บทที่ 9 ชิงตัวหยางเสี่ยวเหมย
หากแต่เขายังไม่ทันได้ตอบคำถามของนาง จินหนิงก็วิ่งกลับเข้ามาเสียก่อน มือหนายื่นออกไปรับของจากจินหนิง จากนั้นจึงยื่นส่งต่อให้หยางเสี่ยวเหมย
“เจ้าอยากกินถังหูลู่มิใช่หรือ”
หยางเสี่ยวเหมยมองผลไม้เคลือบน้ำตาลในมือของชายหนุ่มอย่างอึ้งๆ หากแต่ไม่นานนางก็แย้มริมฝีปากออกจากกัน ยื่นมือไปรับถังหูลู่ในมือของเขามาถือเอาไว้ด้วยความดีใจ
“ขอบคุณเจ้าค่ะ” หญิงสาวส่งถังหูลู่เข้าปาก เคี้ยวตุ้ยๆ จนแก้มป่องอย่างมีความสุข รอยยิ้มของนางทำให้คนที่มองอยู่ในตอนแรกรีบผินหน้าไปทางอื่นอย่างรวดเร็ว ที่ผ่านมาในยามที่เจอหน้ากัน หยางเสี่ยวเหมยมักจะพูดจาแทบนับคำได้ อีกทั้งยังไม่เคยเผยรอยยิ้มสดใสเช่นนี้มาก่อน สีหน้าของนางนั้นเต็มไปด้วยความทุกข์ระคนเศร้า ครั้นพอสอบถาม นางก็เอาแต่บอกว่าคิดถึงท่านพ่อที่แดนใต้
เขารู้ว่าการแต่งงานระหว่างนางกับเขานั้นหาได้เกิดจากความสมัครใจของทั้งสองฝ่าย อีกทั้งยังรู้อีกว่าหยางเสี่ยวเหมยมีคนรักอยู่แล้วและคนผู้นั้นคือคนจากเผ่าจ้านเหอ ในขณะที่เขาเองก็มีคนรักอย่างไต้ลี่ผิงอยู่แล้วเช่นกัน การที่เขากับนางแต่งงานกันเป็นเพียงผลประโยชน์ทางการเมืองเท่านั้น
ที่ผ่านมาเขาพยายามดูแลนางเป็นอย่างดี ทว่าตลอดระยะเวลาสามปีที่แต่งงานกัน เขาจำต้องเดินทางขึ้นเหนือล่องใต้จนแทบไม่ได้อยู่จวน เวลากลับมาที่จวนก็มักจะได้ยินว่านางหมางเมินไม่สนใจดูแลลูก ฮูหยินผู้เฒ่าบอกว่าคงเป็นเพราะนางคิดถึงคนรักเก่ากระมัง หลังจากที่นางตั้งครรภ์เจ้าก้อนแฝดทั้งสอง เขากับนางก็ไม่ได้ร่วมเตียงกันอีกเลย จากเดิมที่ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและนางนั้นเต็มไปด้วยความหมางเมิน ยิ่งทำให้เกิดระยะห่างต่อกันมากกว่าเดิมจนแทบจะกลายเป็นเหมือนคนแปลกหน้าต่อกันไปแล้ว
ครึ่กๆๆ!
