บทที่ 5: ราตรีอันแหลมคม
เสียงลมหายใจร้อนรุ่มของเขาอยู่ใกล้จนแทบกลืนลมหายใจของนาง ริมฝีปากนุ่มร้อนทาบทับลงมาบนกลีบปากอ่อนละมุนของซูเหยียนอย่างไม่ให้เวลานางได้คิดต่อต้าน
มือใหญ่ไล้จากแก้มนวลลงสู่ต้นคอขาวนวล จังหวะการเคลื่อนไหวเชื่องช้าแต่แน่วแน่
เขารู้ทุกจุดอ่อนของนาง—และนางก็รู้ว่าเขา...กำลังทำลายแนวต้านสุดท้ายที่นางพยายามรักษาไว้
“เหตุใด...ถึงยังมา?” เขาถามเสียงพร่า ยามริมฝีปากยังคลอเคลียซอกคอ
“ข้าไม่รู้...” นางตอบอย่างสั่นเทา
คำตอบนั้นไม่ใช่คำโกหก
ซูเหยียนไม่รู้จริง ๆ ว่าทำไมตนจึงยอมย่างก้าวมาที่นี่ ยอมให้เขาแตะต้องอีกครั้ง ยอมให้เขา...เข้าใกล้หัวใจของตนอีก
หรือเพราะ...ตนนั้นโหยหาสัมผัสจากเขามากกว่าที่คิด?
ยามนั้นร่างของนางถูกอุ้มขึ้นอย่างง่ายดาย ราวกับไม่มีน้ำหนักใดในโลกจะหนักไปกว่าความหลงใหลในใจของเขา
หลงเยี่ยนวางนางลงบนฟูกนุ่มตรงกลางตำหนัก ห้องเงียบจนได้ยินเพียงเสียงผ้าถูกดึงอย่างช้า ๆ
เนื้อผ้าบางหลุดจากบ่าขาวจนเผยให้เห็นผิวที่เคยเป็นของเขามาแล้วครั้งหนึ่ง... และกำลังจะเป็นอีกครั้ง
แสงเทียนริบหรี่สาดเงา揺ไหวบนผนัง
ทุกสัมผัสในคืนนั้นเหมือนบทเพลงช้า ๆ ที่บรรเลงด้วยปลายนิ้วแห่งไฟ
เขาไม่รีบร้อน...แต่กลับสร้างพายุอารมณ์ที่สั่นคลอนหัวใจนางยิ่งกว่าคืนแรก
ทุกจูบ...ทุกลมหายใจ...ทุกคำกระซิบข้างหูนั้น
ราวกับเขาไม่ได้ต้องการแค่กายของนางอีกต่อไป
แต่กลับอยาก...ครอบครองจิตใจที่ยังสั่นไหวของนางอย่างสมบูรณ์
ซูเหยียนสะบัดหน้าหนีเมื่อดวงตาเริ่มร้อนผ่าว
"อย่าทำแบบนี้กับข้า..." นางพึมพำเสียงสั่น "อย่าทำให้ข้ารู้สึก..."
“รู้สึก?” เขาย้ำคำ พร้อมหยุดมือที่กำลังจะรั้งเอวบางเข้ามาแนบอก
“รู้สึก...เหมือนข้าไม่ใช่คนที่เจ้าจะลืมได้ในพรุ่งนี้”
เขาหยุด
...แล้วก้มหน้าลงแนบหน้าผากของเขากับของนาง
"เจ้าคือคนที่ข้าจำได้ แม้กระทั่งตอนหลับ ข้ายังเรียกชื่อเจ้าในใจ ทั้งที่ไม่รู้ชื่อจริงของเจ้า"
ราตรีนั้น... มิใช่เพียงการปลดเปลื้องกาย
แต่มันคือการปลดเปลื้องเกราะในใจทั้งสองฝ่ายอย่างไม่มีใครตั้งใจ
เมื่อแสงตะวันแรกสาดผ่านม่านบาง นางยังนอนนิ่งในอ้อมกอดของเขา ใบหน้าซบอยู่ที่อกเปลือยเปล่าซึ่งอบอุ่นและมั่นคง
และเขา...ยังคงไม่หลับ
เพียงเฝ้ามองใบหน้าของนางในแสงเช้าอ่อน ๆ ราวกับกลัวว่าหากเผลอหลับตา นางจะหายไปอีกครั้ง
แต่แล้ว...
เสียงเคาะประตูดังขึ้น!
“องค์ชาย! มีเหตุสำคัญที่ฝ่ายหน้า—พระเชษฐาทรงมีพระบัญชาด่วนพ่ะย่ะค่ะ!”
