บทที่ 5 เยือนตำหนักฮองเฮา
เกี้ยวของหลินจื่อมู่และฮุ่ยเจียวเจียวเคลื่อนออกไปจากตำหนักอ๋องเพื่อไปยังตำหนักจูฉิงตามพระกระแสรับสั่งของจางฮองเฮา ฮุ่ยเจียวเจียวรู้สึกหนักใจเป็นอย่างมาก เพราะนางรู้ว่านอกจากความสัมพันธ์ของพ่อลูกจะเป็นไปอย่างไม่ค่อยดีนัก ความสัมพันธ์ของหลินจื่อมู่และจางซีฮองเฮาเองก็เช่นกัน...
จางฮองเฮานั้นมีศักดิ์เป็นพี่สาวต่างมารดาของจางลู่เสวียนกุ้ยเฟยพระมารดาของหลินจื่อมู่ที่เกิดจากฮูหยินใหญ่ ด้วยความริษยาหลินยวี่หานที่หลินเต๋อจินฮ่องเต้ทรงสนใจรักใคร่มากกว่าตน ความเกลียดชังที่มีบังตาทำให้เขาพาลชิงชังจางฮองเฮาไปด้วยอีกคน นอกจากนี้หลินจื่อมู่ยังคิดว่าจางฮองเฮาเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังสมรสพระราชทานของเขาและนาง โดยคิดว่าจางฮองเฮารู้ว่าเขานั้นให้ความสนใจเกาฟางเหนียง นางจึงคิดว่าหากเขาแต่งงานไปกับสตรีอื่น ก็จะไม่มีผู้ใดขัดขวางเส้นทางรักระหว่างหลินยวี่หานโอรสองค์เล็กของนางกับเกาฟางเหนียงได้ แต่ความจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ เพราะนางอ่านนิยายจนจบแล้วจึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วจางฮองเฮาทรงขอร้องให้หลินเต๋อจินฮ่องเต้มอบสมรสพระราชทานให้เขากับนางด้วยเหตุผลใด
สรุปว่าในวังหลวงแห่งนี้ หลินจื่อมู่ไม่ได้มีความสัมพันธ์อันดีกับผู้ใดเลย เขามองทุกคนเป็นศัตรู ไม่เว้นแม้แต่เจียงฮองเฮาผู้มีศักดิ์เป็นพระมาตุจฉาหรือป้าของเขานั่นเอง
หากอิงตามเรื่องราวในนิยาย ฮุ่ยเจียวเจียวรู้มาว่าจางฮองเฮาหาใช่คนร้ายกาจ มิหนำซ้ำยังรักใคร่และห่วงใยหลินจื่อมู่เป็นอย่างมาก หากแต่เขาไม่ยอมรับในความหวังดีของนาง ฮุ่ยเจียวเจียวได้แต่ทอดถอนลมหายใจออกมาเบาๆด้วยความกลัดกลุ้มใจ การจะเปลี่ยนจากตัวร้ายให้กลายเป็นคนดีนั้นช่างยากเย็นเสียเหลือเกิน
ณ ตำหนักจูฉิง
ร่างบอบบางระหงเดินเข้ามายังห้องโถงที่ใช้สำหรับรับรองแขกผู้มาเยือน แลเห็นผู้เป็นหลานชายและหลานสะใภ้นั่งรออยู่อย่างสงบภายในห้อง ปากบางจึงแย้มพระสรวลออกจากกันบางๆ เมื่อเดินเข้าไปถึงข้างใน ทั้งหลินจื่อมู่และฮุ่ยเจียวเจียวต่างพากันลุกขึ้นคารวะสตรีหงส์ ฮุ่ยเจียวเจียวแอบนึกชื่นชมจางฮองเฮาอยู่ในใจ นอกจากที่นางจะงดงามราวกับสตรีแรกรุ่นแล้ว ท่วงท่ายังองอาจสมกับเป็นหงส์เคียงบัลลังก์มังกรทองของหลินฮ่องเต้
“พวกเจ้าสองคนเหมาะสมกันราวกิ่งทองใบหยก” จางฮองเฮากล่าวคำชมออกมาจากใจ หลินจื่อมู่เป็นบุรุษที่หล่อเหลาองอาจ ขณะที่ฮุ่ยเจียวเจียวเองก็งดงามไม่แพ้สตรีใดเลย น่าเสียดาย หากหลินยวี่หานมีใจให้ฮุ่ยเจียวเจียว นางคงไม่ลังเลที่จะไปสู่ขอฮุ่ยเจียวเจียวให้กับโอรสของนาง ทว่านางไม่อยากบังคับจิตใจของผู้ใด หลินยวี่หานมีใจให้เกาฟางเหนียง นางก็ไม่คิดขัดขวางเส้นทางรักของโอรสจึงยินยอมไปสู่ขอเกาฟางเหนียงให้กับหลินยวี่หานแต่โดยดี