ขณะที่หลู่อวี้โจวกำลังหวนนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมา และหยางเสี่ยวเหมยกำลังกินถังหูลู่ด้วยความเอร็ดอร่อยอยู่นั้น รถม้าที่กำลังวิ่งไปตามถนนก็ต้องหยุดลงอย่างกะทันหันพร้อมกับที่คนบังคับม้าหักเลี้ยวรถไปข้างทางทำให้คนที่นั่งอยู่บนรถม้าไม่ทันได้ตั้งตัวต้องถลาตามแรงหักเลี้ยวของรถส่งผลให้ร่างบางเซถลาไปทางด้านข้าง แต่ก่อนที่ศีรษะของนางจะกระแทกกับผนังรถม้า หลู่อวี้โจวก็ดึงนางเข้ามาไว้ในอ้อมแขนและใช้แขนของเขารองรับแรงกระแทกแทนศีรษะของนางเอาไว้
“อึ่ก!” แรงกระแทกที่เกิดขึ้นอย่างแรงทำให้หลู่อวี้โจวนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ ทว่ายังคงกอดคนตัวเล็กเอาไว้ในอ้อมแขนอย่างปกป้อง
“เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ” ดวงหน้างามที่ซุกอยู่บนอกแกร่งของเขาเงยหน้าขึ้นถามด้วยความตกใจ เสียงปลายกระบี่ที่กระทบกันส่งเสียงดังเข้ามาถึงในรถม้า หลู่อวี้โจวจึงดึงม่านให้เปิดออกเผยให้เห็นว่าหูเซียวกำลังต่อสู้อยู่กับกลุ่มบุรุษปริศนาที่ใส่หน้ากากสีทองสลักลายนกอินทรีย์อยู่นอกรถม้า
“เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่ ห้ามออกไปข้างนอกเด็ดขาด” เขาหันมาเอ่ยกับคนในอ้อมแขนเสียงเข้ม ใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด จากนั้นจึงรีบเปิดประตูรถม้าออกไปช่วยหูเซียวต่อสู้กับพวกบุรุษปริศนา
แม้ว่าหลู่อวี้โจวและหูเซียวจะมีฝีมือในการต่อสู้ไม่น้อย หากแต่พวกมันมีมากกว่าเขาทำให้พวกเขาทั้งสองคนเสียเปรียบ หยางเสี่ยวเหมยนั่งกำมือแน่นด้วยความร้อนใจ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ไม่มีอยู่ในเนื้อเรื่องของนิยาย นางจึงไม่รู้ว่าพวกคนที่บุกเข้ามานั้นเป็นฝ่ายใด แต่ดูจากการที่ตั้งตัวเป็นปรปักษ์กับพระเอกหลู่อวี้โจวแล้ว นางคาดว่าคนพวกนี้คงเป็นคนจากฝ่ายตรงข้ามกระมัง ทว่าจะเป็นผู้ใดนั้น นางก็ยังนึกไม่ออก
พรึ่บ!
ประตูรถม้าถูกกระชากให้เปิดออกอย่างแรง หยางเสี่ยวเหมยเบิกตากว้างด้วยความตกใจทันทีที่เห็นชายปริศนาที่สวมหน้ากากนกอินทรีย์จ้องมองมายังนาง
“อ๊ะ! ปล่อยข้านะ!” หญิงสาวร้องเสียงหลง เมื่อมือใหญ่ยื่นเข้ามาคว้าแขนของนางเอาไว้ จากนั้นจึงกระชากนางให้ลงจากรถม้า
“ปล่อยนะ ปล่อย!” หยางเสี่ยวเหมยพยายามดิ้นรนให้หลุดพ้นพันธนาการจากมือใหญ่ หากแต่ยิ่งนางดิ้น เขาก็ยิ่งบีบแขนของนางแน่นขึ้นพร้อมก้าวไปยังอาชาตัวใหญ่ จากนั้นจึงอุ้มนางขึ้นไปบนหลังม้าและรีบควบมันออกไปอย่างรวดเร็ว
