บทที่ 3 สองแฝดแห่งจวนสกุลหลู่
หลู่อวี้โจวเดินขึ้นบันไดกลับมายังเรือนใหญ่ ตลอดทางล้วนตกอยู่ในความเงียบ หูเซียวเองก็ไม่ได้เอื้อนเอ่ยวาจาใดออกมา นอกจากส่งสายตามองไปยังเจ้านายหนุ่มด้วยความเห็นใจ หลู่กั๋วกงเพิ่งกลับมาจากราชการจากแดนใต้ ตลอดสองปีที่ผ่านมาแทบไม่เคยได้อยู่ติดจวนล้วนต้องเดินทางอยู่เสมอ จากเดิมที่ความสัมพันธ์ของหลู่กั๋วกงกับหยางฮูหยินที่เต็มไปด้วยความเฉยชายิ่งก่อเกิดกำแพงหนาขวางกั้นคนทั้งสองเอาไว้มากกว่าเดิม
หลู่อวี้โจวทอดถอนลมหายใจออกมาเบาๆ กลับมาที่เมืองหลวงครานี้ เขาได้ยินว่าหยางเสี่ยวเหมยขอย้ายลงไปอยู่ที่เรือนเล็ก เดิมทีเขารู้สึกสงสัยไม่น้อย ครั้นพอสอบถามจากมารดา ฮูหยินผู้เฒ่าได้บอกว่านางรักความสุขสบาย ไม่อยากดูแลหลู่โจวหลินและหลู่ฟู่หลิน อันที่จริงชายหนุ่มไม่ค่อยอยากเชื่อเท่าใดนัก แต่เมื่อวันก่อนเขาได้สอบถามจากนาง นางกลับบอกว่าที่ฮูหยินผู้เฒ่าผู้เป็นแม่สามีนั้นบอกกับเขาล้วนเป็นเรื่องจริง ไหนจะคำยืนยันจากบรรดาสาวใช้ในจวนที่พูดเป็นเสียงเดียวกันว่านางไม่เคยสนใจดูแลลูกๆ มีแต่รักความสะดวกสบายทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าต้องรับเจ้าก้อนกลมทั้งสองมาดูแลด้วยตัวเอง
แล้วเหตุใดจู่ๆ วันนี้นางถึงได้ลุกขึ้นมาร้องโวยวายเช่นนั้น อีกทั้งยังพูดจาลามปามถึงฮูหยินผู้เฒ่ามารดาของเขาอีกด้วย
“หยางเสี่ยวเหมยเจ้าต้องการอะไรจากข้ากันแน่” ชายหนุ่มพึมพำเสียงเบา ครุ่นคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยความสับสน แต่เมื่อรู้ตัวอีกทีก็ก้าวมาหยุดอยู่ที่เรือนประจิมอันเป็นที่อยู่ของฮูหยินผู้เฒ่าเสียแล้ว
เสียงหัวเราะด้วยความสดใสที่ดังมาจากข้างหลังประตูทำให้ปากหยักแย้มยิ้มขึ้นเบาๆ ก่อนที่ประตูจะถูกผลักให้เปิดออกเผยให้เห็นร่างเล็กกลมป้อมทั้งสองที่กำลังหยอกล้อกันอย่างมีความสุข
“ท่านพ่อ!”/“ท่านพ่อมาแล้ว!” เจ้าก้อนแฝดขานเรียกผู้เป็นพ่อด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้ว ดวงตากลมโตทั้งสองคู่เบิกกว้างขึ้นมากกว่าเดิม รีบวางของเล่นที่ทำจากไม้สลักลงบนพื้นอย่างไม่ไยดี ทั้งๆที่เมื่อครู่ยังเล่นมันอย่างสนุกสนานอยู่เลย
“โจวหลิน ฟู่หลินลูกพ่อ” หลู่อวี้โจวย่อกายลงนั่งคุกเข่า อ้าแขนออกกว้างรอรับร่างเล็กที่กำลังวิ่งลิ่วเข้ามาหา ครั้นเมื่อหลู่โจวหลินและหลู่ฟู่หลินวิ่งเข้ามาหาพร้อมใช้มือกอดคอผู้เป็นพ่อเอาไว้ เขาจึงค่อยๆลุกขึ้นยืนโดยยังคงอุ้มเจ้าก้อนนุ่มอยู่ในอ้อมแขน
