บทที่ 8 ท่านลุงขอทาน
อี๋นั่วเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัยของเจ้านาย นางก็รับรู้ได้ว่าพระชายาคงลืมเรื่องนั้นไปแล้วกระมัง แม้จะแปลกใจอยู่บ้างว่าเรื่องสำคัญถึงเพียงนั้น หากแต่พระชายาลืมไปได้อย่างไรกัน
“มีอยู่วันหนึ่ง หลังจากที่หลินฮ่องเต้ทรงประกาศสมรสพระราชทานระหว่างพระชายากับจวิ้นอ๋อง พระชายาได้รับจดหมายหนึ่งฉบับและได้ไปพบกับเจ้าของจดหมายที่ร้านลู่ปิ่งเพคะ”
อี๋นั่วหวนนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้น ฮุ่ยเจียวเจียวเดินทางไปพบเจ้าของจดหมาย โดยที่นางยืนรออยู่ข้างนอกห้องอาหาร ทว่าเพียงแค่ไม่นาน ฮุ่ยเจียวเจียวก็วิ่งหน้าตาตื่นออกมาจากภายในห้องและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สั่นไหวบอกว่าอยากกลับจวนสกุลฮุ่ยตอนนั้นเลย ท่าทีตื่นตกใจของเจ้านายทำให้อี๋นั่วอดถามไม่ได้ หากแต่ไม่ได้รับคำตอบอะไรจากฮุ่ยเจียวเจียว ทว่าหลังจากวันนั้น ฮุ่ยเจียวเจียวก็ไม่ได้รับจดหมายอีกเลยจนกระทั่งถึงวันนี้
ฮุ่ยเจียวเจียวครุ่นคิดตามคำบอกเล่าของนางกำนัลรับใช้คนสนิท ก่อนจะถามขึ้นว่า
“แล้วตอนนี้จดหมายพวกนั้นอยู่ที่ใด”
“พระชายาเก็บไว้ที่โต๊ะอ่านหนังสือที่หอนอนจวนสกุลฮุ่ยเพคะ”
ได้ยินเช่นนั้นนางจึงไม่รอช้ารีบสั่งให้อี๋นั่วไปสั่งคนเตรียมรถม้าเพื่อออกเดินทางไปยังจวนสกุลฮุ่ย ไม่ว่าอย่างไรวันนี้นางก็ต้องรู้ให้ได้ว่าบุรุษผู้นั้นคือใครและต้องการอะไรจากฮุ่ยเจียวเจียวกันแน่!
เป็นเพราะรีบร้อนออกจากวังหลวงจึงไม่ได้บอกกล่าวผู้ใด อีกทั้งนางยังออกเดินทางเป็นการส่วนตัว เพราะคิดว่าหากแจ้งความจำนงออกไปแล้ว กว่าจะได้ออกเดินทางก็คงใช้เวลาไม่น้อย ฮุ่ยเจียวเจียวเองไม่ได้ต้องการให้มีผู้ติดตามนางมากมาย คิดว่าไม่ว่านางจะทำอะไรอาจมีคนกำลังจับตาดูอยู่ หลังจากที่ได้พบบุรุษปริศนาที่หลังน้ำตกผู้นั้นทำให้นางรู้ว่าตอนนี้ชีวิตของฮุ่ยเจียวเจียวไม่ได้ปลอดภัยมากนัก นอกจากหลินจื่อมู่แล้วยังมีคนอื่นที่หวังประโยชน์จากนางอีก ต่อจากนี้ไปนางจะทำทุกอย่างลับๆเพื่อไม่ให้ผู้ใดจับความเคลื่อนไหวของนางได้
