บทที่ 8 ช่วยฉันกำจัดก้นบุหรี่หน่อย
“ม...ไม่จริงน่า? สู้เก่งขนาดนี้เชียว!”
หัวหน้าแก๊งผมทองตกใจจนลูกตาแทบจะถลนออกมา มือเท้าอ่อนระทวยไปชั่วขณะหนึ่ง
ในเวลาเดียวกัน เลขาของหลินจื่อเวยที่อยู่ในห้องทำงานหลินจื่อเวยยังคงมองไปที่ประตูใหญ่ผ่านหน้าต่าง ก็ตกตะลึงตาค้างเช่นกัน
ยังมีหัวหน้ารปภ.ที่ดำเนินการเรื่องลาออกเสร็จพอดี กำลังลากกระเป๋าเดินทางเตรียมออกไปจากบริษัทหลินซื่อ ขณะนี้ก็ตกใจกับภาพเหตุการณ์ตรงหน้าจนเหม่อ ในใจปั่นป่วนราวกับมีคลื่นพายุโหมกระหน่ำ
ก่อนหน้านี้ เขายังวางแผนว่าหลังดำเนินการเรื่องลาออกเสร็จ จะเรียกพวกพ้องมาอัดเย่เฉิงเฟิงเพื่อระบายความโกรธสักยก
แต่ตอนนี้ เขากลับลังเลเสียแล้ว
ฝีมือเย่เฉิงเฟิงที่ชนะการต่อสู้ได้ไม่ถึงห้าวินาที ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวอย่างอธิบายไม่ถูก
“แก มานี่”
เย่เฉิงเฟิงจุดบุหรี่ขึ้นมาหนึ่งมวน แล้วกวักมือเรียกหัวหน้าแก๊งผมทอง
“อ...อาเฮีย”
หัวหน้าแก๊งผมทองกวาดตามองบรรดาลูกน้องที่ลุกไม่ขึ้น รู้สึกเพียงสองขาสั่นระริกอย่างรุนแรง
แต่ลูกเตะเดียว!
ไอ้หมอนั่นใช้แค่ลูกเตะเดียว ก็เตะลูกน้องเขาทั้งหกคนลุกไม่ขึ้น!
โหดเกินไปหรือเปล่า?
“มาเป็นเก้าอี้ให้ฉันหน่อย”
“ว่าไงนะ?”
“หมอบลง! มาเป็นเก้าอี้ให้ฉัน! ไม่งั้นจะอัดให้พ่อแม่แกจำไม่ได้!”
“……”
ภายใต้การข่มขู่ของเย่เฉิงเฟิง หัวหน้าแก๊งผมทองจะกล้าพูดว่า ‘ไม่’ ได้อย่างไร?
แทบจะในทันที หัวหน้าแก๊งผมทองก็ไม่สนแล้วว่าจะมีคนมุงดูอยู่รอบ ๆ ก็หมอบลงกับพื้นเหมือนสุนัข แล้วปล่อยให้เย่เฉิงเฟิงนั่งบนหลังเขา
เย่เฉิงเฟิงนั่งไขว่ห้าง แล้วพูดขึ้นตามอำเภอใจ “รู้ไหม ก่อนหน้านี้ฉันไม่รู้จักไอ้เวรคุณชายเซียวอะไรนั่น ไม่อยากรู้จักด้วย แต่ตอนนี้ฉันอยากรู้จักมันแล้ว แกเล่าให้ฉันฟังหน่อยว่ามันมีพื้นเพยังไง!”
“คุณชายเซียวก็คือ...ก็คือลูกชายของประธานบริษัทเซียวซื่อแห่งเมืองฮู่ ชื่อเซียวตงหมิงครับ”
“บริษัทหายสาบสูญ?”
“เซียว...เซียวซื่อ...ซื่อที่หมายถึงตระกูลครับ”
“งั้นฝากแกไปบอกไอ้คุณชายเซียวอะไรนั่นให้ฉันหน่อย”
เย่เฉิงเฟิงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงธรรมดา “พรุ่งนี้เวลานี้ เรียกมันมาขอโทษขอขมาฉันที่หน้าประตูใหญ่บริษัทหลินซื่อ! ไม่งั้นฉันจะให้บริษัทเซียวซื่อของมันกลายเป็นบริษัทหายสาบสูญซะ!”
“ข...เข้าใจแล้วครับ”
หัวหน้าแก๊งผมทองผิวเผินดูพินอบพิเทา ทว่าในใจกลับแอบก่นด่า
ที่เมืองฮู่แห่งนี้ มีกี่คนที่กล้าเรียกร้องให้คุณชายเซียวขอโทษ? กลัวไอ้หมอนี่จะรับไม่ไหวน่ะสิ!
“งั้นก็ขอบใจ ยื่นมือออกมา”
“อ...อาเฮียยังมีรับสั่งอะไรอีกเหรอครับ?”