“ขอบพระทัยเพคะ” ฮุ่ยเจียวเจียวยิ้มรับคำชมของจางฮองเฮาด้วยความเต็มใจ แตกต่างจากอีกคนที่นั่งหน้านิ่งไม่เอื้อนเอ่ยวาจาใดออกมาสักคำ
จางฮองเฮาเห็นท่าทางของหลานชาย พระพักตร์ก็พลันเจื่อนลงไปเล็กน้อย ฮุ่ยเจียวเจียวรู้สึกเห็นใจจางฮองเฮาเป็นอย่างมาก ทว่านางคงไม่อาจบังคับใจของหลินจื่อมู่ให้ยอมรับฮองเฮาได้ภายในเวลาอันรวดเร็วเช่นนี้ แต่เพียงไม่นานจางฮองเฮาก็ยกยิ้มขึ้นมาอีกหนหนึ่ง ก่อนจะหันไปหยิบกล่องไม้ขนาดย่อมมาจากมือของนางกำนัลคนสนิทก่อนที่จะเรียกนางให้เข้าไปหา เมื่อเปิดออกจึงพบว่ามันคือแหวนทองวงหนึ่ง ในยามที่ต้องแสงไฟพลันส่องแสงประกายวิบวับออกมาสู้สายตาของคนมอง
“ฮุ่ยเจียวเจียว ข้าขอมอบแหวนวงนี้ให้กับเจ้าเป็นของขวัญในวันอภิเษกของเจ้ากับหลานชายของข้า”
“ขอบพระทัยเพคะ” ฮุ่ยเจียวเจียวส่งยิ้มกลับให้จางฮองเฮา รับแหวนทองมาด้วยความดีใจพบว่าน้ำหนักของมันไม่ใช่น้อยๆเลยทีเดียว
“พระชายาออกไปก่อน ข้ามีธุระจะสนทนากับฮองเฮาตามลำพัง” คนที่นั่งเงียบอยู่นานเอ่ยขึ้น ฮุ่ยเจียวเจียวจึงหันไปสบสายพระเนตรของจางฮองเฮาเห็นนางพยักหน้าให้เป็นเชิงอนุญาต จึงตอบรับคำก่อนจะเดินออกมาจากห้องโถงรับรองแขกตามคำสั่ง
“เจ้ามีอะไรจะพูดคุยกับป้างั้นหรือ” สตรีหงส์ผินพระพักตร์งามมาถามหลานชาย หากแต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือสายตาแห่งความเย็นชาหมางเมินของหลินจื่อมู่
“ฮองเฮาคือคนที่อยู่เบื้องหลังการอภิเษกของข้ากับบุตรสาวสกุลฮุ่ยใช่หรือไม่”
คำถามของหลานชายทำให้จางฮองเฮาเงียบไป หารู้ไม่ว่าการที่นางเงียบนั้นสามารถแทนคำตอบที่เขาสงสัยได้เป็นอย่างดี ชายหนุ่มแค่นเสียงเหอะออกมาในลำคอ เขาคิดไว้อยู่แล้วเชียวว่าเหตุใดหลินฮ่องเต้ถึงได้มอบสมรสพระราชทานให้เขาและฮุ่ยเจียวเจียว แท้ที่จริงแล้วก็เป็นเพราะจางฮองเฮาทรงทูลขอนั่นเอง
“มันไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิดนะ ป้ามีเหตุผล” จางฮองเฮาตรัสด้วยน้ำเสียงร้อนรน ดวงเนตรงามสั่นไหวไปมา
จริงอยู่ที่นางคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังการอภิเษกในครั้งนี้ หากแต่เป็นเพราะไม่ต้องการให้หลินจื่อมู่แย่งชิงเกาฟางเหนียงไปจากหลินยวี่หาน หากเกาฟางเหนียงมีใจให้หลินจื่อมู่สักนิด นางคงไม่ลังเลที่จะให้คนทั้งสองได้แต่งงานกัน แต่ความจริงแล้วเกาฟางเหนียงและหลินยวี่หานมีใจให้กัน นางไม่ต้องการให้พี่น้องต้องผิดใจกันด้วยเรื่องของสตรี อีกทั้งยังรู้ว่าความสัมพันธ์ของหลินฮ่องเต้กับหลินจื่อมู่เป็นไปอย่างไม่ค่อยดีเท่าใดนัก การที่เขาไม่เป็นที่โปรดปรานของพระบิดา ทั้งมารดายังมาด่วนจากไปทำให้อำนาจของหลินจื่อมู่ที่มีในวังหลวงลดลง และตกเป็นเป้าโจมตีของพวกขุนนางที่ไม่ได้จงรักภักดีต่อราชบัลลังก์โดยง่าย
