ตอนที่ 4 พลเมืองดี
ตอนที่ 4 พลเมืองดี
"นายจะบอกว่าแค่ผ่านมาก็เลยช่วยน้องสาวฉัน เท่านั้นเองเหรอฉันว่ามันจะบังเอิญเกินไปหน่อยมั้ง" เสียงทุ้มของคิรากรดังขึ้นในห้องโถงภายในคฤหาสน์ใหญ่ ทายาทอันดับหนึ่งหันมามองหน้าผู้มีพระคุณที่ช่วยเหลือน้องสาวเขาเอาไว้อย่างไม่อยากเชื่อ
"ก็ประมาณนั้น อะ! นี่ของลูกน้องคุณ" ฟลินท์วางปืนสั้นกระบอกสีดำไว้บนโต๊ะ และเลื่อนมันไปตรงหน้าของคิรากรเพื่อคืนอาวุธคู่ใจของกิตติโชคให้กับเจ้านายของเขา
"จะว่าผมตั้งใจจะช่วยก็คงไม่ถูกต้องนักหรอก ความจริงแล้วผมกับไอ้กิตรู้จักกัน มันขอให้ผมช่วยคุณหนูของมันน่ะ" ฟลินท์บอกออกมาอย่างไม่สนใจ สายตาชายหนุ่มหันไปรอบด้านเหมือนไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรกับเรื่องนี้
"รู้จักกับไอ้กิต แต่มันจะไม่บังเอิญไปหน่อยเหรอที่นายจะมาเจอกับเหตุการณ์นี้อย่างพอดีน่ะ" คิ้วหนาขมวดขึ้นอย่างไม่ไว้ใจอยู่ดี คิรากรยังคงไม่หายสงสัย คนเป็นพี่ยังคงยิงคำถามที่แคลงใจออกมาไม่หยุด
"ไม่ทราบนะครับว่าบังเอิญไหม ปกติเลิกงานผมก็แวะกินข้าวต้มก่อนเข้าห้องทุกวัน แต่ก็ไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้นะ แต่พอวันนี้เจอไอ้กิตกับคุณหนูของมันและก็ซวยเลย ข้าวก็ยังไม่ทันจะได้กินสักคำ" ฟลินท์ส่ายศีรษะออกมาการช่วยเหลือคนแล้วยังมาโดนจับผิดอย่างนี้ คราวหลังเขาจะไม่ช่วยยังจะดีกว่า
"เอาล่ะ ผมก็ไม่อะไรนะ ไม่ได้อยากได้ความดีความชอบอะไรเลย ถือว่าเป็นความเสือกของผมเองละกัน ยังไงหมดธุระแล้วผมก็ขอตัวเลยละกัน อีกอย่างบอกตรง ๆ มันไม่มีเหตุจำเป็นเลยที่จะพาผมมาซักถามอะไรที่นี่ คุณอยากรู้อะไรก็ไปถามไอ้กิตมันเองก็ได้ ผมกลับละ"
ฟลินท์ลุกขึ้นยืนและทำท่าจะก้าวเดินออกไป ใบหน้าหล่อเหลาส่อแววอารมณ์เสียอย่างที่สุด คิรากรไม่ได้ห้ามอะไรเขานั่งไขว่ห้างกอดอกมองชายหนุ่มลูกครึ่งตรงหน้าเงียบ ๆ คิรากรถอนหายใจออกมาเบาก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
"ถามไม่ได้หรอกไอ้กิตมันตายแล้ว" ฟลินท์ชะงักเท้าที่กำลังก้าวออกมาหยุดอยู่กับที่ ร่างหนาค่อย ๆ หันกลับมามองช้า ๆ ใบหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง
"อะ… อะไรนะ" เสียงทุ้มเอ่ยถามอย่าตะกุกตะกัก
"ไอ้กิตมันตายแล้วน่ะสิ ฉันถึงได้ถามมันไม่ได้" คิรากรลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากับฟลินท์อีกครั้ง คิรากรมองใบหน้าที่ตกตะลึงของหนุ่มลูกครึ่งเงียบ ๆ ฟลินท์ตกใจเป็นอย่างมากแต่ก็พอจะเข้าใจได้ เพราะการโดนกระหน่ำยิงอย่างนั้น ถ้ารอดไปได้น่ะสิถึงจะแปลก
"เฮีย!! พอแล้วเขาแค่ผ่านมาจริง ๆ น้องกิ๊กเห็นเขาทำงานเป็นบาร์เทนเดอร์อยู่ที่ผับที่น้องกิ๊กไปนั่นแหละ และยังเห็นพี่กิตไปคุยด้วยอยู่ตั้งนาน เมื่อกี้นายบอกว่ายังไม่ได้กินข้าวใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นกินข้าวก่อนนะเดี๋ยวฉันให้แม่บ้านเตรียมให้" กนกวรรณที่นั่งฟังอยู่นานพูดขึ้นมาบ้าง ไม่ใช่ว่าเธอจะจำเขาไม่ได้ หน้าตาของชายหนุ่มตรงหน้าโดดเด่นเกินกว่าพนักงานในผับ และอีกอย่างเพื่อนเธอก็เล็ง ๆ ชายหนุ่มตรงหน้าเอาไว้อีกด้วย เธอจึงจำขึ้นมาได้