ขณะที่รถม้าเคลื่อนออกจากประตูวังหลวง ผ่านเข้าไปยังตลาด ฮุ่ยเจียวเจียวคิดว่าหากมีผู้ใดซักถาม นางจะตอบว่านางกลับมาเยี่ยมบุพการีที่จวนสกุลฮุ่ย จะไม่บอกความจริงเด็ดขาด เมื่อเป็นเช่นนี้ นางจึงคิดว่าควรจะมีของติดไม้ติดมือกลับไปที่จวนสกุลฮุ่ยเสียหน่อยเพื่อความสมจริง จึงสั่งให้อี๋นั่วบอกพลขับรถม้าหยุดรถที่ตลาด
หลังจากที่สอบถามกับอี๋นั่วจึงได้รู้ว่าฮุ่ยซือเหิงและเจียงซูถิงบุพการีของฮุ่ยเจียวเจียวชอบกินขนมเซาปิ่งไส้หมูสับเป็นอย่างมาก และมีร้านประจำที่ตลาด นางกับอี๋นั่วจึงเดินไปยังร้านขายเซาปิ่งเพื่อซื้อของติดไม้ติดมือไปฝากบิดามารดาที่จวนสกุลฮุ่ย
หากแต่ในตอนนั้นเอง ขณะที่กำลังยืนรออี๋นั่วซื้อเซาปิ่งอยู่นั้น สายตาของนางก็เหลือบไปเห็นขอทานคนหนึ่งนั่งคุดคู้อยู่ที่ข้างแผงขายผักสด เขาเป็นชายชราคนหนึ่งท่าทางน่าสงสารอยู่มาก ในโลกเดิมนอกจากสังหารคนแล้ว นางไม่เคยทำความดีสะสมแต้มบุญเลยสักหนเดียว ตอนนี้นางตั้งใจจะเปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นคนใหม่ จะไม่สังหารคนหากไม่เป็นจำเป็น และจะทำความดีสะสมเอาไว้เยอะๆ
เมื่อคิดได้เช่นนั้น ฮุ่ยเจียวเจียวจึงไม่รอช้ารีบเดินตรงเข้าไปหาชายชรา ฝ่ายชายชราเห็นสตรีวัยกำดัดผู้หนึ่งเดินมาหย่อนกายลงนั่งคุกเข่าที่เบื้องหน้าของเขา เขาก็เงยหน้าขึ้นสบสายตากับนางด้วยความแปลกใจ
“ท่านลุง ข้าให้ท่านเก็บไว้เอาไปซื้อข้าวกินนะ” หญิงสาวยื่นส่งถุงเงินถุงใหญ่ให้กับชายชรา ในถุงเงินมีจำนวนเงินอยู่หลายชั่งจนรู้สึกได้ถึงน้ำหนักที่แสนหนักอึ้งของมัน
“ไม่มากไปหรือแม่หนู” เสียงแหบห้าวถาม สายตาของเขาเต็มไปด้วยความลังเลว่าจะรับหรือไม่รับไว้ดี
“ท่านลุงรับไปเถอะ เงินนี่ไม่ใช่เงินของข้าหรอก แต่เป็นเงินของสามีของข้า ถึงแม้เขาจะนิสัยไม่ค่อยดีแต่ก็เป็นคนรวยมาก เงินแค่นี้ขนหน้าแข้งของเขาไม่ร่วงหรอก” ฮุ่ยเจียวเจียวพยักหน้าให้ชายชรา เขาจึงค่อยๆยื่นมือเข้ามารับถุงเงินจากนาง หากแต่ไม่วายยังแสดงความห่วงใยต่อสตรีรุ่นลูก
“ที่บอกว่าสามีของแม่หนูนิสัยไม่ดี เขาตบตีหรือทำร้ายร่างกายเจ้าหรือ”
ฮุ่ยเจียวเจียวได้ยินเช่นนั้นก็ยกมือขึ้นโบกไม้โบกมือเป็นเชิงปฏิเสธ