เหตุผลที่นางเลือกให้หลินจื่อมู่อภิเษกกับฮุ่ยเจียวเจียว เป็นเพราะบิดาของนางนั้นเป็นถึงขุนนางใหญ่ขั้นหนึ่งที่หลินฮ่องเต้ทรงโปรดปรานและไว้วางใจ ต่างจากเกาฟางเหนียงที่เป็นเพียงบุตรสาวของขุนนางขั้นสาม ไม่ได้มีอำนาจมากพอที่จะหนุนหลังหลินจื่อมู่ได้ นางจึงคิดว่าการที่ให้หลินจื่อมู่อภิเษกกับฮุ่ยเจียวเจียวนั้นเป็นผลดีต่อตัวของเขามากกว่าการที่ได้อภิเษกกับเกาฟางเหนียง แต่ใครจะไปรู้ว่าความปรารถนาดีของนางจะทำให้หลินจื่อมู่เข้าใจผิดเช่นนี้
“เหตุผลของท่าน ข้าไม่อยากฟัง ข้ารู้ดีอยู่แก่ใจว่าท่านไม่ต้องการให้ข้าขัดขวางหลินยวี่หานกับเกาฟางเหนียงจึงชิงตัดไฟแต่ต้นลม มอบสมรสพระราชทานให้ข้ากับสตรีอื่น!”
สายพระเนตรของสตรีหงส์สั่นระริกไปมา นางลุกขึ้นก้าวเดินเข้ามาหาหลานชายเอื้อมมือไปกอบกุมมือหนาของเขาเอาไว้ หากแต่หลินจื่อมู่กลับสะบัดมือของนางออกอย่างแรง!
ฮุ่ยเจียวเจียวเดินออกมาจนถึงระเบียงกว้าง ที่ตรงนี้อากาศดียิ่งนัก เพราะเมื่อมองออกไปทำให้ได้เห็นวิวทิวเขาที่เรียงรายสลับทับซ้อนกันอย่างงดงาม แต่กระนั้นภาพงดงามตรงหน้าไม่ได้ทำให้ฮุ่ยเจียวเจียวสนใจเท่าใดนัก นางอยากรู้ว่าหลินจื่อมู่จะสนทนาเรื่องใดกับจางฮองเฮามากกว่าจึงคิดที่จะไปแอบฟัง เพราะถ้าหากนางถามเขามีหรือที่เขาจะยอมบอกนาง
“พระชายาจะเสด็จไปไหนหรือเพคะ” อี๋นั่วที่เดินตามเจ้านายสาวออกมาถามขึ้นด้วยความสงสัย เมื่อเห็นเจ้านายสาวเดินลงไปจากบันได อีกทั้งยังเดินอ้อมไปทางข้างหลังตำหนักจูฉิง
“อี๋นั่วเจ้าพอจะรู้หรือไม่ว่าหน้าต่างบานไหนสามารถปีนไปที่ห้องโถงรับรองได้” ฮุ่ยเจียวเจียวไม่ได้ตอบคำถามของนางกำนัลรับใช้คนสนิท แต่กลับเป็นฝ่ายยิงคำถามใส่แทน ทว่าอี๋นั่วได้แต่ส่ายศีรษะปฏิเสธไปมา นางเองก็ไม่เคยมาเยือนที่ตำหนักจูฉิงมาก่อนเช่นกัน
เมื่อเห็นอี๋นั่วปฏิเสธ ฮุ่ยเจียวเจียวก็ไม่ได้ซักไซ้อะไรต่อ นางกวาดสายตามองไปยังหน้าต่างที่เรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบและลองคิดคร่าวๆ และตัดสินใจปีนขึ้นไปยังหน้าต่างบานหนึ่ง
“ว้าย! พระชายาทรงทำอะไรเพคะ ลงมาเถิดเพคะ เดี๋ยวมีผู้ใดมาเห็นเข้านะเพคะ” อี๋นั่วร้องเสียงหลงขึ้นด้วยความตกใจเมื่อเห็นเจ้านายสาวปีนไปห้อยตัวอยู่บนขอบหน้าต่างด้วยท่าทางคล่องแคล่ว แต่มีหรือที่ฮุ่ยเจียวเจียวจะยอมฟังวาจาของนาง นอกจากจะไม่ยอมลงมาแล้วยังบอกให้อี๋นั่วดูต้นทางให้อีกด้วย
ในขณะที่อี๋นั่วได้แต่ส่งสายตามองตามร่างบางที่กระโดดหายเข้าไปยังหน้าต่างบานใหญ่ที่เปิดอ้าออกจากกัน จู่ๆนางพลันรู้สึกได้ถึงแรงสะกิดจากทางด้านหลังจึงหมุนกายหันกลับไปมอง และแล้วร่างบางก็สะดุ้งโหยงขึ้นด้วยความตกใจ ดวงตาเบิกกว้างราวกับเห็นผีก็มิปาน!
