บทที่ 6 ยังอยากตายอยู่หรือไม่!
หยางเสี่ยวเหมยขยับเปลือกตาไปมา ก่อนที่เปลือกตาจะค่อยๆเปิดขึ้น แต่แล้วดวงตาคู่สวยก็เบิกกว้างขึ้นด้วยความดีใจที่เห็นบรรยากาศรอบตัวที่แสนคุ้นตา
“ข้า เอ๊ย ฉันกลับมาที่โลกเดิมแล้วเหรอ” หญิงสาวปรบมือพร้อมกระโดดโลดเต้นไปมาด้วยความดีใจ แต่แล้วเมื่อหันไปยังเตียงกว้างกลับต้องชะงักไปในทันที เมื่อเห็นร่างของอันอันที่นอนอย่างสงบนิ่งอยู่บนเตียง
หญิงสาวจึงส่งสายตามองมายังร่างของตนพร้อมกับวิ่งไปยังกระจก แต่กลับเห็นแค่เพียงความว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่เงาคนในกระจกแต่อย่างใด
“หมายความว่าอย่างไรกัน” หยางเสี่ยวเหมยพึมพำเสียงเบา ไม่นานก็ได้ยินเสียงรถกู้ชีพวิ่งเข้ามาจอดพร้อมกับกลุ่มคนที่วิ่งขึ้นมาบนบ้านของนาง ที่หน้าประตูปรากฏพี่มะนาวผู้จัดการคนสนิทกำลังยืนร้องไห้อยู่
“โธ่ อันอันไม่น่าจากพี่ไปเร็วอย่างนี้เลย” มะนาวมองตามร่างของดาราสาวที่ถูกยกหามออกไปจากประตู เมื่อเห็นเช่นนั้นก็เข้าใจได้ทันทีว่าตัวของนางในโลกปัจจุบันไม่ได้มีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว
“พี่บอกแล้วว่าให้เพลาๆเรื่องอ่านนิยายซะบ้าง เป็นไงล่ะทีนี้เธอไม่ยอมฟังพี่ นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอจนตายซะอย่างนั้น” มะนาวตัดพ้อเสียงสั่น ทว่าไม่นานเธอก็ถูกเชิญให้ลงไปข้างล่างติดตามร่างของอันอันไปที่โรงพยาบาล
ตอนนี้บนห้องนอนจึงเหลือเพียงแค่ความว่างเปล่า แข้งขาของหยางเสี่ยวเหมยอ่อนแรงลงทันใดค่อยๆทรุดลงไปนั่งพื้น ทรวงอกอวบค่อยๆหอบสะท้านขึ้นลง จากนั้นจึงเปล่งเสียงกรีดร้องออกมาดังลั่น
“ไม่จริงงง!”
เฮือก!
ร่างบางผวาลุกขึ้นนั่งอยู่บนเตียง ทว่ากลับขยับตัวได้เพียงแค่เล็กน้อย หยางเสี่ยวเหมยจึงผินหน้าหันไปมองยังแขนทั้งสองข้างของตัวเองพบว่ามันถูกทับด้วยศีรษะเล็กๆของหลู่โจวหลินและหลู่ฟู่หลินคนละข้าง
หญิงสาวจึงค่อยๆขยับแขนออกจากศีรษะเล็กที่โดนเจ้าก้อนกลมทั้งสองครอบครองอยู่ ครั้นเมื่อเห็นหลู่ฟู่หลินขยับกายนางก็รีบหยุดนิ่งด้วยเกรงว่าจะทำให้เจ้าก้อนแป้งตื่น
ครั้นเมื่อเป็นอิสระจึงหย่อนฝีเท้าลงและเดินตรงไปยังหน้าต่างที่เปิดอ้าออก มือบางยกขึ้นปิดหน้าพร้อมเปล่งเสียงสะอึกสะอื้นออกมาเบาๆ ในตอนนี้นางรู้ความจริงแล้วว่าต่อให้นางทำให้วิญญาณออกจากร่างของหยางเสี่ยวเหมยได้ แต่ก็ไม่อาจกลับไปยังร่างเดิมที่เป็นอันอันนางเอกแนวหน้าของประเทศในโลกปัจจุบันได้อีกแล้ว ในเมื่อตอนนี้อันอันได้ตายไปแล้ว
สุดท้ายนางคงต้องยอมรับความจริงสินะว่านับจากนี้ต้องใช้ชีวิตอยู่ในร่างของหยางเสี่ยวเหมยตลอดไปตราบจนสิ้นอายุขัย
“เฮ้อ” หญิงสาวทอดถอนลมหายใจออกมาด้วยความกลัดกลุ้ม ตามเนื้อเรื่องในนิยาย หยางเสี่ยวเหมยจะตรอมใจจนล้มป่วยและสิ้นใจไปในเวลาหนึ่งปีนับจากวันนี้ ทว่านางจะไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นหรอก ในเมื่อได้เข้ามาอยู่ในร่างของหยางเสี่ยวเหมย นางเองก็รักชีวิตของตัวเองเช่นกัน ฉะนั้นแล้วนางจะต้องรักษาชีวิตของนางเอาไว้ให้จงได้!
