ตอนที่3. เป็นความผิดของเจ้า
“ถูกแล้ว เป็นความผิดของเจ้า” นางเบ้ปากใส่ แล้วถอนหายใจอีกรอบ “ข้ารู้ว่าท่านราชครูไม่อยากพบหน้าข้า แต่เขาเป็นเจ้าบ้าน ไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนอยู่บนเขาเช่นนั้น ต่อให้บอกว่าแช่น้ำพุร้อนรักษาบาดแผลอย่างไรก็คงไม่นานขนาดนี้ เอาเป็นว่าเจ้าเชิญท่านราชครูกลับมาเถิด ข้าต้องคุยกับเขา”
“ขอรับ”
“อืม แล้วข้าก็จำได้ว่าพูดไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่ต้องพูดกับเจ้าอีกหน เรียกข้าว่าเยว่ซินก็พอ ไม่ต้องเรียกแม่นางเหอ ฟังแล้วรำคาญหู”
“ขะ...ขอรับ ทราบแล้วแม่นางเยว่ซิน”
เอาเข้าไป ...
“ยังจะยืนบื้ออะไรอยู่ ไปเชิญท่านราชครูกลับมาได้แล้ว”
“ขอรับ” หันซูรับคำสั่งแล้วรีบเดินลิ่วๆ ออกไป แปลกใจที่ตัวเองต้องทำตามคำสั่งนาง และแปลกใจยิ่งกว่าว่ากิริยาท่าทางเช่นนี้ นี่นางเป็นคณิกาอันดับหนึ่งจริงๆ หรือ? ช่างเหมือนอันธพาลโดยแท้
เยว่ซินกลอกตามองบน ช่างน่าสงสารท่านราชครูเสียจริง รับเคราะห์แทนฮ่องเต้จนตัวเองบาดเจ็บสาหัส แต่ต้องถูกขับออกมาอยู่หมู่บ้านเล็กๆ ทุรกันดาร ห่างไกลเมืองหลวงเป็นพันลี้ ความเป็นอยู่ก็สุดแสนน่าเวทนา นี่นางคิดถูกหรือผิดที่ยอมเดินทางไกลมาถึงที่นี่
ช่างเถอะ เพื่อ ‘เหอเยว่ซิน’ แล้ว เรื่องแค่นี้ไม่นับว่านักหนาอะไร
หญิงสาวหมดอารมณ์จะตัดแต่งกิ่งสาลี่ นางปัดมือไปมาแล้วมองเลยไปยังภูเขาลูกโตที่อยู่ด้านหลังแนวกำแพงผุพัง ได้ยินว่าเมืองเล็กๆ แห่งนี้มีดีแค่น้ำพุร้อนสำหรับบำบัดรักษาโรค นางไม่มีความรู้เรื่องพวกนี้ ไม่รู้ว่าเป็นความจริงกี่ส่วนกัน แต่นางมั่นใจว่า หากท่านราชครูแช่น้ำพุร้อนนานขนาดนี้ผิวหนังคงเปื่อยยุ่ยไปแล้ว
“แม่นางเหอ ...เอ่อ ..แม่นางเย่วซินจะไปไหนหรือขอรับ” บ่าวรับใช้เอ่ยถามเมื่อเห็นหญิงสาวก้าวเร็วๆ ออกไปจากบริเวณเรือนของตนเอง
“แค่เดินเล่น ไม่ต้องตามมา”
นางตอบห้วนๆ โบกมือโบไม้เป็นเชิงไล่ แล้วเดินออกทางประตูด้านหลัง นางเคยเดินมาสำรวจบริเวณนี้แล้ว หากไม่มีหญ้าขึ้นรกปกคลุมคงไม่มีผู้ใดรู้ว่าแนวกำแพงพังไปครึ่งหนึ่ง จะซอมแซมจุดนี้ต้องใช้เงินจำนวนไม่น้อย และนางจะทำอะไรโดยไม่บอกเจ้าของบ้านคงไม่ดีแน่
เพียงพ้นสายตาของบ่าวรับใช้ เจ้าของร่างเพรียวบางก็ผ่อนคลายมากขึ้น การเดินป่าขึ้นเขาเป็นเรื่องที่ ‘เหอเยว่ซิน’ ไม่มีวันทำแน่นอน แต่สำหรับ ‘เซียงเยว่ซิน’ นี่คือสิ่งที่โปรดปรานนัก นางเป็นเด็กกำพร้าตั้งแต่อายุเพียงสิบปี บิดามารดาและพี่ชายคนรองตายไปเพราะกลุ่มทหารพ่ายทัพ เหลือเพียงนางที่รอดชีวิตอยู่ ผลักดันให้ต้องเอาตัวรอด จำต้องลักเล็กขโมยน้อยเพียงเลี้ยงชีพ ใช้ชีวิตเช่นนี้จนอายุสิบสี่ บังเอิญได้พบกับ ‘เหอเยว่ซิน’ ซึ่งถูกเลี้ยงดูเพื่อเป็นคณิกาอันดับหนึ่ง นางขายศิลปะไม่ขายเรือนร่าง กิริยาอ่อนช้อยงดงาม เชี่ยวชาญผีผาและดีดพิณ ร่ายรำและเขียนอักษร ซึ่งตรงข้ามกับนางทุกอย่าง
