บทที่ 8 อยากกินถังหูลู่
“กั๋วกงไยถึงเงียบไปล่ะเจ้าคะ ท่านไม่รักข้าแล้วหรือ หรือเป็นเพราะท่านพ่อของข้าไม่ยินยอม ท่านอย่าได้เป็นกังวลไป ข้าจะพูดกับท่านพ่อเอง ขอเพียงแค่ท่านรับปากว่าจะแต่งข้าเข้าจวนสกุลหลู่” น้ำเสียงของนางเจือสะอื้น มั่นใจว่าหยาดน้ำตาของนางสามารถทำให้เขาใจอ่อนได้ หากแต่หลู่อวี้โจวกลับส่ายศีรษะไปมา ปฏิเสธคำขอของนาง
“ข้าขอโทษ ยามนี้ข้าไม่ได้ต้องการแต่งใครเข้าจวนสกุลหลู่อีกแล้ว”
คำปฏิเสธของเขาเป็นดั่งมีดคมที่ทิ่มแทงเข้ามากลางใจของนางอย่างจัง นางยอมให้เขาถึงเพียงนี้ ยอมแม้กระทั่งอยู่ในสถานะรองจากสตรีนอกรีตที่มาจากเผ่าเล็กๆไร้หัวนอนปลายเท้าคนนั้น ทว่าเขายังปฏิเสธนางได้ลงคออีกหรือ!
“อย่าบอกนะว่าท่านรักหยางฮูหยินเข้าแล้ว” ไต้ลี่ผิงพยายามควบคุมความเจ็บปวดเอาไว้ภายใน ถามทั้งๆที่ในใจแทบจะแตกสลายออกเป็นเสี่ยงๆ
“หาได้เกี่ยวกับหยางเสี่ยวเหมยแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะว่าข้าเห็นแก่โจวหลินและฟู่หลินต่างหาก”
ถึงแม้ว่าในยุคสมัยนี้ตระกูลขุนนางใหญ่จะนิยมชมชอบการมีภรรยาหลายคน แต่สำหรับเขาแล้วไม่เคยคิดที่จะทำเช่นนั้นเลย คราแรกที่คิดเพราะเห็นแก่ความรักที่มีต่อไต้ลี่ผิงเท่านั้น แต่หลังจากเจ้าก้อนแป้งทั้งสองคนเกิดมา เขาก็ไม่คิดจะทำเช่นนั้นอีกแล้ว หากเจ้าเด็กแฝดทั้งสองคนเติบโตขึ้นเห็นบิดาแบ่งปันความรักไปให้สตรีอื่น พวกเขาคงเจ็บปวดใจไม่น้อยเลยทีเดียว
“ท่านใจร้ายกับข้ามากเหลือเกิน” ไต้ลี่ผิงตัดพ้อคนตรงหน้าด้วยความเสียใจ
“ข้าขอโทษ” หลู่อวี้โจวกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเช่นเดิม ต่อให้นางจะต่อว่าหรือด่าทอเขามากกว่านี้เขาก็น้อมรับ ทว่าไต้ลี่ผิงไม่กล่าววาจาใดอีก นอกจากลุกขึ้นก้าวเดินออกไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้ชายหนุ่มมองตามแผ่นหลังบางพร้อมถอนหายใจออกมาเบาๆ ยามนี้เขามีลูกแล้ว ทุกอย่างที่ทำไปก็เพื่อเจ้าก้อนแป้งทั้งสองคน ไม่ใช่เพราะหยางเสี่ยวเหมย
