ตอนที่2. อย่าบอกนะว่า...
“อย่าบอกนะว่า นั้นเรือนของข้า”
“ขอรับ”
“สภาพนั้นยังสามารถใช้งานได้รึ ข้านอนอยู่ดีๆ หลังคาไม่พังมาใส่หรือไร”
“แม่นางเหอกล่าวเกินไปแล้ว” หันซูหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับเหงื่อ ท่าทางเอาแต่ใจช่างสมกับเป็นคณิกาอันดับหนึ่งที่ผู้อื่นกล่าวถึงจริงๆ
“เจ้าจะบอกว่า เรือนของข้าสภาพดีกว่าเรือนของท่านราชครู?”
“เอ่อ...”
“ช่างเถอะๆ” นางตัดบท ยังดีที่โดยรอบมีต้นไม้น้อยใหญ่ให้ความร่มรื่น “ให้คนขนข้าวของมาอย่าให้เสียหาย เรียกบ่าวมาเตรียมน้ำให้ข้าอาบ เดินทางมาไกลข้าอยากพักผ่อน และอย่าลืมน้ำชาและของว่างด้วย”
“ขอรับ”
“ไปดูแลท่านราชครูเถอะ ทางนี้ข้าจัดการเองได้”
หันซูผงกศีรษะรับแล้วถอยออกมา สั่งให้บ่าวรับใช้รับคำสั่งของเหอเยว่ซินอย่างดี ส่วนตัวเองหลบออกมา แต่อดเหลือบมองแผ่นหลังของหญิงสาวผู้นั้นไม่ได้
นางคือ ‘เหอเยว่ซิน’ คณิกาอันดับหนึ่งของเมืองหลวงจริงๆ หรือ? เขาเองก็ไม่เคยเห็นใบหน้าของนางมาก่อน แต่ความงามปานเทพธิดาที่ผู้คนล่ำลือนั้นดูเหมือนจะห่างไกลกับสิ่งที่เขาเห็นในวันนี้มากนัก มิใช่นางมิงดงาม เพียงแค่มิดได้ผุดผาดสะกดสายตาผู้คน ลักษณะการเดิน การวางตัว หรือแม้แต่การสนทนา ดูไร้มารยาทไปสักหน่อย หรือว่า นางเอาแต่ใจตนเอง เมื่อเห็นว่าคฤหาสน์ของท่านราชครูซอมซ่อขนาดนี้จึงแสดงท่าทางเช่นนั้น
พ่อบ้านหนุ่มโคลงศีรษะไปมาแล้วเร่งเดินทางขึ้นเขาไปพบฉู่ห่าวหราน ต่อให้แม่นางเหอไม่ไล่เขาไป เขาก็คงทนอยู่กับสตรีเรื่องมากไม่ได้แน่นอน.
วันเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ล่วงเข้าสู่วันที่ห้าแล้ว หญิงสาวในชุดกระโปรงสีชมพูปักลายดอกไม้เล็กๆ เพิ่มความอ่อนหวาน นางมั่นใจว่าคนที่นางต้องการพบหน้านั้นกำลัง ‘หลบหน้า’
นางควรรู้สึกอย่างไรดี เจ้าของบ้านต้องออกไปอยู่ด้านนอก ส่วนนางผู้มาอาศัยกลับนอนเอกเขนกอยู่ในเรือนที่สภาพที่พอซุกหัวนอนได้ หลังจากสำรวจดูที่ต้องซ่อมแซมแล้ว นางจึงถือสิทธิ์ที่พ่อบ้านหันซูอนุญาตให้นางเรียกใช้บ่าวไพร่ได้ เรียกคนมาโยกย้ายเครื่องเรือนและซ่อมหลังคาที่มีรอยรั่ว แม้เป็นต้นฤดูร้อน ทว่าหากมีพายุเข้าก็คงลำบากไม่น้อย เรื่องเหล่านี้ไม่ควรนิ่งนอนใจ ในเมื่อไม่มีอะไรให้ทำนางไม่ลังเลที่จะทำ หญิงสาวจึงเรียกบ่าวรับใช้มาจัดการซ่อมแซมหลังคา อะไรที่รกหูรกตานางก็ชี้นิ้วสั่งการให้บ่าวไพร่ทำ สิ่งไหนไม่ถูกใจ นางก็ลุกขึ้นทำด้วยตัวเอง
จากวันแรกๆ ที่สวมอาภรณ์ถักทอด้วยไหมงดงามเพื่อรอพบท่านราชครู แต่เขาไม่ปรากฏกายเสียที หลายวันเข้าการแต่งตัวรอเก้อทำให้นางหงุดหงิด จนวันนี้นางสวมเพียงชุดผ้าฝ้ายธรรมดา เกล้าผมอย่างเรียบง่ายไม่ได้สวมเครื่องประดับมากมาย นางพาดบันไดพิงต้นสาลี่แล้วปีนขึ้นไป
“แม่นางเหอ!”
