บทที่ 7 รปภ.สุดเจ๋งเท่าที่เคยมี
นั่นไง หลังจากหลินจื่อเวยได้ยินก็โบกมือทันที แล้วพูดกับหัวหน้ารปภ.คนนั้นว่า “นายกลับบ้านได้เลย ต่อไปไม่ต้องมาอีก”
“ประธานหลิน!”
หัวหน้ารปภ.แทบจะร้องไห้
กว่าเขาจะได้ตำแหน่งหัวหน้ารปภ.มา ยังไม่ถึงสามวันเลย ดันถูกพนักงานใหม่เล่นงานจนถูกไล่ออก!
“เอ่อ งั้นผม...ต้องกลับบ้านด้วยใช่ไหมครับ?”
เย่เฉิงเฟิงเห็นหลินจื่อเวยคนนี้เข้มงวดมาก จึงรีบพูดขึ้น “ประธานหลิน อย่างน้อยก็ให้ผมทำสักสองสามเดือนเถอะครับ? ผมเพิ่งทำงานวันแรกเอง ถ้าคุณไล่ผมออก ผมต้องหิวตายอยู่ข้างถนนแน่ ๆ เลย”
เขาค่อนข้างกังวล ถ้าสูญเสียงานรปภ.นี้ไป ก็จะมีโอกาสเข้าใกล้หลินจื่อเวยได้ยากแล้ว
“เห็นว่านายมาทำงานวันแรกหรอกนะ จะไม่ถือสาเอาความ”
หลินจื่อเวยเหมือนจะใจอ่อน แล้วเปิดประตูเลื่อนเอง ก่อนจะหันตัวกลับไปที่บีเอ็มดับเบิลยู เอ็กซ์หก แล้วขับพรวดเข้าไปในลานจอดรถ
“แก แกคอยดูเถอะ!”
หลังจากหลินจื่อเวยไปแล้ว หัวหน้ารปภ.ก็สะบัดหมวกบนหัว มือชี้ไปที่เย่เฉิงเฟิง สายตาเผยความโหดเหี้ยม
“ทำไม คิดจะทำร้ายฉันเหรอ?”
เย่เฉิงเฟิงยิ้มเยาะ “ถ้าไม่ใช่เพราะนายมาถึงก็แสดงความเหนือกว่ากับฉัน สั่งให้ฉันไปเฝ้าประตู ก็คงไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้หรอก! มีประโยคหนึ่งว่าไงนะ? ถ้าไม่หาเรื่องใส่ตัวก็จะไม่เดือดร้อน”
“ได้! แกคอยดู”
หัวหน้ารปภ.กัดฟันกรอดพลางทิ้งคำขู่ไว้หนึ่งประโยค แล้วก้าวจากไปอย่างรวดเร็ว
แต่เย่เฉิงเฟิงไม่ใส่ใจเลยแม้แต่นิดเดียว
เนื่องจากได้บทเรียนจากความผิดพลาดครั้งก่อน เย่เฉิงเฟิงจึงให้ความสำคัญกับงานเฝ้าประตูขึ้นมานิดหน่อย
เขาถามเพื่อนร่วมงานผ่านวิทยุสื่อสารเกี่ยวกับรุ่นรถ ยี่ห้อรถและสีรถของบุคคลสำคัญทุกคนในบริษัทหลินซื่อให้แน่ชัด
ดังนั้นพอชั่วโมงเร่งด่วนของการเข้างานผ่านไป ก็ไม่เคยเกิดเหตุการณ์ที่ผู้บริหารระดับสูงในบริษัทถูกกั้นไว้ด้านนอกอีกเลย
แต่อาจจะเป็นเพราะเสน่ห์ดึงดูดของหลินจื่อเวยมีมากเกิน จึงมีเหล่าคุณชายตระกูลผู้ดีและทายาทเศรษฐีจำนวนมากหลั่งไหลเข้ามามากมาย
มาส่งดอกไม้บ้าง เอาของขวัญมาให้บ้าง ถึงขั้นมีคนฉลาดอ้างเหตุผลว่ามาเจรจาธุรกิจ เพื่ออยากจะเข้ามา
เกือบทุก ๆ สิบนาที จะมีรถหรูขับมา
แต่หลังจากที่เย่เฉิงเฟิงโทรไปสอบถามเลขาของหลินจื่อเวยแล้ว ก็ไม่ลังเลที่จะกั้นคนพวกนั้นไว้นอกประตู
มีอยู่หลายครั้ง ที่คุณชายในรถหรูคิดจะเข้ามาซัดเย่เฉิงเฟิง แล้วด่าเขาว่าไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง
แต่ด้วยความเด็ดเดี่ยวของเย่เฉิงเฟิง บรรดาผู้ที่ตามจีบหลินจื่อเวยก็เข้าประตูไปไม่ได้
อย่าว่าแต่รถหรูขับเข้าไปไม่ได้ แม้แต่คนเดินลงมาอยากเดินผ่านทางเล็ก ๆ ก็ถูกเย่เฉิงเฟิงขวางเอาไว้
“ประธานหลิน วันนี้รปภ.เฝ้าประตูคนใหม่ เหมือนจะมีประสิทธิภาพมากเลยค่ะ!”