“ท่านพ่อคิดถึง” หลู่ฟู่หลินซบใบหน้าลงบนไหล่หนากล่าวด้วยน้ำเสียงออดอ้อนราวกับลูกแมวน้อยก็มิปาน
“พ่อก็คิดถึงฟู่หลิน” หลู่อวี้โจวตอบบุตรสาว ใบหน้าและรอยยิ้มเต็มไปด้วยความอ่อนโยนซึ่งเขาไม่เคยแสดงสีหน้าและน้ำเสียงเช่นนี้กับผู้ใดมาก่อน ยกเว้นแค่เพียงกับเจ้าก้อนนุ่มทั้งสองคนเท่านั้น
“ข้าก็คิดถึงท่านพ่อ” หลู่โจวหลินเห็นน้องสาวฝาแฝดอ้อนท่านพ่อหลู่อวี้โจว เขาก็ยอมไม่ได้ รีบใช้มือเล็กๆจับแก้มสากของผู้เป็นพ่อให้หันมาหาตนแทน
“พ่อก็คิดถึงลูกเช่นกัน”
เด็กน้อยเปล่งเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอย่างอารมณ์ดี เมื่อปากหยักของผู้เป็นพ่อกดลงบนแก้มนุ่มของเขาทำให้ไรหนวดถูไถไปที่แก้มให้ความรู้สึกจั๊กจี้เป็นอย่างมาก
หลังจากที่ปล่อยให้พ่อลูกได้ทักทายหยอกล้อกันอยู่พักใหญ่ เยว่เฉียวที่ยืนยิ้มกว้างมองสามคนพ่อลูกอย่างเงียบๆจึงค่อยเดินเข้ามา เสียงเรียกของมารดาทำให้หลู่อวี้โจวละความสนใจจากเจ้าก้อนกลมหันมาสบตากับมารดาแทน
“โจวเอ๋อร์กลับมาแล้วหรือ วันนี้จะค้างที่เรือนประจิมกับโจวหลินและฟู่หลินหรือไม่”
“ชิงชิงพาโจวหลินกับฟู่หลินออกไปเล่นข้างนอกก่อนเถิด ข้ามีเรื่องจะคุยกับฮูหยินผู้เฒ่า” หลู่อวี้โจวหันมาสั่งสตรีที่มีนามว่าชิงชิง
“เจ้าค่ะนายท่าน” สาวใช้ควบตำแหน่งพี่เลี้ยงของเจ้าแฝดรับคำอย่างนอบน้อม หลังจากที่หลู่อวี้โจววางเด็กๆทั้งสองคนลง นางจึงปรี่เข้าไปหาพร้อมกับจับมือของเด็กๆเอาไว้และพาเดินออกไปจากประตู
“คุณชายกับคุณหนูไปวิ่งเล่นกับชิงชิงข้างนอกก่อนนะเจ้าคะ”
“ไปๆ จับผีเสื้อ” หลู่ฟู่หลินกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ
“ข้าจะจับนก” หลู่โจวหลินรีบวิ่งไปคว้ากระบี่เล่มเล็กที่ทำจากไม้สลักขึ้นมาพลางวิ่งกลับมาหาชิงชิงอย่างร่าเริง
คล้อยหลังจากที่ชิงชิงพาเจ้าก้อนแป้งทั้งสองคนจากไปแล้ว หลู่อวี้โจวจึงหันมาประสานสายตากับมารดา ใบหน้าของเขาเรียบเฉยไม่บ่งบอกถึงความรู้สึกใด ขณะที่เยว่เฉียวมองบุตรชายด้วยความสงสัย อีกทั้งยังรู้สึกหวั่นใจไม่น้อย
หลังจากที่สามีของนางจากไป หลู่อวี้โจวจึงได้ขึ้นเป็นใหญ่แทนบิดา ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในจวนล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของเขา แม้ว่านางจะเป็นมารดาของเขาก็ยังต้องเกรงใจบุตรชายของตน