“หัวหน้าได้ตัวนางแล้ว!” เสียงของชายปริศนาส่งสัญญาณให้กับสหาย จากนั้นพวกเขาจึงค่อยล่าถอยออกไป ขณะที่หลู่อวี้โจวกัดฟันแน่นจนได้ยินเสียงดังกรอดพลางเดินไปยังอาชาของตน
“กั๋วกงอย่าตามไปเลยขอรับ พวกมันมีมากเกินไป” หูเซียวที่ได้รับบาดเจ็บจากการถูกปลายกระบี่ฟันที่หัวไหล่รีบร้องห้ามเจ้านายหนุ่ม ไม่ใช่ว่าเขามีเจตนาจะปล่อยให้หยางฮูหยินโดนพวกมันจับตัวไป ทว่าการที่พวกมันมีมากเกินไปจะทำให้หลู่กั๋วกงเป็นอันตรายได้ หากแต่หลู่อวี้โจวหาได้สนใจเสียงร้องห้ามของหูเซียว ร่างสูงกระโดดขึ้นหลังม้าไม่สนใจอาการบาดเจ็บของตัวเอง และรีบกระตุกบังเหียนม้าควบมันตามอาชาตัวใหญ่ที่ลักพาตัวหยางเสี่ยวเหมยไปอย่างติดๆ
ขณะที่บนหลังอาชาสีดำสนิทตัวใหญ่ หยางเสี่ยวเหมยนั่งน้ำตาคลอเบ้ามองสองข้างทางที่เต็มไปด้วยทุ่งหญ้าด้วยความหวาดกลัว
“ท่านเป็นใคร จับตัวข้าไปทำไมกัน” เดิมทีนางคิดว่ากลุ่มชายฉกรรจ์พวกนี้อาจเป็นคนของฮูหยินผู้เฒ่า หากแต่พอมาคิดดูแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าคงไม่ใจแข็งพอที่จะทำให้หลู่กั๋วกงบุตรชายผู้เป็นที่รักของนางต้องเจ็บตัวหรอก ฉะนั้นแล้วคนพวกนี้ไม่ใช่คนของฮูหยินผู้เฒ่าเยว่เฉียวอย่างแน่นอน
หลังจากที่หยางเสี่ยวเหมยยิงคำถามออกไป มีเพียงความเงียบเท่านั้นที่ตอบกลับมา นางรู้สึกโมโหไม่น้อยจึงหันไปอ้าปากกัดลงไปบนท่อนแขนกำยำที่กำลังจับบังเหียนม้าเอาไว้อย่างเต็มแรง
ง่ำ!
“อ่ะ!” ชายหนุ่มที่นั่งซ้อนอยู่ทางด้านหลังของคนตัวเล็กนิ่วหน้าเข้าหากันด้วยความเจ็บ จำต้องบังคับให้ม้าหยุดวิ่งทันใดเมื่อเห็นคนในอ้อมแขนทำท่าจะกระโดดลงจากหลังม้า
“เหมยเอ๋อร์ใจเย็นๆก่อน เป็นข้าเอง”
เสียงนุ่มทุ้มที่ดังขึ้นจากทางด้านหลังทำให้หยางเสี่ยวเหมยนิ่งค้างไปทันใด จากนั้นจึงผินหน้าหันไปมองเห็นใบหน้าหล่อเหลาที่กำลังมองมายังนางเช่นกัน บุรุษผู้นี้มีผิวคมเข้มราวกับตากแดดตากฝนผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างมากมาย บริเวณใต้ริมฝีปากปรากฏเคราสีเทาจางส่งผลให้ใบหน้าดูดุดันมากกว่าเดิม หากแต่แววตาที่เขากำลังทอดมองมานั้นกลับอ่อนโยนจนหยางเสี่ยวเหมยรู้สึกได้
“ท่านเป็นใครกัน”
“ผ่านมาสามปี เจ้าลืมข้าไปแล้วหรือ” ใบหน้าคร้ามคมเศร้าสร้อยลงไปทันใด ดูเหมือนว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาจะมีเพียงเขาที่คิดถึงนางอยู่ฝ่ายเดียวสินะ
