บทที่ 2: ไล่ล่าหัวใจใต้เงาจันทร์
เสียงฝีเท้าของนางเบาเสียยิ่งกว่าสายลม แต่กลับทิ้งไว้ซึ่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่ยั่วเย้าประสาทสัมผัสของเขาอย่างไม่รู้ลืม
องค์ชายหลงเยี่ยนลุกขึ้นจากเตียงนอนอย่างเชื่องช้า กล้ามเนื้อแน่นตึงของเขาขยับไหวใต้แสงจันทร์ ดวงตาคมลึกราวกับเหยี่ยวจ้องเหยื่อ พลันปรายลงมองผ้าผืนบางที่ตกอยู่ข้างหมอน...
ผืนผ้าสีชมพูอ่อนยังอวลกลิ่นดอกเหมยจาง ๆ ละมุนอยู่ปลายจมูก—เป็นกลิ่นเฉพาะตัวของนาง เป็นสิ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่จากราตรีอันเร่าร้อนซึ่งไม่ควรจะเกิดขึ้น แต่กลับกลายเป็นรอยจำฝังลึก
“หนีเก่งนักนะ... สตรีของข้า” เขาพึมพำพร้อมยกผ้านั้นแนบปลายจมูก
เขาไม่เคยถูกทิ้งไว้กลางดึกเช่นนี้มาก่อน และไม่เคยมีสตรีใดที่กล้า “หายตัวไป” จากอ้อมแขนเขาหลังคืนหฤหรรษ์ได้เช่นนั้น
ขณะเดียวกัน
ในตำหนักเล็กเรือนท้ายของเขตนางกำนัล ซูเหยียนทรุดกายลงบนพื้นเย็นผ่าว ร่างทั้งร่างยังเปียกชื้นจากเหงื่อ ผิวเนื้อยังอุ่นร้อนจากสัมผัสที่ติดตรึงอยู่ทั่วกาย
“บ้าไปแล้ว... ข้าทำอะไรลงไป...”
นางคร่ำครวญในใจ มือบางกำสาบผมแน่นจนสั่น นางควรจะดีใจ—ใช่—แผนการสำเร็จ นางทำให้เขาจดจำนางได้... แม้จะไม่มีชื่อหรือยศศักดิ์ใด ๆ
แต่หัวใจกลับเต้นแรงราวกับร่างนี้มิใช่ของนาง ความรู้สึกที่ชายผู้นั้นมอบให้ มัน...อันตรายเกินไป
ร่างบางค่อย ๆ ทิ้งตัวลงบนฟูกบาง น้ำตาหนึ่งหยดไหลลงสู่หมอน ก่อนที่นางจะหลับไปทั้งน้ำตา ทั้งรอยแดงตามร่างกายที่ยังเต้นเร่าเป็นประกายร้อนระอุ
รุ่งเช้า องค์ชายหลงเยี่ยนเรียกขันทีคนสนิท เว่ยจิ้น เข้ามาพบ
“ข้าต้องการหาสตรีคนหนึ่ง”
ขันทีเว่ยจิ้นเลิกคิ้วเล็กน้อย แต่ไม่กล้าซักไซ้
“ทรงมีพระบัญชาเพียงใดพ่ะย่ะค่ะ?”