หยางเสี่ยวเหมยกับจินหนิงย้ายกลับมาที่เรือนใหญ่ได้สามวันแล้ว ตลอดเวลาที่อยู่เรือนใหญ่ เจ้าก้อนแป้งหลู่โจวหลินและหลู่ฟู่หลินต่างติดนางแจ ไม่ยอมห่างจากอกนางเลยแม้แต่น้อย หญิงสาวเองก็มีความสุขไม่แพ้กันที่ได้ใกล้ชิดเด็กๆ อีกทั้งยังสัมผัสได้ว่าหลู่โจวหลินนั้นเป็นเด็กผู้ชายที่ว่านอนสอนง่าย แม้จะซนตามนิสัยเด็กผู้ชายอยู่บ้างแต่กระนั้นก็เชื่อฟังนางเป็นอย่างดี
สำหรับหลู่ฟู่หลินนั้นเป็นเด็กผู้หญิงที่มีนิสัยแสบสันยิ่งนัก นางซุกซนยิ่งกว่าหลู่โจวหลินที่เป็นบุรุษเสียอีก หยางเสี่ยวเหมยครุ่นคิดด้วยความขบขัน ขณะที่สายตายังคงทอดมองไปยังเจ้าก้อนกลมทั้งสองคนด้วยความสุขใจ ยามนี้นางมีความสุขมากเหลือเกิน เพราะทั้งฮูหยินผู้เฒ่าและหลู่กั๋วกงก็ไม่ได้มายุ่งวุ่นวายหรือกวนใจนาง แต่กระนั้นลึกๆ แล้วหยางเสี่ยวเหมยก็อดกังวลไม่ได้ ฮูหยินผู้เฒ่าเยว่เฉียวนั้นเงียบผิดปกติ นางชิงชังลูกสะใภ้หยางเสี่ยวเหมยมากนัก มีหรือที่จะยอมให้หยางเสี่ยวเหมยกลับขึ้นมาอยู่บนเรือนใหญ่ง่ายๆ
เว้นเสียแต่ว่านางกำลังมีแผนการอะไรบางอย่าง…
“ท่านแม่” ขณะที่หญิงสาวกำลังกังวลเรื่องฮูหยินผู้เฒ่า หลู่ฟู่หลินก็วิ่งกลับมาหานาง เด็กน้อยหน้าตาบูดบึ้งพร้อมทำปากยู่ เสียงเจื้อยแจ้วของบุตรสาวทำให้หยางเสี่ยวเหมยหลุดจากภวังค์ความคิด
“พี่ชายแย่งของเล่นฟู่หลิน” นิ้วเล็กกลมป้อมชี้ไปยังคนเป็นพี่ที่ยืนถือตุ๊กตาไม้สลักรูปเด็กผู้หญิงไว้ในมือพร้อมเอ่ยปากฟ้องคนเป็นแม่เสียงเจื้อยแจ้ว
ฝ่ายหลู่โจวหลินเห็นน้องสาวฝาแฝดกำลังเปิดปากฟ้องมารดา เขาเองก็ไม่ยอมเช่นกัน รีบวิ่งเข้ามาหามารดาพลางชี้นิ้วไปยังตุ๊กตาสลักรูปม้าที่หลู่ฟู่หลินถือไว้ในมือ
“ฟู่หลินแย่งข้าก่อน”
หยางเสี่ยวเหมยมองบุตรชายและบุตรสาวที่เกาะขาของนางไว้ทั้งสองข้างสลับกันไปมา ดูเหมือนว่าการที่นางยังคงเงียบจะทำให้เจ้าเด็กแฝดรู้สึกหงุดหงิดใจไม่น้อยเลยทีเดียว
“ท่านแม่” / “ท่านแม่” หลู่โจวหลินและหลู่ฟู่หลินขานเรียกคนเป็นแม่พร้อมกัน ราวกับต้องการให้นางตัดสินโทษว่าใครเป็นคนถูกและใครเป็นคนผิด