“ไม่ใช่หรอกเจ้าค่ะ เขาแค่คิดจะสังหารข้าเท่านั้นเอง แต่เขาไม่สังหารข้าในตอนนี้หรอก ท่านลุงอย่าได้เป็นห่วงไปเลย ข้าไปล่ะ” เอ่ยจบร่างบางก็ลุกขึ้นเดินกลับไปหาอี๋นั่วที่จ่ายเงินซื้อของเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขณะที่ชายชราขอทานมองตามฮุ่ยเจียวเจียวไปอย่างอึ้งๆ ความสัมพันธ์ของสามีภรรยาคู่นี้แปลกพิลึกชอบกล ทว่านางกลับพูดออกมาได้อย่างหน้าตาเฉย ไม่รู้สึกหวาดกลัวบ้างเลยหรืออย่างไรกัน ฝ่ายสามีก็อำมหิตเป็นอย่างมาก คิดที่จะสังหารสตรีตัวเล็กๆเช่นนี้ได้อย่างไรกัน บุตรชายตระกูลไหนกันนะที่โหดเหี้ยมได้ถึงเพียงนี้
คล้อยหลังจากที่ฮุ่ยเจียวเจียวจากไปแล้ว ชายขอทานวัยชราจึงลุกขึ้นเดินกลับไปยังทางด้านหลังของตลาด ทันทีที่พ้นสายตาของผู้คน จากที่เดินหลังคร่อมขากะเผลกในตอนแรกก็กลับกลายเป็นปกติ ครั้นเมื่อเดินไปถึงจุดหมายก็ขานเรียกใครบางคนทันที
“เฉิงหาน”
เพียงแค่ขานเรียกชื่อองครักษ์คนสนิท จากข้างกายที่เคยว่างเปล่าก็ปรากฏร่างสูงของเจ้าของชื่อมาปรากฏตัวขึ้นทันใด
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
“เจ้าไปสืบให้ข้าทีว่าเด็กสาวคนนั้นเป็นสะใภ้ของตระกูลใด” หลินเต๋อจินยอมรับว่ากังวลใจกับนางอยู่มาก หลังจากที่เขาปลอมตัวเป็นขอทานมานั่งอยู่ตรงนี้เป็นเวลากว่าหนึ่งชั่วยามเพื่อสังเกตชีวิตผู้คนในเมืองหลวง มีผู้คนมากหน้าหลายตาสัญจรผ่านไปมา แต่กลับไม่มีผู้ใดให้ค่ากับชีวิตขอทานเลยแม้แต่น้อย มีเพียงแค่นางที่ก้าวเข้ามาและหยิบยื่นความใจดีให้ เขารู้สึกถูกชะตากับเด็กสาวคนนั้นอยู่มาก แต่เกิดจากความเอ็นดูหาใช่ความปรารถนาเชิงชู้สาวแต่อย่างใด
องครักษ์คู่ใจตอบรับคำสั่งของนายเหนือหัวอย่างหนักแน่น ก่อนจะกระโดดขึ้นต้นไม้หายไป ทว่าใช้เวลาไม่ถึงสองเค่อเขาก็กลับมา
“ว่าอย่างไรบ้าง” เสียงทรงอำนาจถามขึ้น หากรู้ว่านางเป็นสะใภ้ของตระกูลใดแล้ว เขาคงไม่ลังเลที่จะช่วยเหลือนางให้รอดพ้นจากสามีอำมหิตที่คิดชั่วสังหารภรรยาของตนได้ลงคอ
“นางมีนามว่าฮุ่ยเจียวเจียว เป็นบุตรสาวของสกุลฮุ่ยที่ฝ่าบาททรงประทานสมรสพระราชทานให้นางกับหลินจื่อมู่อ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
คำตอบขององครักษ์คนสนิททำให้คิ้วดาบของโอรสสวรรค์ขมวดเข้าหากันเป็นปมแน่น แท้ที่จริงแล้วสามีอำมหิตของนางก็คือโอรสของเขาเองหรอกหรือ มิหนำซ้ำยังเป็นเขาเองที่เป็นผู้ประทานสมรสพระราชทานให้ ช่างเป็นเรื่องที่บังเอิญมากเสียจริง!