“ช่วยฉันกำจัดก้นบุหรี่หน่อย”
เย่เฉิงเฟิงสูบบุหรี่เข้าเต็มปอด แล้วโยนก้นบุหรี่ที่เหลือใส่มือหัวหน้าแก๊งผมทองที่ยื่นออกมา พ่นควันออกเป็นวงกลมก่อนจะเดินกลับไปที่ห้องรักษาความปลอดภัย
“ได้ครับ”
หัวหน้าแก๊งผมทองเผลอพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว
แต่ไม่นานเขาก็รู้สึกว่าฝ่ามือรู้สึกร้อนลวก จึงรู้สึกผิดปกติ
เงยหน้าขึ้นมอง เมื่อเขาพบว่าที่ฝ่ามือมีก้นบุหรี่ลุกไหม้แดงโชติช่วงวางอยู่อย่างสงบ ก็ร้องโหยหวนว่า “แม่เจ้า” ทันที
ถึงกับตกใจจนเป็นลม
“ไอ้หมอนี่มันโหดจริง”
หัวหน้ารปภ.เห็นถึงตรงนี้ก็เผลอเก็บมือ กลัวว่าสักวันหนึ่งมือตัวเองจะโดนแบบหัวหน้าแก๊งผมทอง
เขาจึงหมุนตัวโดยไม่ลังเลแล้ววิ่งอย่างบ้าคลั่ง
ถึงกับหิ้วกระเป๋าเดินทางปีนกำแพงออกไปจากบริษัทหลินซื่อเลยทีเดียว ไม่กล้าเจอหน้าเย่เฉิงเฟิง!
ทุกการกระทำของหัวหน้ารปภ.นั้น ที่จริงเย่เฉิงเฟิงรับรู้ผ่านกระแสจิตได้ตั้งนานแล้ว เขาจึงส่องกระจกขนาดเล็กเท่าฝ่ามือที่มีเพียงใบเดียวบนกำแพงห้องรักษาความปลอดภัย แล้วพึมพำกับตัวเองอย่างอดไม่ได้ “ฉันน่ากลัวขนาดนี้เลยเหรอ?”
พวกนักเลงผมทองแปดคนนั้น มาไว ไปก็ไวเช่นกัน
เมื่อเลขาของหลินจื่อเวยเรียกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมาที่ประตูใหญ่ นอกจากฟันอาบเลือดสิบกว่าซี่ที่เหลืออยู่บนพื้น ก็ไม่มีอะไรอย่างอื่น
ไม่รู้ผ่านไปนานแค่ไหน จู่ ๆ เย่เฉิงเฟิงก็รู้สึกหิวนิดหน่อย
จึงมองนาฬิกาบนผนัง ปรากฏว่าสิบเอ็ดโมงครึ่งแล้ว
ในเวลานี้มีพนักงานส่งอาหารคนหนึ่ง ขับรถกระบะมาพอดี
บนรถกระบะ มีชั้นเหล็กสูง ๆ วางอยู่ บนชั้นเต็มไปด้วยอาหารเดลิเวอรี่หลายกล่อง
ยังไม่ทันเปิดกล่อง กลิ่นหอมก็โชยจมูกแล้ว
“หืม...หอมจังเลย!”
เย่เฉิงเฟิงไม่ได้เปิดประตูให้เขาในทันที แต่เข้าไปดูใกล้ ๆ แล้วหยิบอาหารเดลิเวอรี่กล่องหนึ่งที่มีตราประทับเลขศูนย์สามตัวบนฝาออกมา “กล่องนี้เท่าไร?”
“นาย...นั่นมันของ...”
“ฉันรู้มีศูนย์สามตัว มันราคาเท่าไรล่ะ!”
“ไม่ขาย! อยากกินต้องสั่งก่อน!”
“ได้! มีปัญญานายก็หอบอาหารแต่ละกล่องเข้าไป รถห้ามเข้า”
เย่เฉิงเฟิงหัวเราะร้ายกาจ ก่อนจะเปิดกล่องอาหารเรียบร้อย หาตะเกียบใช้แล้วทิ้งคู่หนึ่งมาจากบนรถกระบะ แล้วเริ่มกินอย่างตะกละตะกลาม
“น...นายทำแบบนี้ได้ยังไง!”
พนักงานส่งอาหารร้อนใจแล้ว
“เอาไป!”
เย่เฉิงเฟิงโยนแบงก์ร้อยหนึ่งใบใส่มือเขา “ฉันมาทำงานวันแรก ไม่รู้ว่าต้องไปสั่งอาหารที่ไหนนี่นา? กินส่วนที่คนอื่นสั่งไว้ไม่ถึงตายหรอก! เงินนี่นายเก็บไว้ครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งก็ไปชดเชยให้คนที่สั่งกล่องนี้!”
“ไม่ได้นะ!”
“แมนหรือเปล่าเนี่ย? พูดคำว่า ‘ไม่ได้’ ได้ยังไงกัน?”
