บทย่อ
เมื่อสิบปีก่อน “เย่เฉิงเฟิง” คือคุณชายไร้ประโยชน์ของตระกูล ถูกสาวน้อยถอนหมั้นและถูกตระกูลเฉดหัวทิ้งอย่างไร้เยื่อใยจนต้องหนีหัวซุกหัวซุน วันหนึ่งได้รับมรดกบำเพ็ญเซียน สิบปีต่อมาเขากลายเป็นพลเอกแห่ง “มังกรแฝง” ผู้ผ่านศึกมานับไม่ถ้วน เพื่อแลกกับทรัพยากรในการฝึกฝน เขาได้รับภารกิจให้ไปปกป้องประธานสาวคนหนึ่ง ซึ่งเป็นเพื่อนซี้ของอดีตคู่หมั้นเขา! ภารกิจครั้งนี้เปิดประตูสู่ความลับที่เขาไม่เคยรู้มาก่อน ความจริงที่ซ่อนอยู่กำลังจะเปิดเผย…
บทนำ
“สิบปีแล้ว ไม่รู้ไอ้พวกน่ารำคาญนั่นเป็นยังไงกันบ้าง!”
นั่งอยู่บนเครื่องบินที่มุ่งหน้าไปประเทศหัวเซี่ย เย่เฉิงเฟิงมองทิวทัศน์งดงามนอกหน้าต่าง มุมปากเผลอยกยิ้มเจ้าเล่ห์บาง ๆ โดยไม่รู้ตัว
ยังจำได้ ตอนแรกที่ออกมาจากประเทศหัวเซี่ย เย่เฉิงเฟิงยังเป็นแค่เด็กหนุ่มวัยสิบห้าผู้ไร้เดียงสา
ปัจจุบันผ่านมาแล้วสิบปี เด็กหนุ่มในตอนนั้นเติบใหญ่แล้ว พลิกโฉมกลายเป็นหนุ่มแกร่งผู้เด็ดเดี่ยว
“คุณผู้ชาย ต้องการเครื่องดื่มอะไรไหมคะ?”
แอร์โฮสเตสสวยเซ็กซี่คนหนึ่ง ถามขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณครับ ไม่ต้องการ”
เย่เฉิงเฟิงตอบกลับด้วยรอยยิ้มเช่นกัน
“คุณผู้หญิงท่านนี้ล่ะคะ?”
แอร์โฮสเตสเคลื่อนสายตาไปยังคนข้างกายเย่เฉิงเฟิง
เป็นหญิงสาวสวมเดรสสั้นรัดรูปสีเทาเงิน
เธอมีเส้นผมสีไวน์แดงยาวสลวยคลุมไหล่ ดวงตาสดใสฟันขาวสะอาดเผยให้เห็นความงามอันน่าหลงใหล
โครงหน้าประณีตงดงาม กับหน้าอกหน้าใจอันโดดเด่น แสนเซ็กซี่ รวมถึงขาเรียวยาวสวยงาม ผสมผสานกันอย่างลงตัว งดงามดุจประทานจากสวรรค์ แค่เพียงสบตาก็ทำให้คนลืมไม่ลง
“สวยจังเลย”
แม้ว่าแอร์โฮสเตสคนนั้นจะรูปร่างหน้าตาดีมาก ก็ยังแอบรู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่า
สายตาเคลื่อนต่ำลง แอร์โฮสเตสเห็นถุงน่องสีดำกับรองเท้าบูตสีขาวยาวคลุมน่องบนขาสวยของหญิงสาวผู้นั้น ก็เกิดความคิดอยากสนิทสนมกับหญิงสาวผู้นั้นอย่างควบคุมไม่ได้
ขนาดผู้หญิงด้วยกันเห็นยังเป็นขนาดนี้ แล้วผู้ชายล่ะจะขนาดไหน?
