บทที่ 6 นางร้ายจะไม่ทน
“คุณหนูสกุลฮุ่ยนั่นก็อีกคน น่าสมเพชนางเหลือเกิน ที่ต้องมาแต่งงานกับองค์ชายพิการอย่างจวิ้นอ๋อง ข้ารู้มาว่าท่อนล่างของจวิ้นอ๋องใช้การไม่ได้ไม่ใช่หรือ” นางกำนัลที่เป็นคนเปิดประเด็นเอ่ยขึ้นอีกหนพลางหันไปหัวเราะคิกคักกับสหายของตน พวกนางคิดว่าภายในห้องหนังสือแห่งนี้มีเพียงแค่พวกนางสามคนอยู่ตามลำพังจึงนินทากันอย่างสนุกปาก หารู้ไม่ว่าภายในห้องมีบุคคลอื่นได้ยินวาจาของพวกนางเต็มสองหู
ฮุ่ยเจียวเจียวรู้สึกโมโหแทนหลินจื่อมู่ไม่น้อย นางคิดว่าหากปล่อยไว้เช่นนี้ต่อไปคงไม่ดีแน่ การที่นางกำนัลพวกนี้นินทาเจ้านายอย่างสนุกปาก ไม่ให้เกียรติแก่ทายาทของโอรสสวรรค์ หากไม่สั่งสอนให้พวกนางรู้สำนึก ต่อไปหลินจื่อมู่ก็คงต้องถูกพวกนางนินทาอยู่เรื่อยๆ เมื่อคิดได้เช่นนั้น มือบางจึงเอื้อมไปคว้าหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมา ก่อนจะปามันออกไปกลางวงสนทนาอย่างแรงทำให้เหล่านางกำนัลต่างพากันวิ่งหนีแตกกระเจิงไปคนละทิศละทางด้วยความตกใจ
“พวกเจ้ากล้าพูดจาถึงจวิ้นอ๋องเสียๆหายๆเช่นนี้เชียวหรือ!” เสียงของฮุ่ยเจียวเจียวตวาดแว้ดดังลั่นพร้อมกับก้าวออกมาจากหลังชั้นหนังสือ กวาดสายตามองไปยังเจ้าของบทสนทนาทั้งสามคนอย่างเอาเรื่อง
บรรดาเหล่านางกำนัลเมื่อเห็นผู้มาใหม่พลันหน้าถอดสีกันไปทั้งแถบรีบกุลีกุจอยอบกายคารวะฮุ่ยเจียวเจียวกันยกใหญ่ และคิดว่ายามนี้พระชายาควรจะอยู่ในห้องโถงรับรองแขกมิใช่หรือ เหตุใดนางถึงมาอยู่ที่นี่ได้กันเล่า
“กฏของแคว้นลู่ นางกำนัลที่กล้าพูดจานินทาให้ร้ายเจ้านายต้องโดนน้ำร้อนกรอกปากและโดนตัดลิ้น ใครจะอาสาเป็นคนที่โดนก่อนคนแรก เจ้า...เจ้า หรือว่าเจ้า!” ท้ายประโยค ฮุ่ยเจียวเจียวจงใจตะคอกขึ้นมาเสียงดัง ทำให้พวกนางสะดุ้งโหยงขึ้นพร้อมกับปล่อยโฮออกมาเสียงดังลั่น รีบพากันคุกเข่าโขกศีรษะลงไปบนพื้นกันยกใหญ่
“หม่อมฉันขออภัยเพคะจะไม่ทำเช่นนี้อีกต่อไปแล้วเพคะ”
“พระชายาโปรดอภัยให้กับความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของพวกหม่อมฉันด้วยเถิดเพคะ”
“ได้โปรดเถิดเพคะพระชายา ฮือออ”
พวกนางพากันเปล่งเสียงร้องไห้แข่งกันจนฮุ่ยเจียวเจียวต้องยกมือขึ้นมาปิดหูข้างหนึ่ง ส่ายศีรษะไปมาด้วยความเอือมระอา ตอนทำนั้นไม่คิดหน้าคิดหลังให้ดีก่อน ทว่าตอนนี้กลับมาขอให้คนอื่นเห็นใจ หนำซ้ำยังเป็นคนที่พวกนางเพิ่งนินทาจบไปหยกๆอีกด้วย