“เอาล่ะๆ โจวหลินคืนตุ๊กตาให้ฟู่หลิน” วาจาของคนเป็นแม่ทำให้หลู่โจวหลินทำหน้างอด้วยความขัดใจ แต่กระนั้นก็ยอมส่งตุ๊กตาไม้คืนให้น้องสาว ขณะที่หลู่ฟู่หลินแลบลิ้นปลิ้นตาใส่พี่ชายด้วยความดีใจ ทว่าไม่นานนางก็ต้องทำหน้ายู่ด้วยความขัดใจอีกหนเมื่อได้ยินวาจาต่อมาของคนเป็นแม่
“ฟู่หลินคืนตุ๊กตาม้าให้พี่ชายของเจ้า”
“งื้อออ” หลู่ฟู่หลินทำท่าจะไม่ยอม แต่เมื่อเห็นหยางเสี่ยวเหมยเอียงคอเล็กน้อยและจดจ้องมองมายังตน นางจึงยอมส่งตุ๊กตาม้าคืนให้หลู่โจวหลิน
“พวกเจ้าทั้งสองคนเข้ามาหาแม่” หยางเสี่ยวเหมยยื่นไปจับมือลูกๆ คนละข้าง ในขณะที่เจ้าก้อนกลมส่งสายตามองคนเป็นแม่ตาปริบๆ หยางเสี่ยวเหมยเห็นเช่นนั้นจึงส่งยิ้มบางๆ ให้เจ้าก้อนแป้งทั้งสองคน
“พวกเจ้าสองคนเป็นพี่น้องกันต้องรักใคร่ดูแลกันนะลูก อย่าได้ทะเลาะกันเป็นอันขาด หาไม่แม่คงจะเสียใจมาก” ท้ายประโยคนางแสร้งทำหน้าเศร้าและก็ได้ผลทันใดเมื่อเจ้าแฝดทั้งสองคนร้องโวยวายขึ้น
“ท่านแม่อย่าร้องไห้” หลู่ฟู่หลินโผเข้ามากอดคอคนเป็นแม่เอาไว้อย่างออดอ้อน ใช่ว่าจะไม่รู้ตัวว่าตัวเองก็เป็นคนผิด เพียงแค่ตอนแรกอยากเอาชนะพี่ชายเท่านั้น
“ข้าไม่ทะเลาะกับฟู่หลินแล้ว” หลู่โจวหลินยื่นมือไปจับแขนของหยางเสี่ยวเหมย กล่าวด้วยใบหน้าจืดเจื่อน รู้สึกผิดไม่น้อยที่ทำให้ท่านแม่ต้องเสียใจ จากเดิมที่นางทำหน้าเศร้าก็ค่อยๆ คลายออกเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มแทน
“ลูกๆ ทั้งสองคนเชื่อฟังแม่ เช่นนั้นแม่จะให้รางวัล” หญิงสาวยื่นหน้าเข้าไปจรดปลายจมูกลงบนแก้มขาวของเจ้าก้อนกลมทั้งสองคน ทำให้ทั้งหลู่โจวหลินและหลู่ฟู่หลินต่างพากันเปล่งเสียงหัวเราะดังเอิ๊กอ๊ากด้วยความชอบใจ
ขณะที่สามคนแม่ลูกกำลังหยอกล้อกันอยู่ในหอนอน ที่หน้าประตูมีร่างสูงของใครบางคนยืนอยู่ เสียงหัวเราะของคนทั้งสามที่ดังออกมาจากภายในห้องทำให้มุมปากหยักค่อยๆ เผยรอยยิ้มขึ้น
“กั๋วกงไม่เข้าไปข้างในหรือขอรับ” หูเซียวที่เดินตามมาเห็นเจ้านายหยุดฝีเท้าลงที่หน้าประตู เขาจึงถามด้วยความสงสัย ทำให้หลู่อวี้โจวรีบหุบยิ้มลงทันควันและแสร้งทำเป็นตีหน้าขรึมเช่นเดิม ก่อนจะตวัดสายตาดุดันมองไปยังผู้ติดตามคนสนิท
“สู่รู้!”
ปัง!