องค์ชายหลงเยี่ยนขมวดคิ้วแน่น
เขาหันมองร่างบางที่นอนอยู่บนเตียง ก่อนลุกขึ้นคลุมกายด้วยเสื้อคลุมสีแดงเข้ม
“เจ้าอย่าขยับ...ข้าจะกลับมา ก่อนตะวันคล้อยลง” เขาโน้มตัวลงจูบหน้าผากนางเบา ๆ
“หากเจ้าไม่อยู่...ข้าจะถือว่าเจ้าหนี และครั้งต่อไป—ข้าจะไม่อ่อนโยนอีกแล้ว”
ทันทีที่เขาจากไป...ซูเหยียนลุกขึ้นอย่างร้อนรน
นางรู้ว่านี่คือเวลาที่ต้อง “หนี”
หัวใจของนางสั่น...แต่ไม่ใช่เพราะความรัก
มันคือความกลัว—ว่าหากอยู่ต่อนานกว่านี้ นางจะลืมไปว่ามาที่นี่เพื่ออะไรตั้งแต่ต้น
นางไม่อาจลืมเป้าหมายของตน...พี่สาวที่ตายอย่างไร้ศักดิ์ศรี ชีวิตของตระกูลที่พังพินาศ
แม้หัวใจจะอ่อนแรง...แต่สมองยังเตือนว่า
“เขาคือศัตรูในแผนของเจ้า!”
ซูเหยียนหนีออกจากตำหนักในยามเช้า
ลมหายใจร้อนผ่าวยังไม่ทันหายจากผิวกาย ก็ต้องถูกแทนที่ด้วยความหนาวเย็นของความจริง
นางเดินกลับเรือนของตน ฝืนกลั้นน้ำตา
แล้วเมื่อถึงเตียงบางในเรือนหลังเก่า
นางก็ปล่อยให้หยดน้ำตาไหลลงผืนหมอน...
“หลงเยี่ยน...เหตุใดเจ้าถึงไม่ใช่ผู้อื่น...”
???? ฉากย้อนอดีต: “เมื่อบุปผาแรกแย้มถูกเด็ดทิ้ง”
(เหตุการณ์เกิดขึ้น 2 ปีก่อน)
ลมหนาวพัดผ่านลานศิลาน้ำแข็งของตำหนักรองชายาอย่างเงียบงัน
ร่างของ ซูเมิ่งอวี้ ในอาภรณ์สีชมพูซีดนั่งนิ่งอยู่ข้างหน้าต่าง ดวงตาคู่งามหม่นเศร้าราวกับไร้วิญญาณ
ครั้งหนึ่ง...นางเคยเป็นหญิงสาวผู้เปล่งประกาย
บุตรสาวคนโตของแม่ทัพใหญ่ “ซูอวิ๋น”
เฉลียวฉลาด มีมารยาท สมบูรณ์แบบในสายตาของขุนนางฝ่ายใน
เป็นที่หมายตาขององค์ชายหลายพระองค์—รวมถึง... “องค์ชายหลงเยี่ยน”
เขาเคยยิ้มให้
เขาเคยพานางไปชมสวนดอกท้อ
เขาเคยกระซิบว่าดวงตาของนาง...คล้ายดวงจันทร์เหนือผิวน้ำ
แต่ทั้งหมดนั้น...ก็แค่ ‘เคย’
ในคืนพระจันทร์เต็มดวงของปีนั้น
เขาดื่มสุราหนัก และถูกนำนางเข้าสู่ตำหนักด้วยคำสั่งของขันทีผู้ไม่เคยอธิบายอะไร
และในคืนนั้น...ไม่มีเสียงเพลง ไม่มีเทียนหอม มีเพียงเสียงร้องไห้เงียบ ๆ ของหญิงสาวผู้ไร้ทางขัดขืน
เขาอาจไม่รู้ว่าเป็นใคร
หรือตั้งใจจะไม่รู้
เพราะสำหรับเขา—นางอาจเป็นเพียงหญิงไร้นามอีกคนที่ผ่านเข้ามา
แต่สำหรับซูเมิ่งอวี้...
มันคือการพังทลายของความบริสุทธิ์ และความเชื่อมั่นในหัวใจ
นางไม่ได้ตายเพราะร่างกายอ่อนแอ
แต่นางตาย...เพราะหัวใจถูกเหยียบย่ำ
หนึ่งเดือนหลังจากคืนนั้น ซูเมิ่งอวี้ถูกส่งกลับตระกูลซูด้วยข้อหาลับว่า “ล่วงเกินองค์ชาย”
และในคืนหนึ่งที่ฝนตกหนัก...นางก็ปลิดชีพตนเองเงียบ ๆ โดยทิ้งจดหมายสั้นเพียงไม่กี่คำ
“ข้าไม่เสียใจที่รักเขา แต่ข้าเสียใจ...ที่เขาไม่รู้ว่าข้าเป็นใคร”
“ขออย่าให้เมฆหมอกใดบังแสงจันทร์ของน้องข้าอีกเลย...”
นั่นคือคืนที่ซูเหยียนสาบานต่อหน้าศพพี่สาว ว่า...
“หากข้ายังมีลมหายใจ ข้าจะไม่ยอมให้นามของซูเมิ่งอวี้หายไปกับสายฝน” “หากองค์ชายผู้นั้นยังหัวเราะในวัง ข้าจะทำให้เขาร้องไห้ในอ้อมแขนของข้า...!”