปจนลับสายตา
รอยยิ้มอ่อนหวานบนใบหน้าก็ค่อยๆ หายไป แต่ถูกแทนที่ด้วยแววตาที่เย็นชาและเยือกเย็น
‘ไป๋เยว่ซิน...ปิ่นหยกนั่นน่ะ...คือเข็มเล่มแรกที่ข้าจะใช้ทิ่มแทงเจ้า’
หลี่ซูเหยากำลังจะหันหลังกลับเข้าจวน พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นรถม้าคันหนึ่งที่กำลังเคลื่อนผ่านด้านหน้าไปอย่างช้าๆ บนรถม้าประดับตราสัญลักษณ์รูปพยัคฆ์เหิน ซึ่งเป็นตราประจำตระกูลเซียว ตระกูลแม่ทัพใหญ่ที่เป็นคู่แข่งทางการเมืองกับตระกูลหลี่ของนางมาโดยตลอด
ม่านหน้าต่างรถม้าถูกลมพัดเปิดออกเล็กน้อย เผยให้เห็นใบหน้าด้านข้างของบุรุษผู้หนึ่งที่นั่งอยู่ภายใน
‘เซียวจิ้งเหยียน’
แม้จะเห็นเพียงเสี้ยวหน้า แต่ความทรงจำในชาติก่อนก็ฉายชัดขึ้นมาในหัวของนาง บุรุษผู้มีใบหน้าเย็นชาดุจน้ำแข็งคือศัตรูตัวฉกาจของนางและมู่หรงเจวี๋ย เขาคือคนที่คอยขัดขวางแผนการของมู่หรงเจวี๋ยทุกฝีก้าว และเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ตระกูลหลี่ต้องพบกับจุดจบ
ดวงตาของหลี่ซูเหยาหรี่ลง รอยยิ้มยกขึ้นอย่างมาดร้าย ในกระดานหมากแห่งการแก้แค้นของนาง ไม่ได้มีเพียงไป๋เยว่ซินและมู่หรงเจวี๋ย แต่ยังมีบุรุษผู้นี้อีกคนหนึ่งที่นางจะต้องรับมือด้วย...หรือบางที...อาจจะใช้ให้เป็นประโยชน์ได้เช่นกัน
สามวันผ่านไปราวกับสายลมพัด ในที่สุดวันงานชมบุปผาที่ริมแม่น้ำฉวี่เจียงก็มาถึง เมืองหลวงทั้งเมืองดูจะคึกคักเป็นพิเศษ บรรดาคุณหนูและคุณชายจากตระกูลสูงศักดิ์ต่างแต่งกายด้วยอาภรณ์งดงามล้ำค่า ทยอยเดินทางมายังริมแม่น้ำที่ประดับประดาไปด้วยโคมไฟหลากสีสัน
หลี่ซูเหยานั่งอยู่ในรถม้าของตระกูลหลี่อย่างสงบ นางสวมชุดสีเขียวหยกที่เลือกไว้ ขับให้ผิวขาวผ่องของนางดูราวกับกระเบื้องเคลือบเนื้อดี บนเรือนผมประดับเพียงปิ่นหยกขาวเรียบง่าย แต่กลับขับเน้นความงามอันบริสุทธิ์และสง่างามออกมาได้อย่างน่าประหลาด
ไม่นานนัก รถม้าของตระกูลไป๋ก็มาจอดเทียบ ไป๋เยว่ซินก้าวลงจากรถม้าด้วยรอยยิ้มที่พยายามจะให้สดใสที่สุด วันนี้นางตั้งใจแต่งกายอย่างเต็มที่ ชุดกระโปรงสีชมพูอมส้มปักลายดอกท้อสะดุดตา บนเรือนผมที่เกล้าอย่างประณีตนั้น มีปิ่นหยกแกะสลักรูปผีเสื้อที่หลี่ซูเหยามอบให้ปักเด่นเป็นสง่า มันงดงามจนคุณหนูตระกูลอื่นที่เดินผ่านไปมาต้องเหลียวมองด้วยความอิจฉา
“ซูเหยา วันนี้เจ้างดงามมาก” ไป๋เยว่ซินเอ่ยชม แต่ในใจกลับคิดว่าตนเองโดดเด่นกว่า “ปิ่นที่เจ้าให้ข้า...ทุกคนชมกันไม่หยุดเลย”
