บทที่ 2 บัตรนายทหารสุดเจ๋ง
แต่หัวหน้าแก๊งกลับขมวดคิ้ว ห้ามเอาไว้ แล้วหันไปมองเย่เฉิงเฟิง ก่อนถามเสียงเย็นยะเยือกว่า “นายเป็นใคร?”
น้ำหนักตัวและฝีมือของชายอ้วนเตี้ย เขารู้ดีแก่ใจ
แต่เย่เฉิงเฟิงอยู่ในสภาพนั่งใช้แรงได้ไม่ถนัด กลับถีบชายอ้วนเตี้ยกระเด็นออกไปไกลได้อย่างสบาย ๆ โดยที่ไม่มีโอกาสจะหลบหลีก
แรงปะทะระดับนี้ ความเร็วระดับนี้ ประชาชนธรรมดาทำไม่ได้หรอก
ต่อให้เป็นทหารธรรมดา แม้กระทั่งหน่วยรบพิเศษทั่วไป ก็ไม่มีทางทำได้
“ถามฉันเหรอ?”
เย่เฉิงเฟิงเหมือนไม่เห็นปากกระบอกปืนดำสนิทรอบตัวเลย ยิ้มตาหยีโน้มตัวเข้าไปหอมแก้มขาวเนียนของสาวสวยเย็นชาเบา ๆ ราวกับแมลงปอแตะผิวน้ำ
ขณะที่สาวสวยเย็นชาขมวดคิ้วไม่พอใจ แก้มแดงระเรื่ออยู่นั้น เขาก็ลูบเส้นผมสลวยนุ่มลื่นของเธอ ส่งกลิ่นหอมเย้ายวนออกมา เหมือนกำลังปลอบประโลม แต่ก็เหมือนเป็นการเตือนให้เธอร่วมมือกับตน
ทำทุกอย่างเสร็จสิ้น เย่เฉิงเฟิงก็กล่าวกับหัวหน้าแก๊งคนนั้นว่า “เห็นชัดหรือยัง? ฉันคือสามีของผู้หญิงคนนี้!”
“ฉันไม่ได้ถามว่านายเป็นอะไรกับเธอ!”
หัวหน้าแก๊งเกือบหายใจติดขัด อดไม่ได้ที่จะจ้องเขม็ง “ฉันถามว่านายมีสถานะอะไร! ทำอาชีพอะไร!”
“สามีของผู้หญิงคนนี้ไง!”
มุมปากเย่เฉิงเฟิงยกยิ้ม อดไม่ได้ที่จะกล่าวซ้ำ “สถานะกับอาชีพของฉัน ก็คือสามีของผู้หญิงคนนี้”
“……”
พอกล่าวประโยคนี้ออกมา สาวสวยผู้เย็นชากับผู้โดยสารรอบ ๆ ก็พูดไม่ออกกันหมดไม่รู้ว่าควรหัวเราะหรือร้องไห้ดี
นอกจากบอกว่าเย่เฉิงเฟิงกล้าหาญผิดมนุษย์แล้ว พวกเขายังพูดอะไรได้อีก?
“มัดมันไว้! ตัวประกันแรกที่ใช้ในการเจรจา เอามันนี่แหละ! ถ้าเจรจาไม่สำเร็จ ก็ฆ่ามันเป็นการตักเตือน”
ขณะนี้หัวหน้าแก๊งจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเย่เฉิงเฟิงหยอกเย้าเขาอยู่ชัด ๆ จึงกำหมัดแน่นจนเกิดเสียงกรอบแกรบ
“แน่ใจเหรอว่าจะทำแบบนี้?”
เย่เฉิงเฟิงหรี่ตาลงเล็กน้อย เสียงของเขาแฝงไปด้วยความเย็นยะเยือกหนาวสั่นไปถึงก้นบึ้งหัวใจ "เมื่อกี้พวกแกเปลี่ยนเส้นทางการบินตามใจชอบโดยไม่รับอนุญาตจากฉัน กระทบกับการเดินทางของฉัน ยังไม่ได้คิดบัญชีกับพวกแกเลยนะ"
“แกเนี่ยนะ?”