“กาแฟบลูเมาน์เทน ไม่เติมน้ำตาล”
หญิงสาวผู้นั้น สายตาจับจ้องนิตยสารเล่มหนึ่งในมือ
เสียงไพเราะราวกับเสียงดนตรีจากสวรรค์ ทว่าเย็นยะเยือกผิดปกติ ทำให้รู้สึกเหมือนเจอกระแสลมหนาว หนาวยะเยือกจนตัวสั่นเทิ้ม
“กาแฟไม่เติมน้ำตาล จะขมมากนะครับ”
เย่เฉิงเฟิงอดเตือนไม่ได้
ตั้งแต่เขาขึ้นเครื่องมา ก็สังเกตเห็นสาวงามข้าง ๆ ที่เรียกได้ว่าสวยระดับหาตัวจับได้ยาก
แต่เดินทางมาเกินครึ่งทางแล้ว เขากลับไม่ได้ยินสาวสวยผู้นี้กล่าวสักประโยคเดียว และไม่มีโอกาสได้ทักทายเธอ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าตอนนี้จะมีโอกาส เย่เฉิงเฟิงก็ไม่ประสบความสำเร็จอยู่ดี
สาวสวยแสนเย็นชาผู้นั้น หลังจากได้กาแฟมาก็ไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย เพียงอ่านนิตยสารพลางดื่มกาแฟขมโดยไม่ขมวดคิ้วเลย
“ก็ได้ ที่แท้ก็เป็นสาวเย็นชาชอบดื่มกาแฟขม”
เย่เฉิงเฟิงยักไหล่ และไม่ได้ไร้มารยาทก่อกวนเธออีก
แม้ว่าสาวงามผู้นั้นจะน่าหลงใหล ทว่าเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง เขาไม่อยากใส่ใจคนที่ไม่เห็นค่าหรอกนะ
“เฮอะ สภาพซอมซ่อแบบนี้ ยังคิดจะจีบสาวสวยอีก”
ชายหนุ่มคนหนึ่งในชุดสูทสีน้ำตาลที่นั่งด้านหน้าเย่เฉิงเฟิงพึมพำเสียงเบามาก แต่เย่เฉิงเฟิงได้ยินชัดทุกถ้อยคำ
เย่เฉิงเฟิงกำลังจะระเบิดอารมณ์ แต่จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงตะโกนดังมาจากด้านหลัง “ทั้งหมดอย่าขยับ นี่คือการปล้น!”
เห็นเพียงชายสวมหน้ากากถือปืนพกขนาดเล็กจำนวนสิบสองคน วิ่งกรูเข้ามาจากท้ายเครื่องบินพร้อมไอสังหารเข้มข้น
ในหมู่พวกเขา มีคนหนึ่งกำลังลากตำรวจอากาศที่ศีรษะท่วมเลือดมาด้วย
วินาทีถัดมา ตำรวจอากาศที่บาดเจ็บถูกโยนลงพื้น ชายสวมหน้ากากสิบสองคนแบ่งหน้าที่กันอย่างเป็นระบบ โดยสี่คนเฝ้าประตูห้องโดยสาร อีกแปดคนที่เหลือพุ่งไปที่ห้องนักบิน เห็นได้ชัดว่าต้องการควบคุมผู้ที่อยู่ตำแหน่งกัปตันนักบิน
เหตุการณ์พลิกผันตรงหน้า ทำให้หลายคนตกใจหน้าซีดเผือด
แม้แต่สาวสวยเย็นชาข้างกายเย่เฉิงเฟิง ก็ยังมือสั่นน้อย ๆ ถึงกับทำกาแฟหก
ชายสูทน้ำตาลที่ว่าเย่เฉิงเฟิงว่าซอมซ่อเมื่อสักครู่อนาถเสียยิ่งกว่า ตัวสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง
แต่เย่เฉิงเฟิงในขณะนี้กลับสงบนิ่งไม่ตื่นตระหนก ราวกับทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่เกี่ยวกับเขาเลย
ผ่านไปครู่หนึ่ง มีชายสวมหน้ากากสี่คนเดินออกมาจากห้องนักบิน
หัวหน้าแก๊งไอ้โม่งร่างสูงหนึ่งในนั้น ยกปืนพกขนาดเล็กขึ้น พร้อมกวาดตามองทุกคนในห้องโดยสาร แล้วพูดภาษาหัวเซี่ยด้วยสำเนียงประเทศยามาโตะชัดเจน “เรามาจากลัทธิสัจธรรม ที่จี้ปล้นวันนี้เพื่ออยากเจรจากับรัฐบาลหัวเซี่ย ขอให้ปล่อยตัวสมาชิกระดับสูงของเรา ไม่เรียกร้องเงิน และไม่ต้องการทำร้ายใคร”