“หากจำเป็น... ตรวจเรือนพักหญิงทั้งหมดในเขตตะวันออกของวังหลวง” เขาวางผ้าผืนนั้นลงเบา ๆ บนโต๊ะ “นางทิ้งสิ่งนี้ไว้ให้ข้า”
“...กลิ่นหอมจาง ๆ ของดอกเหมย ข้าจำได้ขึ้นใจ”
“รับสั่งองค์ชาย...” เว่ยจิ้นก้มหน้าลงต่ำ แต่ในใจแอบครั่นคร้าม คนที่องค์ชายหลงใหลถึงเพียงนี้คงมิใช่หญิงธรรมดา
วันนั้นทั้งวัน องค์ชายไม่เสด็จออกจากตำหนัก
แต่เบื้องหลังกลับมีเหล่าทหารในคราบขันทีไล่เก็บข้อมูลจากเรือนพักต่าง ๆ โดยไม่ให้เป็นที่สังเกต
ซูเหยียนพยายามหลบซ่อนตัวให้เนียนที่สุด นางเปลี่ยนกลิ่นผมหอม ใช้ผ้าปูที่นอนไหมกลิ่นสมุนไพรแปลก ๆ ที่หาได้จากโรงครัว และนาง...เงียบ
แต่หัวใจกลับโวยวาย
นางรู้ว่าเขาต้องหา และนางก็รู้ว่าตนเอง...ต้องการให้เขาหาเจอ
พลบค่ำมาเยือนอีกครั้ง ท้องฟ้าถูกแต่งแต้มด้วยแสงดาวกระพริบระยับ กลางลานพฤกษาหลวง องค์ชายหลงเยี่ยนเดินทอดน่องไปอย่างเงียบงัน
เขาหลับตา สูดอากาศ กลิ่นดอกเหมยจาง ๆ ในคืนก่อนลอยมาแตะปลายจมูกเป็นความรู้สึกลวง ๆ จนเขาหยุดเดิน
เสียงสายลม เสียงขลุ่ยเบา ๆ จากมุมหนึ่งของสวน... และเสียงผ้าไหมเสียดสีกันเบา ๆ ราวกับใครกำลังเดินอยู่ในความมืด
“หากเจ้าอยู่ที่นี่... จงปรากฏให้ข้าเห็นอีกครั้ง” เขาพึมพำ
ในมุมสวนหลังม่านไม้ไผ่ ซูเหยียนยืนอยู่ในเงามืด ใจเต้นโครมคราม
นางเผลอเดินมาโดยไม่รู้ตัว เผลอฟังเสียงขลุ่ยนั้น เผลอมองเงาร่างเขาใต้แสงจันทร์ และเผลอ...คิดถึงราตรีที่เปลือยเปล่าหัวใจของตนเองอย่างหมดเปลือก
“นี่ข้าบ้าไปแล้วจริง ๆ ใช่ไหม...”
เสียงหัวใจของนางก้องกังวาน ไม่ใช่เสียงใครอื่น
คืนนั้น องค์ชายกลับเข้าตำหนักด้วยใจที่เร่าร้อนกว่าทุกวัน เขาถอดเสื้อคลุมช้า ๆ แล้วเอนกายลงบนฟูกพร้อมกำผ้าผืนนั้นไว้แน่น
“ข้าจะหานางให้พบ...ไม่ว่านางจะเป็นใคร”
เขาหลับตา และราวกับภาพนั้นฉายซ้ำในหัว—ริมฝีปากนุ่มละมุน เสียงหอบหายใจพร่า ร่างขาวเนียนที่สั่นสะท้านยามเขากอดแนบอก...
เพลิงปรารถนาปะทุขึ้นอีกครั้งภายใต้เงามืดและเสียงลมหายใจที่หนักหน่วง
ณ ตำหนักเล็ก ซูเหยียนนอนเบิกตากว้าง นางไม่กล้าหลับ
หัวใจของนางเต้นเหมือนคนวิ่งไล่หนีตัวเอง และในสมองกลับมีแต่เสียงที่เขากระซิบในคืนนั้น
“เจ้าจะทิ้งข้าไปแบบนี้หรือ...” “เจ้าทำให้ข้าเป็นคนที่ไม่อาจลืมสัมผัสของเจ้าได้เลย”
นางเอื้อมมือแตะผิวเนื้อใต้ชุดนอนบางเบา สัมผัสยังอุ่น... และมันทำให้นางรู้ว่า
สิ่งที่เขาได้จากนาง ไม่ใช่เพียงร่างกาย... แต่มันคือบางสิ่งที่นางไม่เคยคิดว่าจะมอบให้ใคร
เช้าวันใหม่มาถึงพร้อมข่าวลือ
“องค์ชายหลงเยี่ยนกำลังหาสตรีปริศนา”
“เขาตามหากลิ่นเหมย?”
“เป็นสาวใช้หรือไม่?”
“หรือว่าเป็นนางในคณิกาลับ?”
เสียงลือกระจายไปทั่วแม้จะไม่มีใครกล้าพูดต่อหน้าทหารวัง ซูเหยียนได้ยินทั้งหมด และทุกคำก็กรีดลึกลงกลางใจ
“นี่เรากำลังเป็น...สตรีที่เขาไล่ล่าจริง ๆ แล้วหรือ”
นางไม่รู้จะหวาดหวั่นหรือวาบหวาม
เพียงรู้ว่า...ในค่ำคืนนี้ นางคงไม่อาจหลบตะวันได้ตลอดไป