ชายอ้วนเตี้ยที่ถูกถีบก่อนหน้านี้ ทำหน้าเหยียดหยาม มองเย่เฉิงเฟิงเหมือนกับมองคนตายก็ไม่ปาน
ส่วนชายสวมหน้ากากคนอื่น ก็เหยียดหยามไม่แพ้กัน
พวกเขามีทั้งหมดเก้าคน ในมือมีปืนพกขนาดเล็กคนละกระบอก
มองย้อนไปที่เย่เฉิงเฟิง มือเปล่าเพียงคนเดียว เขาไปเอาความมั่นใจมาจากไหน ถึงใจกล้าบ้าบิ่นมาหาเรื่องพวกเขาแบบนี้?
“วันนี้ถือว่าพวกแกโชคดี อาจรอดพ้นโทษถึงตาย”
ในดวงตาเย่เฉิงเฟิงฉายแววจิตสังหารวูบหนึ่ง ชั่ววินาทีต่อมา เขาก็หายไปจากที่นั่งอย่างน่าประหลาด
ในฐานะผู้บำเพ็ญเซียน เย่เฉิงเฟิงบุกตะลุยต่างแดนมานานสิบปี คุ้นเคยกับการเข่นฆ่า ศัตรูที่ตายด้วยมือเขานั้นมีจำนวนไม่ถึงหนึ่งหมื่นก็ต้องแปดพัน
เผชิญหน้ากับไอ้พวกเวรนี่ เขาไม่เคยใจอ่อนแม้แต่น้อย
แต่ตอนนี้อยู่บนเครื่องบิน ทุกสายตาจับจ้องอยู่ เย่เฉิงเฟิงไม่อยากแสดงฉากฆ่าฟันอันโหดร้ายต่อหน้าคนธรรมดากลุ่มหนึ่ง
“มันล่ะ? หายไปได้ยังไง?”
ขณะที่เย่เฉิงเฟิงใช้ศาสตร์เวทล่องหน สมาชิกลัทธิสัจธรรมทั้งเก้าก็จ้องมองที่นั่งว่างเปล่าอย่างตะลึงงัน เหงื่อเย็นผุดซึมฝ่ามือโดยไม่รู้ตัว
“อึก!”
เสียงครางประหลาดดังขึ้น เป็นชายอ้วนเตี้ยที่พยายามจะขืนใจสาวสวยเย็นชากำลังตาเหลือกล้มลงกับพื้น
แต่ในสายตาของแปดคนที่เหลือนั้น ราวกับเห็นผีเลย
เพราะพวกเขามองไม่เห็นเย่เฉิงเฟิง เห็นแค่ชายอ้วนเตี้ยจู่ ๆ ก็เหมือนถูกจู่โจมอย่างแรงจนหมดสติไป โดยไม่มีสัญญาณเตือนใดๆ
“โครม!”
“ตุ้บตั้บตุ้บตั้บ!”
เกิดเสียงทุ้มไม่กี่ครั้ง แปดคนที่เหลือก็ล้มลงกับพื้นตามลำดับ โดยไม่มีโอกาสแม้แต่จะยิงปืนด้วยซ้ำ
ทำทุกอย่างเสร็จสิ้น ร่างเย่เฉิงเฟิงก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างเชื่องช้า ทำให้สาวสวยผู้เย็นชารวมถึงผู้โดยสารและแอร์โฮสเตสทั้งหมดในห้องช็อกกันหมด
แต่เย่เฉิงเฟิงฝากไว้เพียงแผ่นหลังสง่างาม แล้วเดินตรงไปที่ห้องนักบิน
ที่นั่น ยังมีชายจากลัทธิสัจธรรมสวมหน้ากากอีกสามคนยังไม่ได้จัดการ
“มา พี่ ๆ สูบกันสักมวน”
ตอนเย่เฉิงเฟิงเข้าไปในห้องนักบิน สมาชิกลัทธิสัจธรรมสามคนที่เหลือกำลังแบ่งบุหรี่สูบกันต่อหน้านักบิน
“แม่ง พวกมึงไม่อยากมีชีวิตอยู่ แต่กูอยากนะเว้ย!”
เย่เฉิงเฟิงพุ่งตัวเข้าไป ฟาดด้วยสันมือรวดเร็วดุจสายฟ้า เพียงไม่กี่ทีก็ฟาดสมาชิกลัทธิสัจธรรมสามคนสุดท้ายสลบลงกับพื้น ทำเอากัปตันคนนั้นตกตะลึงตาค้าง ในใจลอบอุทานอย่างหวาดกลัว
ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นกับตา นี่คือเหตุการณ์จี้ปล้นเครื่องบินที่จริงเสียยิ่งกว่าจริง เขาเกือบนึกว่ากำลังถ่ายทำหนังด้วยซ้ำ
ชายหนุ่มผู้นี้ฟาดด้วยสันมือเบา ๆ เพียงไม่กี่ครั้ง ชายฉกรรจ์ร่างกำยำสามคนก็สลบไปเลย นี่มันออกจะเหลือเชื่อเกินไปไหม?
