บทที่ 9 เป็นเพียงละครฉากหนึ่ง
ฮุ่ยเจียวเจียวเห็นเช่นนั้นก็ไม่รีรอที่จะรีบตรงดิ่งเข้าไปเปิดมันออก หากแต่ภายใต้แผ่นไม้นั้นไม่มีสิ่งใดนอกจากหนังสือเล่มหนึ่งวางอยู่ หญิงสาวหยิบหนังสือเล่มนั้นขึ้นมาก่อนจะเปิดออกอ่านพบว่ามันเป็นสมุดบันทึกของฮุ่ยเจียวเจียวตัวจริงนั่นเอง
ร่างบางหย่อนกายนั่งลงไปบนพื้น พลิกหน้ากระดาษไปมาอ่านอย่างตั้งใจ เนื้อหาในสมุดบันทึกนั้นถูกเขียนขึ้นด้วยลายมือของฮุ่ยเจียวเจียว ส่วนใหญ่มีเนื้อหาตัดพ้อถึงหลินยวี่หาน หากแต่ในหน้าสุดท้ายกลับทำให้ฮุ่ยเจียวเจียวเบิกตากว้าง เมื่อได้อ่านเนื้อความที่เจ้าของร่างได้เขียนเอาไว้
หลินเทาอ๋องเคยเรียกฮุ่ยเจียวเจียวไปพบที่ร้านอาหารลู่ปิ่ง…
หญิงสาวหวนนึกถึงเรื่องที่อี๋นั่วบอกนางว่าเจ้าของจดหมายเคยนัดพบกับฮุ่ยเจียวเจียวที่ร้านลู่ปิ่ง ฉะนั้นก็หมายความว่าเจ้าของจดหมายฉบับนี้ก็คือหลินเทาเองหรอกหรือ!
ฮุ่ยเจียวเจียวอ้าปากค้างอย่างอึ้งๆ ทว่านางไม่แปลกใจเท่าใดนักหากจะเป็นหลินเทาอ๋องหรือองค์ชายสิบเอ็ดในหลินเต๋อจินฮ่องเต้ หากอิงตามเรื่องราวในนิยาย บุรุษผู้นี้เป็นตัวการในการก่อกบฏครั้งใหม่และโยนความผิดไปให้กบฏแคว้นชิว หากแต่เขาซ่อนความร้ายกาจเอาไว้ได้อย่างแนบเนียน กระทั่งวันหนึ่งความเคียดแค้นชิงชังในใจของหลินจื่อมู่ได้ทวีพูนเพิ่มมากขึ้น เขาจึงใช้เพลิงแค้นของหลินจื่อมู่ในการดึงหลินจื่อมู่เข้าร่วมกับแผนการก่อกบฏ
หากแต่สุดท้ายกลับโดนพระเอกหลินยวี่หานขัดขวาง เขาจึงโยนความผิดไปให้หลินจื่อมู่ หลังจากที่หลินยวี่หานสังหารหลินจื่อมู่ ความจริงทุกอย่างเปิดเผยว่าหลินเทาก็เป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลัง เขาจึงหลบหนีการจับกุมของทางการ หากแต่สุดท้ายก็ไปไม่รอด เมื่อหลินยวี่หานตามจับเขากลับมาได้สำเร็จ ตอนจบของนิยายเรื่องนี้หลังจากที่หลินยวี่หานสถาปนาตนเองขึ้นครองราชย์ก็ได้สั่งประหารหลินเทา
ก๊อกๆๆ!
“พระชายาเพคะ” เสียงของอี๋นั่วที่ดังขึ้นอยู่หน้าประตูทำให้คนที่กำลังครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในนิยายหลุดจากภวังค์ นางจึงตะโกนออกไปถามอี๋นั่ว ฟังจากน้ำเสียงของนางกำนัลรับใช้คนสนิทแล้ว ดูเหมือนว่าจะเกิดเรื่องอะไรบางอย่างขึ้น
“จวิ้นอ๋องเสด็จมาที่จวนสกุลฮุ่ยเพคะ”
คำตอบของอี๋นั่วทำให้คนฟังเลิกคิ้วขึ้นทันใด หลินจื่อมู่น่ะหรือที่เสด็จมายังจวนสกุลฮุ่ยของนาง เขามาทำอะไรที่นี่กัน...