“ว้าย!”
หญิงสาวตกใจเสียงเรียกเหยียบบันไดพลาด แต่ยังดีที่มือไม้ว่องไวคว้าบันไดไว้ได้ทัน นางสงบสติระงับความตื่นเต้นได้แล้วก็หันไปทำตาดุใส่คนที่เรียกนาง
“พ่อบ้านหันซู!”
“แม่นางเหอ ท่านอย่าคิดสั้น” หันซูทำหน้าตาตื่นรีบยื่นมือไปจับขาหญิงสาวไว้
“เจ้า! อย่ามาถูกตัวข้านะ!”
“ข้าน้อยไม่ปล่อยขอรับ! แม่นางเหออย่าทำร้ายตัวเองเช่นนี้!”
“ทำร้ายตัวเองอันใด ข้าแค่จะปีนขึ้นไปตัดกิ่งสาลี่”
“หา...”
“เจ้าบ้า! ปล่อยขาข้าเดี๋ยวนี้นะ”
ด้วยไม่ทันระวังตัว และเพิ่งนึกได้ว่าตนเองยื้อยึดขาสตรีอยู่จึงรีบปล่อยมือ เป็นจังหวะเดียวกับที่หญิงสาวสะบัดปลายเท้าทำให้หันซูผงะเสียหลังหงายหลังแบบไม่มีใครช่วย ครั้งจะใช้วรยุทธ์ก็นึกได้อีกว่านายท่านสั่งมิให้เปิดเผยตัวจึงจำยอมให้ตัวเองหงายหลังล้มตึงอย่างน่าอับอาย
“พ่อบ้านเป็นอะไรหรือไม่” หญิงสาวรีบก้าวลงจากบันได บ่าวไพร่ที่อยู่ใกล้รีบเข้ามาประคองให้ลุกขึ้น และปัดเศษใบไม้ออกจากร่างของพ่อบ้าน
“แม่นางเหอไม่ได้คิดสั้นแน่นะขอรับ” หันซูอับอาย แต่ก็พยายามคิดถึงคำสั่งของนายท่านที่ต้องทำอย่างเคร่งครัด
“ไม่” นางยืนยันด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้าไม่มีความจำเป็นต้องฆ่าตัวตาย”
“นั้นสิขอรับ บ่าวช่างโง่เขลายิ่งนัก” หันซูหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับเหงื่อ “ไม่ทราบแม่นางเหอทำสิ่งใดหรือขอรับ”
“ข้าอยู่ว่างไม่มีอะไรทำ เห็นต้นสาลี่ก็เลยคิดว่าจะขึ้นไปตัดแต่งกิ่งเสียหน่อย จะได้ออกดอกออกผลดี”
“อ้อ...”
“อ้ออะไรของเจ้า” นางขึงตาใส่ แล้วถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย “ได้ยินว่าหลังรัชทายาทขึ้นครองราชเป็นฮ่องเต้ก็ไม่ทรงโปรดท่านราชครูอีก คงเป็นความจริงสินะ”
“เอ่อ...”
“ดูจากสภาพความเป็นอยู่แล้วก็เป็นคำตอบที่ดีที่สุด” นางยังคงพูดเองเออเอง แล้วหันมาจ้องหน้าพ่อบ้านหนุ่ม “แต่ถึงอย่างไรก็มิใช่อยู่ซอมซ่อเช่นนี้”
“เป็นข้าน้อยที่บกพร่องเองขอรับ”