“เปลี่ยนเส้นทางบินกลับมาเถอะครับ ไม่เป็นไรแล้ว”
เย่เฉิงเฟิงตบบ่ากัปตันเบา ๆ แล้วหาที่นั่ง ไม่คิดจะกลับไปที่ห้องโดยสารแล้ว
หนึ่ง เพราะเขาพบว่าวิวทิวทัศน์ตรงนี้ยอดเยี่ยมกว่า
ส่วนข้อสอง เพราะเขาไม่อยากพบกับเหล่าผู้โดยสารทั่วไปอีก จะได้ไม่ถูกมองว่าเป็นสัตว์ประหลาด
“ย...ยอดฝีมือสินะครับ”
กัปตันไม่เห็นเหตุการณ์ประหลาดที่เย่เฉิงเฟิงล่องหนกะทันหัน จึงไม่รู้สึกกลัว
ในทางกลับกัน กัปตันตื่นเต้นจนพูดลิ้นพัน รีบติดต่อตำรวจอากาศบนเครื่องผ่านเครื่องมือสื่อสาร แล้วเล่าสถานการณ์ในห้องนักบินคร่าว ๆ ให้ฟังหนึ่งรอบ
จากนั้น ตำรวจอากาศที่ถูกทำร้ายหัวแตกเลือดอาบผู้นั้น ก็เดินโซซัดโซเซเข้ามาโดยใช้ผ้าขนหนูผืนหนึ่งกดแผลเอาไว้
“สวัสดีครับ ผมคือตำรวจอากาศที่ออกปฏิบัติการไม่ประจำเที่ยวบิน ชื่อหยางกั๋วตง”
ตำรวจอากาศแสดงบัตรประจำตัว แล้วจับมือเย่เฉิงเฟิงอย่างกระตือรือร้น “ขอบพระคุณมากนะครับที่กล้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง! หากคราวนี้ไม่ได้คุณช่วยเหลือ ผลลัพธ์คงเลวร้ายเกินจินตนาการ! ผมขอเป็นตัวแทนสายการบิน เหล่าลูกเรือทุกคน รวมถึงผู้โดยสารทุกท่าน ขอบพระคุณคุณจากใจจริงครับ”
พูดจบ หยางกั๋วตงก็โค้งคำนับเต็มที่
“เรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นหน้าที่ของฉันสินะ”
เย่เฉิงเฟิงยักไหล่อย่างหมดหนทาง แล้วรีบเอื้อมมือไปหยิบบัตรประจำตัวห้าหกเล่มออกมาจากกระเป๋า
เขาหยิบออกมาหนึ่งเล่มแล้วยื่นออกไป แล้วเอาเอกสารที่เหลือยัดใส่กลับเข้ากระเป๋าลวกๆ
หยางกั๋วตงรับมาดู มือสั่นทันใด แทบจะล้มลงไปคุกเข่า
นี่มันบัตรนายทหาร!
ยิ่งไปกว่านั้น ตำแหน่งหน้าที่และตำแหน่งยศที่ระบุไว้บนบัตรประจำตัวนั้นเจ๋งจนไม่อยากจะเชื่อเลย เกือบทำให้หยางกั๋วตงตกใจจนปัสสาวะราด
ถ้าไม่ใช่เพราะหยางกั๋วตงมั่นใจว่านี่คือบัตรนายทหารของแท้แน่นอน คงไม่อยากจะเชื่อเลยว่าหนุ่มคนนี้จะมีตำแหน่งและยศที่น่าสะพรึงเช่นนี้!
ช่างน่ากลัวเกินไปแล้ว!
หยางกั๋วตงคืนบัตรประจำตัวให้เย่เฉิงเฟิงแทบจะในทันที
จากนั้นหยางกั๋วตงก็วันทยหัตถ์ด้วยความเคารพ แล้วเอ่ยด้วยเสียงที่มีแค่เขากับเย่เฉิงเฟิงได้ยินเท่านั้นขณะที่ตัวสั่นกลัว “ผ...ผู้บังคับบัญชา ผ...ผมรับรองเลยว่าจะไม่เปิดเผยตัวตนของคุณ”