หูเซียวสะดุ้งเล็กน้อยมองตามแผ่นหลังกว้างที่เดินเข้าไปในห้องพร้อมประตูที่ปิดลงอย่างแรงด้วยความงุนงง เขาชี้นิ้วมาที่ตนเองด้วยความแปลกใจ
“ข้าน่ะหรือที่สู่รู้” มือใหญ่ยกขึ้นเกาศีรษะของตนไปมาพลางยักไหล่ขึ้นเล็กน้อย ที่ผ่านมาแม้ว่าหลู่กั๋วกงจะชอบทำหน้าดุแต่ก็ไม่เคยเอาใจยากเช่นนี้มาก่อน นับตั้งแต่เรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นในวันนั้น ดูเหมือนว่าหลู่กั๋วกงจะเปลี่ยนไปมากเลยทีเดียว โดยเฉพาะเมื่อเป็นเรื่องของหยางฮูหยิน
เสียงประตูที่เปิดออกพร้อมกับร่างสูงที่ก้าวเดินเข้ามาในห้อง เรียกความสนใจจากหยางเสี่ยวเหมยและเจ้าก้อนแป้งให้หันไปมอง สองพี่น้องทำตาโตเมื่อเห็นผู้เป็นพ่อก้าวเข้ามาก่อนจะรีบละความสนใจจากผู้เป็นแม่วิ่งเข้าไปหาผู้เป็นพ่อแทน
“ท่านพ่อ!” / “ท่านพ่อ!” หลู่โจวหลินและหลู่ฟู่หลินเปล่งเสียงเรียกผู้เป็นพ่อพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย สมกับที่เป็นฝาแฝดกันยิ่งนัก
หลู่อวี้โจวคุกเข่าลงนั่งกับพื้นอ้าแขนรับร่างเล็กของเด็กๆ ที่โผวิ่งเข้ามาหาทันใด ใบหน้าหล่อเหลาเผยรอยยิ้มกว้างที่เต็มไปด้วยความสุขในยามที่ตระกรองกอดร่างกลมป้อมไว้ในอ้อมแขน
หยางเสี่ยวเหมยที่ยืนมองอยู่เงียบๆ ทำตาโตด้วยความแปลกใจ ในนิยายกล่าวไว้ ไม่เคยมีผู้ใดได้ยลโฉมเวลาที่หลู่กั๋วกงเผยรอยยิ้มกว้างเช่นนี้มาก่อน โดยเฉพาะหยางเสี่ยวเหมยยิ่งไม่เคยเห็นเขาทำหน้ามีความสุขเช่นนี้ แต่วันนี้เขากลับทำมันต่อหน้าของนาง
ดูเหมือนว่าดวงตาคู่งามที่กำลังจดจ้องมองไปยังเขาจะทำให้หลู่อวี้โจวรู้ตัว ในตอนที่เขาเงยหน้าขึ้นประสานสายตากับนาง ชายหนุ่มก็รีบหุบยิ้มลงทันใดพร้อมกับตีหน้าขรึมเช่นเดิม
“เรียกสาวใช้มาเปลี่ยนอาภรณ์เถิด ข้าจะพาเจ้าไปคารวะฮองเฮา” หลู่อวี้โจวกล่าวกับคนตัวเล็กเสียงเรียบ ก่อนจะหันไปให้ความสนใจเจ้าก้อมกลมต่อ
หยางเสี่ยวเหมยเอียงคอเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ แต่กระนั้นก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ หลู่อวี้โจวที่กำลังหยอกล้อกับเจ้าก้อนกลมได้ยินเพียงแค่เสียงหวานที่ขานรับคำสั่งของเขาเบาๆ จากนั้นนางจึงเดินหายเข้าไปในหลังฉากกั้นพร้อมกับสาวใช้
รถม้าคันใหญ่จากจวนสกุลหลู่วิ่งออกไปจากประตูจวนมุ่งหน้าไปยังวังหลวง หยางเสี่ยวเหมยรู้สึกตื่นเต้นไม่น้อยเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่นางได้ออกมาจากจวนสกุลหลู่ ดวงตาคู่งามมองบรรยากาศรอบกายด้วยความตื่นเต้น บนท้องถนนเต็มไปด้วยผู้คนพลุกพล่านอีกทั้งยังมีแผงขายสินค้ามากมายตั้งวางอยู่
“มีถังหูลู่ด้วยหรือ” หญิงสาวพึมพำเสียงเบามองผลไม้เคลือบน้ำตาลที่เสียบอยู่บนชั้นวางในแผงขายสินค้าตาเป็นประกายเมื่อเห็นขนมหวานอันเป็นของโปรดของตัวเอง
“หยุดรถม้า!” เสียงห้าวดังขึ้นทำให้หยางเสี่ยวเหมยรีบหันขวับไปมองคนตัวโตอย่างสงสัย หลังจากที่หลู่อวี้โจวเปิดม่านออกพูดคุยกับจินหนิงสองสามคำ เขาก็ขยับเข้ามานั่งตัวตรงเช่นเดิม
“กั๋วกงหยุดรถทำไมหรือเจ้าคะ” หยางเสี่ยวเหมยถามคนตัวโตด้วยความหวาดระแวง ไม่ใช่ว่าเขาหลอกนางมาสังหารทิ้งกลางป่าหรอกนะ!