หยางเสี่ยวเหมยคิดอย่างหมายมาด ก่อนจะหมุนกายหันหน้ากลับมา แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งโหยงขึ้นอย่างแรงด้วยความตกใจ เมื่อเห็นร่างสูงของใครบางคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง
“กะ กรี๊..!”
ก่อนที่นางจะได้ร้องออกมาจนเต็มเสียง มือใหญ่ก็โผเข้ามาปิดปากของนางเอาไว้เสียก่อน
หมั่บ!
“อย่าโวยวายไป เดี๋ยวลูกตื่น” ดวงตาดุดันจ้องมองไปยังร่างเล็กทั้งสองที่นอนอยู่บนเตียงหลังใหญ่เล็กน้อยและหันมาจับจ้องคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าอีกหน เมื่อเห็นหยางเสี่ยวเหมยผงกศีรษะรับ เขาจึงลดมือลงจากปากบาง
“ออกไปคุยกับข้าข้างนอก” น้ำเสียงของหลู่อวี้โจวกลับมาแข็งกระด้างเช่นเดิม จากนั้นจึงก้าวเดินออกไปจากห้องโดยมีร่างเล็กเดินตามออกไปอย่างติดๆ
หลู่อวี้โจวพาหยางเสี่ยวเหมยเดินออกมาถึงระเบียงกว้างที่ทอดยาวไปจนถึงสวนบุปผชาติ สายลมพัดโชยผ่านมาปะทะผิวกายให้ความรู้สึกเย็นสบายแต่ไม่ได้ทำให้ความร้อนรุ่มในจิตใจของหยางเสี่ยวเหมยคลายลงได้เลย กระทั่งเขาพานางเดินไปหยุดอยู่ที่ริมระเบียง ที่ตรงนั้นมีบุรุษร่างสูงผู้หนึ่งยืนอยู่ หากจำไม่ผิดหยางเสี่ยวเหมยจำได้ว่าเขาคือหูเซียวองครักษ์ผู้ติดตามคนสนิทของพระเอกหลู่อวี้โจวนั่นเอง ถัดจากหูเซียวนั้นคือจินหนิงสาวใช้คนสนิทของนาง
“กั๋วกงเรียกข้าออกมาคุยเช่นนี้ มีธุระอะไรกับข้างั้นหรือเจ้าคะ” หยางเสี่ยวเหมยเอียงคอมองคนตัวโตที่ยืนหันหลังให้ด้วยความสงสัย ทว่าเพียงแค่นางพูดจบประโยคก็ต้องอุทานขึ้นมาเสียงดังด้วยความตกใจ เมื่อปลายกระบี่แหลมคมตวัดฟันฉั่บผ่านเส้นผมยาวของนางไปอย่างรวดเร็วทำให้ผมของนางร่วงผล็อยลงสู่พื้นดิน
“ว้าย!” หยางเสี่ยวเหมยขาสั่นพั่บๆด้วยความหวาดกลัว ปากบางเผยออ้าค้างด้วยความตื่นตะลึง รับรู้ได้ถึงฟันขาวที่กำลังกระทบกันดังกึกๆ ขณะที่ดวงตาจดจ้องไปยังปลายกระบี่แหลมที่ชี้มาหานางด้วยความหวาดกลัว
“เจ้ายังอยากตายอยู่อีกหรือไม่!” ถามเสียงเหี้ยม แววตาดุดันไม่ละเว้นผู้ใด
“ไม่แล้ว ข้าไม่อยากตาย ข้าอยากมีชีวิตอยู่ กั๋วกงอย่าได้ถือสาเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้าเลยนะเจ้าคะ” หยางเสี่ยวเหมยยกมือขึ้นไหว้อย่างปลกๆ จริงอยู่ที่ก่อนหน้านี้นางร่ำร้องหาความตาย นั่นเป็นเพราะคิดว่าความตายจะช่วยนำพาให้นางกลับโลกเดิมได้ แต่หลังจากที่ได้รู้ความจริงว่านางไม่สามารถกลับโลกเดิมได้แล้วจึงเปลี่ยนความคิดไปแล้วไงเล่า