“ปิ่นงามย่อมต้องคู่ควรกับผู้สวมใส่” หลี่ซูเหยาตอบด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “ไปกันเถอะ ข้าได้ยินว่าดอกโบตั๋นตรงสะพานกลางน้ำบานสะพรั่งงดงามยิ่งนัก”
ทั้งสองเดินเคียงข้างกันเข้าไปในบริเวณงาน ดึงดูดสายตาของผู้คนได้ไม่น้อย คนหนึ่งงดงามบริสุทธิ์ดุจหยกขาว อีกคนงดงามสดใสราวกับบุปผาแรกแย้ม
ไป๋เยว่ซินรู้สึกปลาบปลื้มและพึงพอใจอย่างยิ่ง นางคอยชี้ชวนให้หลี่ซูเหยาดูคุณชายและคุณหนูจากตระกูลต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสายตาของนางเหลือบไปเห็นร่างสูงสง่าของมู่หรงเจวี๋ยที่กำลังยืนสนทนาอยู่กับเหล่าสหายขุนนางอยู่ที่ศาลากลางน้ำ
“ซูเหยา ดูนั่นสิ ท่านอ๋องหรงเจวี๋ย” ไป๋เยว่ซินกระซิบเสียงตื่นเต้น “เขารูปงามกว่าในข่าวลือเสียอีก”
หลี่ซูเหยามองตามสายตาของสหายไปยังบุรุษผู้นั้น...มู่หรงเจวี๋ย รัชทายาทในชาติก่อนของนาง เขายังคงดูสง่างาม อบอุ่น และเปี่ยมเสน่ห์เหมือนในความทรงจำ หากเป็นนางในชาติก่อน เพียงแค่ได้เห็นรอยยิ้มของเขา หัวใจก็คงเต้นระรัวจนแทบจะหลุดออกมาจากอก แต่ในยามนี้...หัวใจของนางกลับนิ่งสงบราวกับผืนน้ำไร้ระลอกคลื่น ในดวงตาฉายแววว่างเปล่าปราศจากความรู้สึกใดๆ
เมื่อพวกนางเดินเข้าไปใกล้ มู่หรงเจวี๋ยก็หันมาเห็นพอดี สายตาของเขาจับจ้องมาที่หลี่ซูเหยาเป็นคนแรก ความงามอันเรียบง่ายแต่สูงส่งของนางทำให้เขาประทับใจ แต่เมื่อเขาเห็นไป๋เยว่ซินที่ยืนอยู่ข้างๆ ซึ่งแต่งกายโดดเด่นกว่า เขาก็เพียงแค่พยักหน้าให้ตามมารยาทเท่านั้น
หลี่ซูเหยาและไป๋เยว่ซินย่อกายอย่างนอบน้อม “คำนับท่านอ๋อง”
“ตามสบายเถิด คุณหนูทั้งสอง” เขากล่าวพลางแย้มยิ้ม แต่สายตากลับจับจ้องอยู่ที่หลี่ซูเหยา “พวกเจ้าคงเป็นคุณหนูหลี่สินะ”
หากเป็นชาติก่อน หลี่ซูเหยาคงเขินอายจนหน้าแดง แต่ครั้งนี้นางเพียงแค่ยิ้มตอบอย่างเป็นธรรมชาติ
“ข้าน้อย...หลี่ซูเหยา” จากนั้นก็เบนสายตาไปชื่นชมดอกโบตั๋นในสระบัวทันที ราวกับว่าบุรุษรูปงามอันดับหนึ่งตรงหน้าไม่น่าสนใจไปกว่าดอกไม้เลยแม้แต่น้อย
ท่าทีเฉยเมยอย่างสุภาพของนางทำให้มู่หรงเจวี๋ยขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ ปกติแล้วสตรีที่พบเขาครั้งแรกมักจะแสดงท่าทีเขินอายหรือพยายามเรียกร้องความสนใจ แต่นางกลับไม่เป็นเช่นนั้น...ช่างน่าสนใจยิ่งนัก