ทว่าเพียงแค่ก้าวเดินไปยังห้องรับรองแขก ความสงสัยที่มีในตอนแรกของฮุ่ยเจียวเจียวก็มลายหายไปจนหมดสิ้น เมื่อได้ยินท่านแม่เจียงซูถิงบอกว่า
“จวิ้นอ๋องทรงมีความห่วงใยเลยเสด็จมารับพระชายากลับวังหลวงด้วยกัน”
ฮุ่ยเจียวเจียวได้ยินเช่นนั้น นางอยากจะร้องว่า ‘แหมม’ ออกมาจริงๆ เขาไม่ได้มีความห่วงใยนางจริงๆหรอก นางคิดว่าเป็นเพราะเขาระแวงว่านางจะคิดแผนหักหลังเขาไปอยู่ฝ่ายเดียวกับหลินยวี่หานต่างหาก เขาจึงไม่ยอมปล่อยให้นางคลาดสายตา
“จวิ้นอ๋องมีความห่วงใยหม่อมฉันถึงเพียงนี้ หม่อมฉันดีใจมากเหลือเกินเพคะ” ฮุ่ยเจียวเจียวแสร้งทำเป็นฉีกยิ้มกว้างพลางก้าวเข้าไปหาคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสวามี ก่อนจะหย่อนกายนั่งลงอยู่เบื้องหน้ารถเข็นของเขา
น้ำเสียงที่หวานหยดย้อยของคนตัวเล็กทำให้หลินจื่อมู่กระตุกมุมปากยกยิ้มขึ้นเบาๆ หากแต่เมื่อเงยหน้าขึ้นเห็นสายตาสองคู่ของฮุ่ยซือเหิงและเจียงซูถิงที่กำลังมองมา เขาจึงแสร้งทำเป็นยกมือขึ้นลูบเรือนผมนุ่มของนางไปมา
“เราเป็นสามีภรรยากัน ข้าก็ต้องรักใคร่ดูแลเจ้าเป็นอย่างดี”
“จวิ้นอ๋องใจดียิ่งนัก หม่อมฉันรักตายเลยเพคะ” หญิงสาวกัดฟันเอ่ย นึกหมั่นไส้ในท่าทีตีสองหน้าของเขามากเหลือเกิน
“พระชายาไม่ต้องรีบตายไปหรอก เราจะอยู่ด้วยกันอย่างนี้ไปตราบนานเท่านาน” แม้จะกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ทว่าแววตากลับตรงกันข้ามกับวาจาที่เขาเอื้อนเอ่ยขึ้นมา
ฮุ่ยเจียวเจียวแค่นยิ้มหยัน ดวงตาสองคู่มองประสานกันอย่างไม่มีใครยอมใคร จนกระทั่งได้ยินเสียงกระแอมดังขึ้นมาเบาๆของฮุ่ยซือเหิง คนทั้งสองจึงผละออกจากกัน ก่อนที่ฮุ่ยเจียวเจียวจะขอตัวกลับวังหลวง
ฮุ่ยเจียวเจียวโดยสารรถม้าคันเดิมกลับ ทว่าแตกต่างจากครั้งแรกที่นั่งมา เพราะครั้งนี้มีหลินจื่อมู่นั่งไปด้วย หญิงสาวลอบส่งสายตามองไปยังคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามหลายต่อหลายครั้ง เห็นเขาเอาแต่นั่งคอตรงผินหน้ามองออกไปยังนอกหน้าต่างจนนางรู้สึกปวดคอแทน