หลู่อวี้โจวเห็นเช่นนั้นจึงลดปลายกระบี่ลงพร้อมกับเดินเข้ามาใกล้
“ต่อไปนี้หากเจ้าร่ำร้องหาความตาย ข้าจะช่วยสงเคราะห์ให้ หากแต่ว่า…” ชายหนุ่มจงใจเว้นคำพร้อมลากเสียงยาว จากนั้นจึงตวัดสายตาไปหาจินหนิงที่กำลังยืนมองด้วยความเป็นห่วงเจ้านายสาว เมื่อนั้นหูเซียวจึงเดินเข้ามาจ่อปลายกระบี่ไปที่ลำคอของจินหนิงอีกคน
“นายท่าน ฮึก” จินหนิงเปล่งเสียงร้องไห้โฮ รู้สึกหวาดกลัวไม่น้อยที่จู่ๆก็โดนหูเซียวทำท่าจะสังหารตน
“กั๋วกงอย่าทำอะไรจินหนิงนะเจ้าคะ” หยางเสี่ยวเหมยรีบหันมาขอร้องคนตัวโต เสียงของนางทำให้หลู่อวี้โจวละสายตาจากจินหนิงหันมาสบตากับนางแทน
“หากแต่ว่าถ้าเจ้าตาย สาวใช้ของเจ้าก็ต้องตายตามเจ้าไปด้วย”
วาจาของเขาทำให้คนฟังนึกอยากร้องไห้ออกมาดังๆเสียเหลือเกิน อันที่จริงก็พอรู้อยู่บ้างแม้ว่าหลู่กั๋วกงจะเป็นพระเอกในนิยาย แต่นิสัยร้ายกาจไม่ต่างอะไรไปจากตัวร้ายดีๆนี่เอง ในนิยายกล่าวถึงนิสัยของหลู่อวี้โจวว่าเขาไม่เคยละเว้นผู้ใด มีเพียงแค่นางเอกไต้ลี่ผิงนั่นแหละที่เป็นคนเดียวที่เขายอมอ่อนให้นางในทุกๆเรื่อง หยางเสี่ยวเหมยลอบเบ้ปากด้วยความหมั่นไส้ แต่เมื่อเห็นว่าเขากำลังมองนางอยู่จึงรีบเปลี่ยนสีหน้าอย่างรวดเร็ว
“ข้าขออภัยกั๋วกงที่สร้างความวุ่นวาย แต่ข้าขอสัญญาว่าต่อไปนี้ข้าจะเป็นเด็กดี เชื่อฟังท่านทุกเรื่องดีหรือไม่เจ้าคะ” หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ ส่งสายตามองคนตรงหน้าอย่างออดอ้อน หมายจะให้เขาเห็นใจ นางยอมลงให้เขาถึงเพียงนี้แล้ว เขาคงจะเมตตาสงสารนางบ้างแหละ
หลู่อวี้โจวขยับยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย จากนั้นจึงเก็บกระบี่ที่ข้างเอวเช่นเดิม หูเซียวเองก็เช่นกัน ในตอนนั้นที่หยางเสี่ยวเหมยเห็นจินหนิงร่วงผล็อยลงไปนั่งบนพื้นราวกับใบไม้ร่วง นางจึงรีบปรี่เข้าไปหาประคองสาวใช้ที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่กับที่ ไม่ยอมขยับตัว หยางเสี่ยวเหมยคิดว่าจินหนิงคงจะยังตกใจกับเหตุการณ์เฉียดตายที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ไม่หายกระมัง
ทว่าก่อนที่หลู่อวี้โจวจะจากไป เขาได้หันกลับมาเอ่ยกับนางอีกหน