“ข้าสวีจือเหิงคนรักของเจ้าอย่างไรเล่า”
คำตอบของเขาทำให้คนที่ทำหน้าครุ่นคิดด้วยความสงสัยอยู่ในตอนแรกทำตาโตขึ้น ร่างกายชาวาบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ‘สวีจือเหิง’ คือตัวร้ายในนิยาย เดิมทีเขาคืออดีตคนรักของหยางเสี่ยวเหมยตัวประกอบที่ควบตำแหน่งนางร้าย ทว่าหลังจากที่เขารู้ข่าวว่านางได้สิ้นใจจากไปแล้ว ทำให้เขารู้สึกแค้นในตัวของหลู่อวี้โจว และโทษว่าเป็นเพราะหลู่กั๋วกงที่พรากชีวิตของหยางเสี่ยวเหมยไป เขาจึงแก้แค้นพระเอกหลู่อวี้โจวโดยการวางแผนแย่งชิงนางเอกไต้ลี่ผิงมาเป็นของตัวเอง ทว่าในตอนสุดท้าย เขาได้สิ้นใจเพราะโดนหลู่อวี้โจวสังหารหลังจากที่คิดการใหญ่ก่อกบฏ ทว่าที่เขาทำไปทั้งหมดนั้นเป็นเพราะต้องการแก้แค้นให้หยางเสี่ยวเหมยเท่านั้น
“เป็นไปได้อย่างไรกัน” หยางเสี่ยวเหมยพึมพำเสียงเบา ตามเรื่องราวในนิยาย สวีจือเหิงจะปรากฏตัวและมีบทบาทหลังจากที่ตัวประกอบหยางเสี่ยวเหมยจากไปแล้ว ไหนจะหน้ากากสลักลายนกอินทรีย์ที่เขาสวมใส่อยู่อีกเล่า
สวีจือเหิงเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัยของนาง เขาจึงหยิบหน้ากากที่ถูกปลดออกจากใบหน้าขึ้นมา ก่อนจะเอ่ยต่อว่า
“ตลอดระยะเวลาสามปีที่ผ่านมา ข้าแอบซ่องสุมกำลังพลไว้อย่างลับๆ เพื่อมาช่วยเจ้า” เขากระทำทุกอย่างโดยสวมใส่หน้ากากนกอินทรีย์เอาไว้เพื่อไม่ให้โดนจับได้ เพราะเกรงว่าจะทำให้เผ่าจ้านเหอเดือดร้อน
“สวีจือเหิง เจ้าทำเช่นนี้ไม่ได้นะ หากกั๋วกงรู้ว่าเจ้าเป็นคนลักพาตัวข้าไป ไม่ใช่แค่เจ้าที่จะเดือดร้อนแต่รวมไปถึงท่านพ่อของข้าและคนที่เผ่าจ้านเหอด้วย” หยางเสี่ยวเหมยพยายามโน้มน้าวให้เขาได้สติ แต่ดูเหมือนว่าสวีจือเหิงจะดื้อดึงมากเหลือเกิน
“ไม่! กว่าข้าจะเข้าถึงตัวของเจ้าได้ยากเย็นยิ่งนัก ยามนี้ข้ามีเจ้าอยู่ข้างกายแล้ว ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปเด็ดขาด”
ฮี้!
กุบกับ! กุบกับ! กุบกับ!
เสียงร้องของอาชาตัวใหญ่ดังขึ้นจากทางด้านหลัง สวีจือเหิงจึงหันกลับไปมอง แลเห็นหลู่อวี้โจวกำลังควบม้าตรงดิ่งเข้ามาทางเขา
“หลู่กั๋วกง!” ชายหนุ่มขบกรามแน่นจนเห็นสันนูนเด่นชัด ชื่อของใครบางคนที่หลุดออกมาจากปากของสวีจือเหิงทำให้ก้อนเนื้อในอกซ้ายของหยางเสี่ยวเหมยเต้นแรงขึ้นมาทันใด ทว่าสวีจือเหิงกลับรีบสวมหน้ากากคืนดังเดิมและบังคับม้าให้พุ่งทะยานไปข้างหน้าเพื่อหนีหลู่อวี้โจวที่กำลังไล่ล่าติดตามมาจากทางด้านหลัง