ทางด้านฮุ่ยเจียวเจียวที่เดินทางมายังจวนสกุลฮุ่ย วันนี้ทั้งฮุ่ยซือเหิงและเจียงซูถิงบุพการีทั้งสองคนของนางต่างอยู่จวนทั้งคู่ เมื่อพวกเขาเห็นนางมาเยือนที่จวนก็พากันดีใจเป็นอย่างมาก ทว่าแม้จะดีใจแต่ลึกๆแล้ว ฮุ่ยซือเหิงก็อดเป็นกังวลไม่ได้ บุตรสาวของเขาอภิเษกกับหลินจื่อมู่อ๋องได้เพียงแค่ไม่กี่วันก็กลับมาเยือนบ้านเดิมเสียแล้ว ไม่รู้ว่าคนทั้งคู่นั้นมีปัญหาอะไรกันอยู่หรือไม่
ฮุ่ยซือเหิงรู้ดีอยู่แก่ใจว่าหลินจื่อมู่อ๋องหาได้รักใคร่หรือปรารถนาในตัวของฮุ่ยเจียวเจียว ทว่าเป็นเพราะสมรสพระราชทานที่ผูกมัดคนทั้งสองเข้าด้วยกัน แม้เขาจะเป็นถึงขุนนางขั้นหนึ่งข้างกายของหลินเต๋อจินฮ่องเต้ แต่ก็ไม่อาจขัดขวางพระราชโองการของฮ่องเต้ได้แต่อย่างใด
เขาและเจียงซูถิงมีฮุ่ยเจียวเจียวเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียว นางเป็นดั่งแก้วตาดวงใจของสกุลฮุ่ย เขาจึงกังวลเรื่องการอภิเษกในครั้งนี้อยู่มาก ทุกๆวันจึงได้แต่สวดภาวนาอธิษฐานขอพรต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ชีวิตคู่ของหลินจื่อมู่อ๋องและฮุ่ยเจียวเจียวเป็นไปด้วยดีและอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข
“ท่านพ่อ ข้าเพียงแค่คิดถึงท่านกับท่านแม่เท่านั้นจึงกลับมาเยี่ยมเยียน ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับจวิ้นอ๋องหรอกเจ้าค่ะ” ฮุ่ยเจียวเจียวรับรู้ได้ถึงความกังวลใจของบิดา นางจึงเอื้อมไปจับมือของเขาขึ้นมาพลางส่งยิ้มให้ วาจาของนางทำให้ผู้เป็นพ่อมีสีหน้าดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สนทนากันอยู่พักใหญ่ นางจึงขอกลับไปที่หอนอนของตน
ทันทีที่มาถึง ฮุ่ยเจียวเจียวก็รีบตรงดิ่งไปยังโต๊ะหนังสือ เมื่อเปิดลิ้นชักไม้ออกทำให้พบจดหมายหลายฉบับวางอยู่ภายในจึงรีบเปิดออกอ่านอย่างไม่รีรอ พบว่าลายมือในจดหมายเป็นลายมือเดียวกันกับจดหมายที่นางได้รับในวันนี้ จึงทำให้นางรู้ได้ทันทีว่าเจ้าของจดหมายทุกฉบับที่เคยส่งให้ฮุ่ยเจียวเจียวนั้นเป็นคนเดียวกัน หากแต่เขาใช้นามแฝงให้นางกำนัลรับใช้เรียกแทนตนว่า ‘ฮูหยิน’ เพื่อไม่ให้ผู้อื่นสงสัยว่าฮุ่ยเจียวเจียวแอบลักลอบคบหาบุรุษอื่น
“ถ้าหลินจื่อมู่รู้ว่านางแอบคบหากับบุรุษอื่น เขาต้องไม่ปล่อยนางไว้เป็นแน่” ฮุ่ยเจียวเจียวพึมพำด้วยความกลัดกลุ้มใจ เพียงแค่นึกถึงหน้าดุๆของคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นพระสวามี นางก็รู้สึกขนลุกซู่อย่างบอกไม่ถูกแล้ว
ทว่าในจดหมายไม่ได้ระบุตัวตนของชายปริศนาผู้นั้น นางจึงไม่อาจรู้ได้ว่าแท้จริงแล้วเขาเป็นใครกันแน่ หญิงสาวเม้มริมฝีปากเข้าหากันอย่างคนกำลังครุ่นคิด จึงได้ข้อสรุปว่าตอนนี้ควรจะต้องรีบกลับไปยังวังหลวงเสียก่อน ก่อนที่หลินจื่อมู่จะรู้ว่านางหายออกไปจากตำหนัก หากแต่ในตอนที่ฮุ่ยเจียวเจียวกำลังจะเดินออกไปจากโต๊ะหนังสือก็ได้สะดุดอะไรบางอย่างทำให้นางเซถลาจนเกือบล้ม เมื่อหันไปมองจึงพบแผ่นไม้ที่วางอยู่บนพื้นแง้มอ้าออกจากกัน ดูเหมือนว่ามันจะเป็นที่เก็บของลับๆของฮุ่ยเจียวเจียวตัวจริง!