“วันนี้ข้าเห็นเสี่ยวเหมยกำลังจะปลิดชีพของนาง”
แววตาของเยว่เฉียวสั่นไหวไปมาเล็กน้อยราวกับว่าประโยคที่ได้ยินเมื่อครู่นั้นสร้างความดีใจให้กับนาง หากแต่เมื่อเห็นว่าบุตรชายกำลังจับจ้องมาที่ตน นางจึงรีบเปลี่ยนสีหน้าด้วยความรวดเร็ว
“ตายจริง! ตอนนี้เสี่ยวเหมยเป็นอย่างไรบ้าง โธ่เอ๋ย ลูกสะใภ้ของข้า ไยถึงได้คิดสั้นเช่นนี้” เยว่เฉียวแสร้งยกมือขึ้นทาบอก กล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นตกใจเป็นอย่างมาก
“ตอนนี้นางปลอดภัยแล้ว ข้ากระโดดลงไปช่วยนางขึ้นมาจากใต้น้ำได้ หาไม่โจวหลินและฟู่หลินคงได้สูญเสียมารดาไปเป็นแน่” หลู่อวี้โจวตอบคำถามของมารดา สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าดูขัดใจไม่น้อย หากแต่นางต้องเก็บซ่อนความไม่พอใจเอาไว้ภายใน แต่กระนั้นก็ยังแอบกล่าวโทษบุตรชายอยู่ โอกาสทองมาถึงแล้ว เหตุใดหลู่อวี้โจวถึงไม่รีบคว้าเอาไว้ หากไม่มีหยางเสี่ยวเหมย เส้นทางความรักของหลู่อวี้โจวและไต้ลี่ผิงก็จะสมหวัง เหมือนดั่งที่นางปรารถนาอยากได้บุตรสาวตระกูลไต้มาเป็นสะใภ้
“ดีจริงๆ แม่โล่งใจยิ่งนักที่รู้ว่านางไม่เป็นอะไรมาก”
“ท่านแม่เป็นห่วงนางหรือขอรับ”
“ห่วงสิ นางคือลูกสะใภ้ของแม่ทั้งคนนะ ถึงแม้ว่าที่ผ่านมานางจะไม่เคยเห็นหัวของแม่ก็ตาม” เยว่เฉียวทำหน้าตาน่าสงสารหมายจะทำให้บุตรชายเห็นใจ ด้วยที่ผ่านมานางให้สาวใช้ร่วมมือใส่ร้ายให้หยางเสี่ยวเหมยดูเป็นคนร้ายกาจในสายตาของหลู่อวี้โจวมาโดยตลอด หวังจะให้เขาชิงชังนาง
คำตอบของมารดาทำให้หลู่อวี้โจวเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย หากแต่สำหรับคนมองกลับรู้สึกร้อนๆหนาวๆพิกล บุตรชายคนนี้เก็บความรู้สึกได้เก่งยิ่งนัก แม้ปากจะยิ้มหากแต่ไม่มีผู้ใดรู้ได้ว่าแท้จริงแล้วเขาคิดสิ่งใดอยู่
“แต่หลังจากที่ลูกสอบถามนาง เสี่ยวเหมยบอกว่าเมื่อหนึ่งปีก่อนท่านแม่บังคับให้นางย้ายไปอยู่ที่เรือนเล็กเพื่อพรากลูกไปจากนางนะขอรับ”
“ไม่จริง! สตรีผู้นั้นร้ายกาจยิ่งนัก นางกล้าใส่ร้ายแม่เช่นนี้ได้อย่างไร” ฮูหยินผู้เฒ่าส่ายศีรษะไปมาอย่างแรง ปรี่เข้าไปจับแขนกำยำของบุตรชาย ครั้นเมื่อเห็นแววตาเรียบเฉยที่มองมาทำให้นางรู้สึกหวาดหวั่นมากกว่าเดิม พยายามยกเหตุผลต่างๆขึ้นมาอ้างหวังให้หลู่อวี้โจวเชื่อวาจาที่นางพูด