“ต่อไปนี้เจ้าจงย้ายกลับมาอยู่ที่เรือนใหญ่ ดูแลลูกๆให้ดี หากข้ารู้ว่าเจ้าปล่อยปละละเลยไม่ดูแลลูก ต่อให้เจ้าจะเป็นมารดาของโจวหลินและฟู่หลิน ข้าก็จะไม่ละเว้นให้เจ้าเช่นกัน” กล่าวจบเขาก็สาวเท้าเดินจากไปพร้อมกับหูเซียว
ทั้งหยางเสี่ยวเหมยและจินหนิงหันมาสบตากันอย่างไม่ได้นัดหมาย ยามนี้หยางเสี่ยวเหมยรู้แล้วว่าการเอาชีวิตรอดที่จวนสกุลหลู่นั้นไม่ง่าย หากโตขึ้นไปทั้งหลู่โจวหลินและหลู่ฟู่หลินก็จะกลายไปเป็นตัวร้ายซึ่งเป็นเนื้อเรื่องในภาคต่อไปของนิยายเรื่องนี้ ฉะนั้นแล้วนางจะต้องดูแลเจ้าก้อนแป้งฝาแฝดทั้งสองคนให้ดี ไม่ให้โตขึ้นไปเป็นตัวร้ายและมีจุดจบที่ไม่ดีอย่างในนิยายให้จงได้ ทว่าคนอย่างนางไม่ยอมอยู่ใต้บังคับบัญชาของหลู่กั๋วกงตลอดไปหรอก สักวันหนึ่งหากเขาแต่งคุณหนูสกุลไต้เข้ามาที่จวนตามเรื่องราวในนิยาย เมื่อนั้นนางคงตกกระป๋องอย่างแน่นอน
เพราะหากอิงตามในนิยาย หลังจากที่ไต้ลี่ผิงแต่งเข้าสกุลหลู่ นางสามารถมัดใจของหลู่โจวหลินและหลู่ฟู่หลินได้จนอยู่หมัด เจ้าก้อนกลมทั้งสองไม่ถามหาคนเป็นมารดาตัวจริงอย่างหยางเสี่ยวเหมยอีกเลย แต่ถึงกระนั้นเมื่อโตขึ้นเจ้าก้อนกลมทั้งสองคนก็พบความจริง จึงเปลี่ยนจากรักใคร่เป็นเกลียดมารดาเลี้ยงอย่างไต้ลี่ผิงจนเข้าไส้ ทำให้เกิดภาคต่อเป็นภาคของเหล่าตัวร้ายหลู่โจวหลินและหลู่ฟู่หลินในตอนที่เติบโตขึ้นนั่นเอง ซึ่งนางก็ยังอ่านไม่จบหรอกเพราะได้ทะลุมิติเข้ามาในนิยายเรื่องนี้เสียก่อน
หญิงสาวคิดว่าหากนางหมดประโยชน์กับเจ้าก้อนกลมแล้วคงมิวายโดนฮูหยินผู้เฒ่าเยว่เฉียวกำจัดทิ้งเป็นแน่ ส่วนหลู่กั๋วกงเองก็คงจะลุ่มหลงแม่ดอกบัวขาวไต้ลี่ผิงจนไม่สนใจไยดีนางอีกต่อไป
‘ข้าไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นหรอก’ ก่อนที่หยางเสี่ยวเหมยจะสิ้นใจภายในหนึ่งปีข้างหน้า นางจะต้องหาทางหย่าขาดจากหลู่กั๋วกงให้จงได้!
กฏหมายของแคว้นเป่ย หากสามีภรรยาหย่าขาดจากกันจะให้อภิสิทธิ์มารดาเป็นคนเลี้ยงดูบุตร นางจะพาเจ้าก้อนแป้งทั้งสองคนกลับไปยังแดนเหนือ บ้านเกิดของหยางเสี่ยวเหมย ที่ตรงนั้นมีหยางเสี่ยวฉือผู้เป็นพ่ออยู่ ถึงแม้เผ่าจ้านเหอจะเป็นเพียงชนเผ่าเล็กๆ แต่ฐานะบุตรสาวประมุขของเผ่าก็ทำให้นางมีชีวิตอย่างสุขสบายไม่แพ้คุณหนูที่เกิดจากตระกูลขุนนางแม้แต่น้อย