“ได้... ข้าจะไม่ทูลเรื่องนี้ให้จางฮองเฮาและจวิ้นอ๋องทรงทราบ หากแต่พวกเจ้าต้องยอมให้ข้าลงโทษ” ฮุ่ยเจียวเจียวยกยิ้มขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์ วาจาของนางทำให้นางกำนัลทั้งสามคนหันมาสบตากันด้วยความแปลกใจ ยิ่งได้เห็นรอยยิ้มของพระชายาฮุ่ยเจียวเจียวแล้ว ยิ่งทำให้พวกนางรู้สึกไม่ไว้ใจเท่าใดนัก
“ลงโทษอย่างไรหรือเพคะ”
“ข้าจะตบปากพวกเจ้าเป็นการลงโทษ” ฮุ่ยเจียวเจียวยกมือขึ้นกอดอก แต่เมื่อเห็นว่าพวกนางพากันเงียบไป นางจึงยักไหล่ขึ้นพร้อมทำท่าจะเดินออกไปจากห้อง
“หากพวกเจ้าไม่ตกลง ข้าคงต้องทูลให้จวิ้นอ๋องกับจางฮองเฮาทรงทราบ” นางว่านางใจดีมากแล้วนะ แต่ถ้าพวกนางกำนัลไม่ยอมรับ นางก็คงจำเป็นต้องบอกให้หลินจื่อมู่ทราบ
“ได้เพคะ พระชายาลงโทษพวกหม่อมฉันได้เลยเพคะ” พวกนางรีบเอ่ยขึ้นก่อนที่ฮุ่ยเจียวเจียวจะเดินออกไปจากห้อง คิดว่าโดนตบก็ยังดีกว่าโดนตัดลิ้นเป็นไหนๆ พระชายาฮุ่ยเจียวเจียวคงไม่มีเรี่ยวแรงมากพอที่จะตบจนพวกนางลิ้นหลุดออกมาหรอก
ฮุ่ยเจียวเจียวได้ยินเช่นนั้นจึงยกยิ้มขึ้นเบาๆที่มุมปาก จากนั้นจึงสั่งให้นางกำนัลทั้งสามคนลุกขึ้นยืนเรียงแถวหน้ากระดาน จากนั้นจึงยกมือขึ้นฟาดลงไปบนแก้มของพวกนางทั้งสามคนพร้อมกันจนหน้าหันข้างเสียงดังเพี้ยะติดกันถึงสามหน!
แรงฝ่ามือของฮุ่ยเจียวเจียวส่งผลให้ฟันของพวกนางหลุดกระเด็นออกมาจากปากคนละซี่ เหล่านางกำนัลต่างพากันตกใจเป็นอย่างมาก ได้แต่ยืนกุมหน้าร้องไห้ด้วยความตกใจ
“โทษที ข้ามือหนักไปหน่อย แต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่าโดนตัดลิ้นไม่ใช่หรือ” หญิงสาวเปล่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ พวกปากพล่อยก็ต้องโดนเช่นนี้ เหล่านางกำนัลได้ยินเช่นนั้นก็รีบผงกศีรษะรับอย่างเอาใจ จากนั้นจึงเดินตัวลีบทำท่าจะเดินออกไปจากประตู หากแต่ฮุ่ยเจียวเจียวกลับเดินไปขวางพวกนางเอาไว้เสียก่อน
“เดี๋ยวก่อน ข้าไม่ได้บอกว่าจะตบพวกเจ้าแค่ครั้งเดียวนี่” เอ่ยพลางยกมือขึ้น แต่ก่อนที่จะได้ฟาดฝ่ามือลงไปบนแก้มอีกข้างของพวกนางก็มีใครบางคนคว้าไปที่ข้อมือบางของนางเอาไว้เสียก่อน