“ข้ารู้ว่าข้ามีใบหน้าที่หล่อเหลา แต่เจ้าไม่จำเป็นต้องนั่งจ้องข้าตลอดเวลาเช่นนั้นก็ได้” น้ำเสียงแหบห้าวดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ ฮุ่ยเจียวเจียวได้ยินเช่นนั้นจึงกลอกตามองบนด้วยความหมั่นไส้ เป็นเรื่องจริงอยู่หรอกที่เขาหล่อ หากแต่นางไม่ได้จดจ้องเขาตลอดเวลาเช่นนั้นเสียหน่อย
“จวิ้นอ๋องเสด็จมารับหม่อมฉันกลับวังหลวง มิใช่ว่ากำลังมีใจให้หม่อมฉันอยู่หรือเพคะ” หญิงสาวตอบกลับด้วยน้ำเสียงยียวน
“เจ้าหลงตัวเองเกินไปแล้ว หัวใจของข้ามีไว้มอบให้กับคนที่คู่ควรเท่านั้น ที่ข้ามารับเจ้าเป็นเพราะข้าไม่ไว้ใจเจ้าต่างหาก” เพราะรู้ว่าฮุ่ยเจียวเจียวมีใจให้กับหลินยวี่หานอยู่มาก ใช่ว่านางอภิเษกกับเขาไปแล้วจะตัดใจจากหลินยวี่หานได้ง่ายๆเสียหน่อย ฉะนั้นแล้ว เขาต้องจับตาดูนางอย่างไม่ให้คลาดสายตา หากรู้ว่านางคิดทรยศหักหลังเขาไปอยู่ฝั่งเดียวกับหลินยวี่หานจะได้กำจัดนางได้ทันการณ์ เขาไม่นิยมเลี้ยงงูพิษไว้ข้างกายหรอก!
ฮุ่ยเจียวเจียวได้แต่นั่งกำมือแน่น นึกอยากตะบันกำปั้นใส่ปากเขาเหลือเกิน หากแต่ยังไม่ได้ทำดั่งที่ใจคิด รถม้าที่นั่งมาก็เซถลาไหลตกลงไปยังข้างทางเสียก่อน
“คุ้มกันจวิ้นอ๋องกับพระชายา” เสียงของรั่วหมิงตะโกนขึ้นดังลั่น ทว่าเพียวแค่ชั่วอึดใจเดียวฮุ่ยเจียวเจียวก็ได้ยินเสียงคมอาวุธกำลังปะทะกันดังมาจากภายนอก
“พวกมือสังหาร!” หลินจื่อมู่กัดฟันจนได้ยินเสียงกรอด รู้สึกเจ็บใจไม่น้อยที่โดนลอบทำร้ายเช่นนี้ หากแต่ว่าวาจาของเขาไม่ได้ทำให้คนที่ได้ยินรู้สึกแปลกใจนัก หลินจื่อมู่เคยสร้างศัตรูไว้ตั้งหลายคน ทว่านางไม่รู้ว่าจะเป็นคนจากฝ่ายไหนก็เท่านั้นเอง
แอ๊ด!
ประตูรถม้าถูกกระชากให้เปิดออกจากกัน หลินจื่อมู่จึงคว้าหมั่บไปที่กระบี่ที่เหน็บอยู่ข้างเอวออกมา ทว่ายังไม่ทันที่จะได้บั่นคอของคนร้าย เขาก็ต้องชะงักไปเสียก่อนเมื่อเห็นร่างของมันหงายหลังล้มตึงไปนอนจมกองเลือดอยู่บนพื้นเสียแล้ว และสิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจเป็นอย่างมาก นั่นคือกริชเงินเปื้อนเลือดที่ฮุ่ยเจียวเจียวถืออยู่ในมือ นางเป็นคนสังหารคนร้ายด้วยน้ำมือของนางเอง!