เย่เฉิงเฟิงยังคงยิ้มเจ้าเล่ห์ หลังจากเดินเข้าไปในห้องรักษาความปลอดภัยก็เปิดประตูเลื่อนอัตโนมัติ โบกมือพลางพูดขึ้น “รีบไปซะ ไม่งั้นฉันจะปิดประตูไม่ให้เข้าแล้ว!”
“……”
เผชิญหน้ากับรปภ.ที่คล้ายโจรแต่ก็ไม่ใช่โจรคนนี้ พนักงานส่งอาหารก็อยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา
ตัวเลขบนกล่องอาหารนั้น ความจริงแล้วเป็นหมายเลขลำดับของผู้สั่งอาหารในบริษัทหลินซื่อ
000 หมายถึงหลินจื่อเวย ประธานหลิน!
ไอ้รปภ.ที่เหมือนโจรคนนี้ หยิบของใครไม่หยิบ ดันไปหยิบอาหารของหลินจื่อเวย!
ตอนนี้พนักงานส่งอาหารไม่รู้ว่าควรอธิบายกับหลินจื่อเวยอย่างไร
ที่ห้องทำงานซีอีโอ
หลินจื่อเวยถอดแมสก์ออก แล้วไปที่ห้องแต่งตัวเปลี่ยนเป็นสูทตัวเล็กที่ใส่ตอนเช้า จากนั้นก็ถามเลขาว่า “หิวจัง อาหารมาส่งหรือยัง?”
“มาแล้วค่ะมาแล้ว”
พนักงานส่งอาหารรีบปรากฏตัวขึ้น
ทว่าสิ่งที่ทำให้หลินจื่อเวยกับเลขาของเธอขมวดคิ้วอย่างพร้อมเพรียงก็คือ ที่มือพนักงานส่งอาหารกลับไม่มีอาหาร มีเพียงแบงก์ร้อยหนึ่งใบ
“ป...ประธานหลิน”
พนักงานส่งอาหารตัวสั่นขณะเอ่ยว่า “ขอประทานโทษจริง ๆ ครับ วันนี้อาหารของคุณ...ผม...ผม...”
“เกิดอะไรขึ้น?”
“ป...เป็นรปภ.เฝ้าประตูคนนั้น!”
พนักงานส่งอาหารรวบรวมความกล้า ชี้ไปที่ประตูใหญ่นอกหน้าต่าง “ข...เขาบังคับซื้ออาหารของคุณไป!”
ขณะพูด พนักงานส่งอาหารก็ยื่นแบงก์ร้อยให้อย่างกล้า ๆ กลัว ๆ “นี่เงินที่เขาชดเชยครับ”
“……”
พอพูดประโยคนี้ออกมา หลินจื่อเวยกับเลขาของเธอก็แทบจะมองไปนอกหน้าต่างโดยไม่รู้ตัว เห็นว่าตรงบันไดทางออกห้องรักษาความปลอดภัยด้านซ้ายมือประตูใหญ่ มีเงาหนึ่งที่ดูไม่น่าไว้ใจกำลังนั่งยอง ๆ กินอย่างตะกละตะกลาม
“ไอ้หมอนี่ ใจกล้านัก!”
เลขาของหลินจื่อเวย โบกสะบัดกำปั้นไม่หยุด “แม้แต่อาหารของประธานหลินก็ยังกล้าฉกไป”
“อาจจะเป็นเพราะทำงานวันแรก ไม่รู้ว่าต้องสั่งอาหารล่ะมั้ง คงไม่ได้จงใจหาเรื่องฉันหรอก”
หลินจื่อเวยยิ้มอ่อนโยน ไม่ได้โกรธด้วย แล้วพูดกับพนักงานส่งอาหารคนนั้นว่า “เงินร้อยหนึ่งนี่นายเก็บไว้เถอะ ต่อไปทุกวันก็ทำอาหารกลางวันเพิ่มมาหนึ่งส่วน แต่อย่าลืมให้เขาจ่ายเงินด้วย”
“ค...ครับ ประธานหลิน”
พนักงานส่งอาหารเหมือนยกภูเขาออกจากอก รีบออกมาอย่างไว
“เฮ้อ ไม่ใช่แล้วนะ ประธานหลิน เด็กนั่นกินอาหารของคุณไปนะคะ!”
เลขาของหลินจื่อเวยพลันกล่าวอย่างร้อนใจ “นี่ก็เที่ยงแล้ว เด็กนั่นกินอย่างเอร็ดอร่อย แต่คุณกลับหิว!”
“ไม่เป็นไร ฉันต้องกลับบ้านพอดี เดี๋ยวกินที่บ้าน”
หลินจื่อเวยโบกมือปัด แล้วหยิบกระเป๋าหลุยส์ วิตตองกับกุญแจรถเดินออกมาจากห้องทำงาน
ผ่านไปสักพัก บีเอ็มดับเบิลยู เอ็กซ์หกสีแดงสดคันหนึ่งก็บีบแตรใส่เย่เฉิงเฟิงที่กินข้าวอยู่จากที่ไกล ๆ