เลขาของหลินจื่อเวย มองนาฬิกาบนข้อมือขาวผ่อง แล้วมองผ่านหน้าต่างไปที่เย่เฉิงเฟิงที่กำลังขวางรถหรูคันหนึ่งใต้ตึกสำนักงาน ก็พูดขึ้นขณะยิ้มตาหยี “ปกติช่วงเวลานี้ อย่างน้อยต้องมีคุณชายสิบคนมาก่อกวน วันนี้เยี่ยมเลย เข้ามาไม่ได้สักคน”
“อีกสักพัก จะเข้ามาได้กันหมด”
หลินจื่อเวยถอนหายใจ จะไม่เข้าใจได้อย่างไร นี่ก็แค่ความสุขชั่วคราวเท่านั้นแหละ?
อย่างไรแล้ว รปภ.เฝ้าประตูก็แค่พนักงานธรรมดา จุดจบของการล่วงเกินคุณชาย มักไม่ดีเท่าไร
จากประสบการณ์ที่ผ่านมาของเธอ ไม่น่าจะเกินสองสามวัน รปภ.เฝ้าประตูคนนั้นก็จะถูกสั่งสอน พอคราวหน้าคุณชายมาอีก ก็ไม่กล้าขวางแล้ว
“ไม่แน่นะคะ”
เลขาของหลินจื่อเวยดูไม่ค่อยเห็นด้วย “ก่อนเข้างาน ฉันแอบมองรปภ.คนใหม่ หน้าตาหล่อดีนะ หุ่นก็ดีด้วย บุคลิกยิ่งเยี่ยมเลย ให้ลุคแบบเทพบุตรชัด ๆ ไม่แน่นะคะ เขาอาจจะมาทำงานเพราะประธานหลินก็ได้ เลยต้องกำจัดศัตรูหัวใจทิ้งไปด้วยมาตรการที่เด็ดขาด!”
“เพ้อเจ้อ”
หลินจื่อเวยยิ้มพลางกลอกตาใส่เธอ แล้วเอ่ยตำหนิ “คุณชายที่ไหนจะยอมทำเรื่องแบบนั้นกัน? รปภ.เฝ้าประตูไม่ใช่งานสบาย ๆ ง่ายมากที่จะล่วงเกินคนอื่น”
“ประธานหลินสวยขนาดนี้ จะไม่มีสุดหล่อทำเพื่อคุณได้ยังไง? นี่เรียกว่ากลยุทธ์ทุกข์กาย!”
เลขายิ้มด้วยความอิจฉา “ฉันน่ะ ไม่เคยเจอผู้ชายแบบนี้เลย ไม่งั้นจะเสนอหน้าเข้าหาก่อนแน่ ๆ ถึงตายก็คุ้ม”
“เธอพอใจง่ายเกินไปหรือเปล่า?”
หลินจื่อเวยกล่าวหยอก “สิ่งมีชีวิตอย่างผู้ชายเนี่ย ก่อนจีบเธอติดก็เป็นแบบหนึ่ง หลังจีบเธอติดก็อาจจะเป็นอีกแบบหนึ่ง”
พูดจบ หลินจื่อเวยก็เดินไปที่ห้องแต่งตัว เปลี่ยนเป็นชุดกาวน์สีขาว แล้วเดินออกไปจากห้องทำงาน “ตามธรรมเนียมเดิมนะ มีเรื่องอะไรเธอก็จัดการไป ฉันจะไปห้องแล็บ ทำวิจัยต่อ”
“อืม ประธานหลินสู้ ๆ รอเซรุ่มยอดมนุษย์ของคุณออกสู่ตลาดอยู่น้า”
เลขากำหมัดแสนน่ารัก แล้วส่งกำลังใจให้นึ่งประโยค
แต่สายตานั้นยังคงมองร่างเย่เฉิงเฟิงที่เฝ้าประตูผ่านหน้าต่างอยู่ หน้าเปลี่ยนสีทันใด แอบคิดว่าประธานหลินพูดได้ถูกเผงเกินไปแล้ว วันแรกก็มีคนมาหาเรื่องเสียแล้ว
ขณะนี้เวลานี้ เย่เฉิงเฟิงไม่รู้เรื่องที่ถูกใครบางคนแอบมอง
ความสนใจของเขาอยู่ที่พวกนักเลงผมทองแปดคนตรงหน้าอย่างเต็มที่
“แก แกจองหองนักหรือไง!”