ฮุ่ยเจียวเจียวรีบหันไปมองทางด้านหลังทำให้ได้เห็นบุรุษร่างสูงผู้หนึ่งยืนอยู่ เขามีหน้าตาคล้ายคลึงกับหลินจื่อมู่อยู่หลายส่วน หากแต่แววตากลับดูลุ่มลึกไม่ดุดันเท่ากับหลินจื่อมู่
“ชินอ๋องช่วยพวกหม่อมฉันด้วยเพคะ” เหล่านางกำนัลรีบพากันวิ่งไปยืนหลบอยู่ทางด้านหลังของบุรุษผู้มาใหม่
'ชินอ๋องงั้นหรือ…' ฮุ่ยเจียวเจียวคิดในใจ ก่อนที่จะทำตาโตขึ้นเล็กน้อยเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าพระเอกหลินยวี่หานนั้นมียศชินอ๋อง
หลินยวี่หานเห็นคนตรงหน้าทำตาโตก็นึกขบขันเป็นอย่างมสก หากแต่เขาเก็บซ่อนรอยยิ้มเอาไว้ภายใต้สีหน้าเรียบเฉย
“พระชายาลงโทษพวกนางตามสมควรแล้ว อีกทั้งยังเป็นความผิดครั้งแรก เห็นแก่ข้า หนนี้ปล่อยพวกนางไปได้หรือไม่”
ฮุ่ยเจียวเจียวกะพริบตาปริบๆ เมื่อตั้งสติได้จึงรีบดึงข้อมือบางออกจากการเกาะกุมของเขา นางมาที่นี่ไม่ได้ตั้งใจที่จะสร้างศัตรูกับผู้ใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพระเอกหลินยวี่หาน เพราะนางคิดว่าหากเปลี่ยนใจตัวร้ายหลินจื่อมู่ได้สำเร็จ ภายภาคหน้าบุรุษทั้งสองคนต้องถ้อยทีถ้อยอาศัยกันในการปกครองบ้านเมืองแคว้นลู่
หากอิงตามเรื่องราวในนิยาย หลังจากที่ตัวร้ายหลินจื่อมู่แย่งชิงบัลลังของหลินเต๋อจินฮ่องเต้ได้สำเร็จ เขาได้ทำการสังหารหลินลู่ติงไท่จื่อ โอรสองค์โตของจางฮองเฮา ทว่าหลังจากที่หลินยวี่หานทำการยคดบัลลังก์คืนและได้สังหารหลินจื่อมู่ในภายหลัง เขาจึงกลายมาเป็นผู้สืบทอดบัลลังก์มังกรทองแทน หากแต่ว่าฮุ่ยเจียวเจียวไม่แน่ใจเท่าใดนักว่าถ้าเกิดเปลี่ยนใจหลินจื่อมู่ได้สำเร็จ หลินลู่ติงไท่จื่อไม่โดนสังหาร หลินยวี่หานก็จะไม่ได้ขึ้นครองบัลลังก์แคว้นลู่ และหากเรื่องราวเปลี่ยนแปลงไปเช่นนี้จะส่งผลต่อชีวิตของผู้คนในนิยายอย่างไรบ้าง
“พระชายาเป็นอะไรหรือไม่ ไยถึงเงียบไปเล่า” น้ำเสียงนุ่มทุ้มดังขึ้นอีกหน เมื่อเห็นนางยืนนิ่งอยู่นานสองนาน ไม่ยอมเอื้อนเอ่ยวาจาใดออกมาสักที เสียงของหลินยวี่หานทำให้ฮุ่ยเจียวเจียวได้สติ นางจึงรีบส่ายศีรษะไปมาเป็นการปฏิเสธ
“หม่อมฉันเห็นแก่ชินอ๋องหรอกนะ หนนี้จะยอมปล่อยพวกนางไปก่อนก็แล้วกัน แต่ถ้าหากไม่หลาบจำยังทำเช่นนี้เป็นหนที่สอง หม่อมฉันคงต้องกราบทูลให้จางฮองเฮากับจวิ้นอ๋องทรงทราบ”
“พระชายาใจดียิ่งนัก ว่าแต่ว่ามาทำอะไรที่ห้องหนังสือกันเล่า” เสียงของหลินยวี่หานแผ่วลงในตอนท้าย แววตาลุ่มลึกบ่งบอกว่ารู้ทันนางเป็นอย่างดี