"ไม่เป็นไรหรอกครับ พรุ่งนี้ผมต้องไปทำงานอีก ต้องรีบนอนน่ะ" ฟลินท์โบกมือปฏิเสธออกไป เพราะนี่เขาก็เสียเวลามามากแล้ว
"อย่างน้อย ๆ ก็บอกชื่อนายก่อนสิ ฉันยังไม่ได้ขอบคุณนายเลย" เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มไม่ยอมอยู่รับประทานอาหารตามคำชวนของเธอแล้ว กนกวรรณจึงรีบเดินไปดักหน้า หญิงสาวเอ่ยถามชื่อของอีกฝ่ายเพราะอยากทำความรู้จักเอาไว้
"ผมชื่อฟลินท์ ฟลินท์ สมิท"
กนกวรรณมองตามร่างสูงที่เดินออกไปโดยที่ไม่สนใจอะไรเธออีก หลังจากบอกชื่อเสร็จเขาก็ไม่พูดอะไรออกมาอีก ร่างหนาเดินออกไปอย่างไม่สนใจ ไม่สนใจแม้กระทั่งจะถามถึงเรื่องการตายของกิตติโชคเลยสักนิด
กนกวรรณเดินกลับมานั่งลงที่เดิม หญิงสาวหันหน้าไปมองพี่ชายตนเองอย่างเสียใจ ข่าวการตายของบอดี้การ์ดที่อยู่ด้วยกันมานาน สร้างความรู้สึกเศร้าให้กับหญิงสาวเป็นอย่างมาก
"เฮีย...พี่กิตตายแล้ว… จริง ๆ เหรอ" กนกวรรณถามขึ้นมาเสียงเบาหวิว
"อืม..." คิรากรพยักหน้าตอบออกไป สีหน้าทายาทอันดับหนึ่งก็ดูแย่ไม่ต่างไปจากน้องสาวตนเองเท่าไรนัก
"ฝีมือใครเหรอเฮีย เฮียบุตรเหรอ" กนกวรรณถามขึ้นมาอีกครั้ง น้ำตาหญิงสาวไหลออกมาจากดวงตาคู่สวยเพราะความโศกเศร้า
"ไม่น่าใช่ เจ้าบุตรถึงมันจะนิสัยเสีย แต่มันรักหมวยเล็กมากที่สุด มันไม่มีทางทำร้ายหมวยเล็กหรอก เฮียคิดว่าคนที่มันเชื่อใจมากกว่า" คิรากรเชื่อว่าน้องชายคนกลางของเขา ถึงแม้จะไม่ใช่คนดี และไม่ใช่คนฉลาดเท่าไรนัก แต่สิ่งหนึ่งที่บุรินทร์จะไม่มีวันทำคือการทำร้ายน้องสาวคนเล็กคนนี้
"เฮียต้องให้ความช่วยเหลือครอบครัวของพี่กิตด้วยนะ อย่าให้เขาตายฟรีนะเฮีย" กนกวรรณเงยหน้าไปสั่งพี่ชายตนเองด้วยเสียงสั่นเครือ ถึงแม้จะรู้ว่าการเป็นบอดี้การ์ดให้กับคนในตระกูลสุนทรโวหารนั้นเสี่ยงอยู่แล้ว ทว่าการจากลาเช่นนี้ก็เกินกว่าที่หัวใจกนกวรรณจะรับไหวเสียแล้ว
"เฮียรู้แล้วหมวยเล็กไปพักเถอะ" คิรากรเอื้อมมือไปลูบศีรษะให้น้องสาวคนเล็กอย่างปลอบประโลม
"ค่ะ แต่ถึงยังไงเฮียก็ไม่ควรไปพูดอย่างนั้นกับฟลินท์เขานะคะ เฮียควรจะขอบคุณที่เขามาช่วยน้องกิ๊ก ไม่ใช่ไปตั้งคำถามเชิงสงสัยเขาแบบนั้น ฟลินท์ไม่น่าสงสัยหรอกค่ะ เพราะก่อนหน้านี้น้องกิ๊กเห็นกับตาว่าเขานั่งอยู่ในร้านข้าวต้มก่อนที่น้องกิ๊กจะเดินเข้าไปอีกค่ะ" คิรากรเอียงคอมองหน้าน้องสาวตนเอง
"อย่างนั้นเหรอ"
"ก็ใช่น่ะสิคะ ยังไงเฮียก็ควรจะไปขอโทษและขอบคุณเขาด้วยนะคะ" กนกวรรณขยับไปหอมแก้มพี่ชายตนเอง เมื่อเห็นว่าคิรากรพยักหน้าตกลงแล้ว
คิรากรมองตามเงาร่างของน้องสาวคนเล็กขึ้นไปยังห้องด้านบน ชายหนุ่มหลับตาลงช้า ๆ อย่างเหนื่อยล้าก่อนจะลุกขึ้นและเดินกลับไปห้องตนเองบ้าง