หัวหน้าแก๊งผมทองมองประเมินเย่เฉิงเฟิงตั้งแต่หัวจดเท้าอย่างลอยหน้าลอยตา แล้วตะโกนลั่น “แม้แต่รถของคุณชายเซียวของเรายังกล้าขวาง! เชื่อไหมว่าจะอัดให้พ่อแม่แกจำไม่ได้เลย?”
“พวกแกเนี่ยนะ?”
เย่เฉิงเฟิงยิ้มเยาะ
ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าเจ้าของรถคันไหนกันแน่คือคุณชายเซียวที่ถูกเขาขวางไม่ให้เข้า
แต่เผชิญกับการขู่และการแก้แค้นอย่างโจ่งแจ้งแบบนี้ เขาไม่เคยออมมือเลย
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เขาคือรปภ.ทางการของบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพหลินซื่อ ยังไม่ทันต่อสู้ก็ได้เปรียบเรื่องเหตุผลแล้ว
พูดอีกอย่างก็คือ ถึงแม้เขาจะอัดนักเลงกลุ่มนี้จนพ่อแม่จำไม่ได้ แต่ตราบใดที่ไม่เอาถึงตาย ก็จะไม่มีปัญหาใด ๆ เกิดขึ้นกับเขา
ในทางตรงกันข้าม ถ้าหลินจื่อเวยเป็นซีอีโอหญิงที่เข้มแข็งละก็ ยังสามารถใช้กฎหมายดำเนินคดีเอาผิดคุณชายเซียวกับนักเลงแปดคนนั้นได้ด้วย
เรื่องดี ๆ อย่างการทำร้ายคนแล้วไม่ต้องรับผิดชอบ เย่เฉิงเฟิงจะพลาดโอกาสได้อย่างไร
เย่เฉิงเฟิงจึงกวักมือยั่วยุอย่างดูถูก แล้วพูดขึ้น “คิดว่าทำผมทองแล้วเท่มากดิ? ถ้าอยากสู้ก็รีบ ๆ เข้ามาพร้อมกันซะ”
“เจ๋งนักเหรอ? พ่อแม่แกรู้หรือเปล่า?”
หัวหน้าแก๊งผมทองเปิดปากพูดอย่างประหลาดใจ แล้วส่งสัญญาณทางสายตา ลูกสมุนก็หยิบไม้เบสบอลมาจากรถบีวายดีสองคันข้าง ๆ แล้วล้อมรอบเย่เฉิงเฟิงเอาไว้
“ตีมันให้ตาย”
หัวหน้าแก๊งผมทองเอ่ยสั่ง ลูกสมุนเจ็ดคนก็กระหน่ำโบกไม้เบสบอลแล้วฟาดใส่เย่เฉิงเฟิงเต็มแรง ด้วยความโหดเหี้ยมผิดปกติ
พริบตาเดียว เลขาของหลินจื่อเวยที่อยู่ในห้องทำงานซีอีโอก็ตกใจจนหน้าซีดเผือด รีบเอามือปิดตาไม่กล้ามอง
แต่ความเป็นจริงล่ะ?
เป็นเย่เฉิงเฟิงที่ยื่นมือออกมาเร็วดุจสายฟ้า ดึงนักเลงผมทองคนหนึ่งแบกไว้บนหลังแล้วก้มตัวลงต่ำ
“ปั้กๆๆๆ!”
“อ๊ากกก”
ไม้เบสบอลที่กระหน่ำลงมาดุจเม็ดฝน ฟาดใส่หลังนักเลงผมทองคนนั้นทั้งหมด ตีจนเขากรีดร้องดังระงม
ส่วนเย่เฉิงเฟิงที่อยู่ใต้ล่างเขา กลับไม่เป็นอะไรเลย
“ไอ้โง่เอ๊ย! ตีโดนพวกเดียวกันแล้ว!”
หัวหน้าแก๊งผมทองตะโกนด่าเสียงดังอยู่นอกวงล้อม ดูไม่พอใจอย่างยิ่ง
“ลุย! จัดการมัน!”
นักเลงผมทองหกคนจัดท่าใหม่ แล้วล้อมโจมตีเย่เฉิงเฟิงอีกรอบ
“จัดการน้องมึงสิ!”
เย่เฉิงเฟิงสลัดร่างนักเลงผมทองที่ถูกฟาดจนร้องไม่ออกทิ้งไป แล้วยกเท้าสลายการโจมตีของทั้งหกคน แล้วหมุนตัวถอยหลังต่อเนื่อง
ปั้กๆๆๆๆ!
โอ๊ยๆๆๆๆ!
ทั้งหกคนถูกเตะจนคว่ำอย่างแรง หน้ากระแทกพื้น ล้มลงจนมึนตึ้บ
และฟันที่ถูกเตะจนหักก็ร่วงเกลื่อนพื้น