“ต้องหนีแล้วล่ะเพคะ” ดวงตาคู่งามกวาดมองไปรอบๆ พบว่าพวกมือสังหารมีเยอะหลายสิบคน นางคิดว่าพวกมันมุ่งหมายเอาชีวิตของหลินจื่อมู่อย่างแน่นอน ทหารที่ติดตามหลินจื่อมู่คงรั้งพวกมันได้แค่ในระยะเวลาเพียงสั้นๆเท่านั้น
“ข้าจะไม่ทอดทิ้งทหารของข้าเป็นอันขาด” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเหี้ยมพร้อมถลาลงไปจากรถม้า นักรบเช่นเขาไม่ได้หวาดกลัวต่อความตาย แต่จะไม่ยอมทอดทิ้งผู้ใดเป็นอันขาด ฮุ่ยเจียวเจียวได้แต่ยกมือขึ้นกุมขมับ ไยตัวร้ายหลินจื่อมู่ดื้อดึงถึงเพียงนี้กันนะ
“หม่อมฉันรู้ว่าท่านอ๋องเป็นคนเก่ง หากแต่อย่าลืมสิเพคะว่าทรงมีหม่อมฉันอยู่ด้วย หากเกิดอะไรขึ้นมา จวิ้นอ๋องทรงรับผิดชอบชีวิตหม่อมฉันไหวหรือเพคะ” เมื่อไม่รู้ว่าจะยกเหตุผลอะไรมาเรียกร้องให้เขาหนี นางจึงแสร้งทำตัวอ่อนแอบีบน้ำตาเรียกร้องความเห็นใจจากเขาแทน
“เช่นนั้นเจ้าก็หนีไปสิ” ชายหนุ่มตอบอย่างไม่ใส่ใจนักและทำท่าจะก้าวเดินเข้าไปยังกลุ่มมือสังหารอย่างลืมตัวว่าตนแสร้งพิการอยู่ พวกมันกล้ามุ่งหมายเอาชีวิตเขา เขาจะเป็นคนปลิดชีพพวกมันเอง!
“ไหนท่านอ๋องทรงบอกว่าเราจะอยู่ด้วยกันไปตราบนานเท่านานอย่างไรล่ะเพคะ” ฮุ่ยเจียวเจียวตะโกนตามหลังของชายหนุ่มไป ทำให้ขายาวของเขาชะงักไปเล็กน้อย เมื่อหันกลับมาแลเห็นมือสังหารคนหนึ่งกำลังเล็งคมธนูมายังฮุ่ยเจียวเจียวอยู่
ใช่ว่าหญิงสาวจะไม่รู้ตัว นางเห็นมันเล็งปลายแหลมของคมธนูมายังนางตั้งแต่แรกแล้ว หากแต่ที่ไม่ทำอะไรก็เพราะจะให้หลินจื่อมู่ตัดสินใจ หากเขาไม่หันกลับมาช่วยนาง อย่างน้อยนางก็แค่สิ้นชีพไปอีกครั้งเท่านั้นเอง
ดวงตาคู่คมฉายชัดถึงความลังเลอยู่ไม่น้อย เขาหันไปมองเหล่าทหารองครักษ์ของเขาสลับกับฮุ่ยเจียวเจียวในเสี้ยววินาทีหนึ่ง หลินจื่อมู่ขบกรามแน่นจนเห็นสันนูนเด่นชัด สบถออกมาเบาๆ จากนั้นจึงวิ่งไปคว้าร่างบางมากอดไว้ในอ้อมแขนหลบคมธนูที่แล่นฉิวพุ่งตรงมายังฮุ่ยเจียวเจียวได้อย่างฉิวเฉียด
“จวิ้นอ๋องทรงรีบพาพระชายาหนีไปก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ” รั่วหมิงตะโกนขึ้นบอกเจ้านายหนุ่ม สีหน้าของเต็มไปด้วยความกังวลใจไม่น้อย ยามนี้ความลับเรื่องขาของหลินจื่อมู่อ๋องไม่เป็นความลับอีกต่อไปแล้ว เพราะพวกมือสังหารได้เห็นแล้วว่าเขาไม่ได้พิการจริงๆ
หลินจื่อมู่คว้ามือบางขึ้นมา จากนั้นจึงพาคนตัวเล็กวิ่งหลบไปอีกทางด้านหนึ่ง พวกมือสังหารเห็นเป้าหมายก็ไม่รอช้ารีบตามพวกเขาไปอย่างรวดเร็ว