“โจวเอ๋อร์อย่าได้หลงเชื่อนางเป็นอันขาด มีแต่นางนั่นแหละที่รักความสบาย ไม่สนใจไยดีโจวหลินกับฟู่หลิน แม่เป็นแม่ของเจ้า เป็นย่าของเด็กๆมีเหตุผลอะไรที่ต้องคอยขัดขวางไม่ให้หลานทั้งสองคนเจอท่านแม่ของพวกเขาเล่า”
หลู่อวี้โจวมองคนเป็นแม่ด้วยแววตาผิดหวัง ยามนี้เขาไม่อยากเชื่อในสิ่งที่มารดาพูดอีกต่อไปแล้ว เริ่มคิดได้ว่าที่ผ่านมาอาจเป็นเขาเองที่โดนหลอก ส่วนหยางเสี่ยวเหมยก็เป็นเพียงแค่เหยื่อที่โดนใส่ร้ายให้กลายเป็นคนร้ายกาจในสายตาของเขา ทว่าอย่างไรก็ตาม เขาจะยังไม่ปักใจเชื่อฝ่ายใดง่ายๆ จนกว่าจะพิสูจน์จนแน่ใจว่าผู้ใดเป็นฝ่ายพูดความจริง
“โจวเอ๋อร์ เจ้าต้องเชื่อแม่นะ…” เยว่เฉียวยังกล่าวไม่ทันจบประโยค เสียงร้องไห้จ้าของหลู่โจวหลินก็ดังขึ้น เพียงแค่ได้ยินเสียงร้องของบุตรชาย หลู่อวี้โจวก็ไม่รอช้ารีบสาวเท้าออกจากห้องตรงไปยังต้นเสียง โดยมีฮูหยินผู้เฒ่าเร่งฝีเท้าตามไปอย่างติดๆเช่นกัน
ยิ่งเดินเข้ามายังบริเวณสวนบุปผชาติ ยิ่งได้ยินเสียงร้องไห้ดังขึ้นมากกว่าเดิม หัวอกของผู้เป็นพ่อร้อนรนด้วยความเป็นห่วงเจ้าก้อนกลมจนสุดหัวใจ ภาพที่เห็นตรงหน้าทำเอาหลู่อวี้โจวถึงกับใจหายวาบ หลู่โจวหลินนั่งก้นจ้ำเบ้าอยู่บนพื้นทั้งยังเปล่งเสียงร้องไห้งอแง โดยมีชิงชิงและบรรดาสาวใช้คอยปลอบประโลมไม่ห่าง
“เกิดอะไรขึ้น” เยว่เฉียวถามเสียงดัง ดวงตาเหลือบมองไปยังหัวเข่าของหลานชายที่ปรากฏรอยถลอกพร้อมโลหิตสีแดงที่ไหลซึมออกมา
“พวกเจ้าปล่อยให้โจวหลินหกล้มได้อย่างไร” ฮูหยินผู้เฒ่าตวัดสายตามองสาวใช้และชิงชิง พวกนางจึงรีบก้มหน้างุดด้วยความหวาดกลัว มีเพียงแค่ชิงชิงเท่านั้นที่กล้าเปิดปากตอบ
“คุณชายกำลังวิ่งเล่นไล่จับ แต่วิ่งเร็วไปหน่อยเลยเผลอสะดุดขาตัวเองล้มเจ้าค่ะ”
“พวกเจ้าไม่ได้เรื่องเสียจริง แค่เด็กสองคนยังดูแลไม่ได้ ข้าจะสั่งโบยพวกเจ้าให้หมด!” เยว่เฉียวขึงตาใส่พวกนางอีกหน
“อย่าโทษพวกนางเลยขอรับท่านแม่ เด็กๆจะหกล้มมีแผลบ้างเป็นเรื่องปกติ อีกทั้งโจวหลินยังเป็นเด็กผู้ชายอาจซนไปบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดา” หลู่อวี้โจวหันมาเอ่ยกับมารดาทำให้เยว่เฉียวเงียบไปทันที ก่อนที่เขาจะหันไปอุ้มร่างเล็กขึ้นมาแนบอก หลู่โจวหลินจึงใช้มือกอดคอผู้เป็นพ่อเอาไว้และซบหน้าลงบนไหล่แกร่งของเขาพลางเปล่งเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้น
ดวงตาคู่คมกวาดมองหาร่างเล็กของบุตรสาว ทว่าพบเพียงแค่ความว่างเปล่า เมื่อนั้นเขาจึงรับรู้ได้ถึงความผิดปกติ