‘ข้ากับเจ้าชื่อเดียวกันเลย’ เหอเยว่ซินเอ่ยพร้อมรอยยิ้มอ่อนหวาน คราวนั้นได้พบกันเพราะเหอเย่ว ซินมาไหว้พระขอพร ส่วนนางมาอาศัยกินข้าวที่โรงทาน ด้วยความอยากเห็นหญิงงามจึงโผล่เข้าไปดู วันนั้นมีคนมาไหว้ขอพรมากพอควร ธูปเกือบถูกใบหน้าของเหอเยว่ซินแล้ว หากไม่เพราะเซียงเยว่ซินยื่นมือไปกันไว้ได้ทัน มิเช่นนั้นใบหน้างดงามคงเป็นแผล นางเองก็ไม่รู้ว่าทำไมยอมเจ็บแทนผู้อื่น หรือเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายใบหน้างดงามน่ารัก หากต้องเป็นแผลคงน่าเสียดาย ส่วนนางนั้นผิวหนาหยาบกร้าน เรื่องแค่นี้ไม่นับว่าเรื่องใหญ่อันใด แต่เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ทั้งสองได้พบกันบ่อยๆ และนับเป็นสหาย
ถูกแล้ว นางไม่ใช่ ‘เหอเยว่ซิน’หญิงคณิกาอันดับหนึ่งของเมืองหลวง นางคือหัวขโมยสาวที่ใครๆ รู้จักในนาม ‘เยว่ซิน’ และน้อยคนนักที่จะรู้แซ่ของนาง
มุมปากของหญิงสาวยกยิ้มจนกลายเป็นรอยยิ้มกว้าง
แม้เหอเยว่ซินเป็นหญิงคณิกา แต่เป็นอี้จี้ที่ขายศิลปะไม่ขายเรือนร่าง นางมีคนรัก แต่เมื่อได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้ให้เป็นเครื่องบรรณาการมอบให้ท่านราชครูที่ถูกส่งมาอยู่ไกลจากเมืองหลวงนับพันลี้ นางจึงเสนอความคิดเปลี่ยนตัว ยินยอมเป็นเครื่องบรรณาการเสียเอง เพื่อให้เหอเยว่ซินได้หลบหนี้ไปใช้ชีวิตกับคนรัก นางมั่นใจว่าตนเองสามารถเจรจาต่อรองกับท่านราชครูได้ เขาต้องเข้าใจเหตุผลที่นางสลับตัวกับเหอเยว่ซิน ยอมรับเรื่องที่เกิดขึ้นแน่นอน
หากเขาจะเลิกหลบหน้านางเสียทีนะ.
เสียงหัวเราะสดใสเรียกสายตาของชายหนุ่มที่อยู่บนรถม้าให้ยื่นมือมาขยับผ้าม่านออกดู ดวงตาคมปลาบจ้องมองไปยังริมแม่น้ำ หญิงสาวแต่งกายเรียบง่ายทว่าโดดเด่นในกลุ่มเด็กๆ ห้าหกคนที่วิ่งเล่นกันสนุกสนาน กว่าสิบวันที่ผ่านมา นางทำให้เขาฉงนยิ่งนัก ด้วยลักษณะนิสัยท่าทางช่างแตกต่างจากที่รับรู้มา แม้ไม่เคยพบหญิงคณิกานางนี้มาก่อนก็ตาม
ราวกับมีญาณทิพย์ หญิงสาวรับรู้ถึงสายตาคู่หนึ่งนางจึงหันกลับไปมอง รถม้าสภาพโกโรโกโสจอดนิ่งอยู่ไม่ไกลนัก เพียงเห็นว่าสารถีคือพ่อบ้านหันซู ก็เดาได้ไม่ยากว่าคนในรถม้าเป็นใคร นางชูมือสองข้างขึ้นเหนือศีรษะแล้วมือโบกไปมาพลางส่งเสียงร้องทักทาย
“ท่านราชครูกลับมาแล้ว”
จะแกล้งทำเป็นไม่เห็นก็ไม่ทันแล้ว ฉู่ห่าวหรานถอนหายใจเบาๆ อย่างไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี หันซูไม่ได้ยินคำสั่งใดๆ จึงไม่ได้สั่งม้าให้เดินหน้า เขามองเลยไปยังหญิงสาวผู้นั้นที่พูดคุยกับเด็กๆ แล้วหิ้วปลาตัวใหญ่สองตัวขึ้นมาจากน้ำ ยามนี้นางดูไม่ต่างจากหญิงชาวบ้านนัก ไม่น่าเชื่อว่านางสามารถทำตัวให้กลมกลืนกับหมู่บ้านชนบทได้