คำถามของเขาทำให้ฮุ่ยเจียวเจียวย่นหัวคิ้วเข้าหากันมุ่น จะบอกว่าปีนหน้าเข้ามาก็กระไรๆอยู่ ใครจะไปยอมรับความจริงกัน ไม่มีทางเสียหรอก
“หม่อมฉันเดินหลงมาทาง ขอตัวก่อนนะเพคะ” ร่างบอบบางยอบกายลงคารวะคนตัวโตกว่า อย่างไรหลินยวี่หานก็มียศเป็นถึงชินอ๋อง อีกทั้งยังถือว่าเป็นพี่เขยของนางอีกด้วย
“พระชายาไปผิดทางแล้ว ไม่ใช่ว่าท่านขึ้นมาจากทางนั้นหรอกหรือ”
วาจาของหลินยวี่หานทำให้คนที่กำลังจะเดินออกไปจากประตูหยุดฝีเท้าลงพร้อมหมุนกายหันกลับมาอีกหน ทำให้ได้เห็นว่าเขากำลังชี้นิ้วไปยังหน้าต่างบานใหญ่ที่นางปีนขึ้นมาในตอนแรก
“ชินอ๋องทรงเข้าใจผิดแล้ว หม่อมฉันจะขึ้นมาจากทางนั้นได้อย่างไรกัน” หญิงสาวปฏิเสธเสียงแข็งจากนั้นจึงก้าวออกไปจากห้องอย่างรวดเร็วจึงไม่ได้เห็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความขบขันของหลินยวี่หาน อีกทั้งยังแฝงไปด้วยความแปลกใจอยู่มาก ที่ผ่านมาในยามที่พบเจอกัน ฮุ่ยเจียวเจียวมักจะแสดงความห่วงใยต่อเขาเสมอ เขารู้ว่านางมีใจให้ ทว่าไม่อาจยอมรับความปรารถนาดีจากนางได้ เขาจึงหลีกเลี่ยงการพบเจอกับนางเสมอมา เพราะไม่อยากเห็นนางร้องไห้ตัดพ้อเขาทั้งน้ำตาว่าเหตุใดเขาถึงไม่รักนาง
ทว่าหนนี้ที่ได้พบเจอกัน นางกลับเว้นระยะห่างจากเขาอย่างชัดเจน สายตาของนางที่มองมาทำเหมือนว่าไม่เคยรู้จักกันมาก่อน หากจะบอกว่าเป็นเพราะนางอภิเษกไปกับหลินจื่อมู่ก็ไม่น่าใช่ นางจะมีเหตุผลอะไรที่ทำตัวเหมือนไม่รู้จักกับเขากันเล่า หลินยวี่หานครุ่นคิดด้วยความประหลาดใจ
ฮุ่ยเจียวเจียวเดินมาจนพ้นสายตาของหลินยวี่หาน จากนั้นนางจึงรีบเดินกลับไปยังเกี้ยวที่รออยู่หน้าประตูทางเข้าตำหนักจูฉิง ได้เห็นว่ายามนี้หลินจื่อมู่กับอี๋นั่วได้รอนางอยู่ที่เกี้ยวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่มีคำใดหลุดออกมาจากปากของหลินจื่อมู่ เขาเพียงแค่ปรายตามองนางเล็กน้อยเท่านั้น หญิงสาวรู้สึกเสียดายไม่น้อยที่วันนี้นางไม่รู้ว่าหลินจื่อมู่สนทนาเรื่องใดกับจางฮองเฮา เพราะดันเข้าห้องผิดเสียก่อน ฮุ่ยเจียวเจียวทอดถอนลมหายใจออกมาอย่างเซ็งๆ ได้แต่เดินคอตกไปขึ้นเกี้ยว จากนั้นเกี้ยวของคนทั้งสองก็ได้เคลื่อนออกไปจากตำหนักจูฉิงของจางฮองเฮาตรงกลับไปยังตำหนักอ๋องเช่นเดิม