“เจ้ามายืนทำอะไรที่นี่” น้ำเสียงนุ่มทุ้มทว่าแฝงไปด้วยความเยือกเย็นดังขึ้น
อี๋นั่วทำหน้าราวกับจะร้องไห้พึมพำเรียกชื่อเจ้าของร่างสูงด้วยน้ำเสียงที่สั่นไหว
“องค์ชายยวี่หาน!”
ตุ้บ!
ร่างบางของฮุ่ยเจียวเจียวกระโดดขึ้นไปภายในห้อง แต่เห็นว่าห้องนี้ไม่ใช่ห้องโถงรับรองที่เป็นเป้าหมายในตอนแรก ดูเหมือนว่ามันจะเป็นห้องหนังสือเสียมากกว่า หญิงสาวจึงไม่คิดที่จะรั้งอยู่ต่อ หากแต่ในตอนที่กำลังหมุนกายจะกระโดดกลับไปยังทิศทางเดิมที่จากมา ประตูห้องก็ได้เปิดออกเสียก่อนทำให้ฮุ่ยเจียวเจียวต้องรีบพุ่งเข้าไปหลบอยู่หลังชั้นหนังสือด้วยความรวดเร็วแทน พร้อมกับส่งสายตาลอบมองนางกำนัลสามคนที่กำลังเดินเข้ามาในห้อง ดูเหมือนว่าพวกนางจะเข้ามาเพื่อทำความสะอาดห้องหนังสือ
“พวกเจ้าเห็นจวิ้นอ๋องเสด็จมาเยือนที่ตำหนักจูฉิงหรือไม่” นางกำนัลคนแรกเป็นผู้เปิดบทสนทนาขึ้น
“เห็นสิ บุตรสาวตระกูลฮุ่ย ไม่สิตอนนี้ต้องเรียกนางว่าพระชายาเป็นคนเข็นเข้ามาไม่ใช่หรือ”
“น่าเวทนายิ่งนัก บิดาก็ไม่รักไม่สนใจ มารดาก็มาด่วนตายจาก หนำซ้ำยังต้องกลายมาเป็นคนพิการอีกด้วย ข้าเสียดายใบหน้าหล่อเหลาของจวิ้นอ๋องมากเสียจริง”
"หากเป็นเช่นนั้น ไยเจ้าไม่เสนอตัวอภิเษกกับจวิ้นอ๋องแทนพระชายาฮุ่ยเจียวเจียวเล่า" สิ้นวาจานั้นพวกนางก็ยกมือขึ้นปิดปากพลางส่งเสียงหัวเราะคิกคักราวกับว่าเป็นเรื่องตลกที่น่าขบขันเสียเต็มประดา
"ไม่เอาหรอก ข้าไม่อยากมีสามีพิการ" นางกำนัลที่ถูกถามเบ้ปากเข้าหากัน แสดงสีหน้าที่เต็มไปด้วยความรังเกียจออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน
ฮุ่ยเจียวเจียวได้ยินบทสนทนาของเหล่านางกำนัลก็รู้สึกอึ้งไม่น้อย นางรู้มาว่าเพราะหลินจื่อมู่ไม่ได้มีอำนาจในวังหลวงมากพอจึงไม่มีผู้ใดยำเกรงให้เกียรติเขาเท่าใดนัก แต่ไม่นึกว่าจะรวมถึงพวกนางกำนัลตัวน้อยๆพวกนี้ด้วย ตอนนี้นางเริ่มเข้าใจความรู้สึกของเขาแล้ว ที่ผ่านมา หลินจื่อมู่พยายามอดทนอดกลั้นมาโดยตลอด แต่ไม่มีผู้ใดให้เกียรติและเคารพเขาอย่างที่ควรจะเป็น แม้จะมียศเป็นถึงจวิ้นอ๋อง หากแต่ในสายตาของผู้คน เขาก็เป็นเพียงแค่องค์ชายพิการที่น่าสมเพชเวทนาคนหนึ่งเท่านั้น
