บท
ตั้งค่า

บทที่ 4 ไม่มีใครยอมใคร

ร่างบางสาวเท้าเดินมาหยุดยืนอยู่ข้างขอบเตียง จากนั้นจึงยื่นนิ้วเข้าไปรองใต้จมูกโด่งเป็นสันของคนที่ยังคงนอนปิดเปลือกตาอยู่เพื่อดูว่าเขายังหายใจมีชีวิตอยู่หรือไม่

แต่แล้วคนที่ฮุ่ยเจียวเจียวคิดว่านอนหลับอยู่ก็ได้ลืมตาขึ้นทันใดพร้อมคว้าหมั่บไปที่มือเล็กของนาง จากนั้นเขาจึงหยัดกายลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว

“จะทำอะไร!” หลินจื่อมู่ถามด้วยน้ำเสียงดุดัน สายตาแข็งกร้าวจับจ้องมองไปยังดวงหน้างามของที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างไม่ไว้ใจ

“ข้า เอ่อ หม่อมฉันเห็นว่าจวิ้นอ๋องยังไม่ตื่นบรรทมเสียทีจึงเป็นห่วงเกรงว่าจะตาย เอ๊ย เป็นอะไรไป ก็เลยเข้ามาดูเพคะ” ฮุ่ยเจียวเจียวแก้ตัวเสียงหลง นางพยายามพูดจาสุภาพที่สุดแล้วนะ แต่ทำไมภาษาในยุคนี้มันเรียบเรียงยากเย็นเสียเหลือเกิน

ฮุ่ยเจียวเจียวตีหน้าใสซื่อ สบตากับคนตัวโตตาแป๋ว รู้ดีอยู่แก่ใจว่าบุรุษผู้นี้เป็นคนที่อันตรายยิ่งนัก เมื่อคืนนี้เขาพิสูจน์ให้นางเห็นแล้วว่าเขาไม่เคยละเว้นผู้ใดแม้กระทั่งสตรีตัวเล็กๆเช่นนาง

หลินจื่อมู่ไม่ตอบอะไรนอกจากเปล่งเสียงหึออกมาในลำคอเบาๆพร้อมกับปล่อยข้อมือบางให้เป็นอิสระ นางคงไม่รู้เป็นแน่ว่าเขารู้สึกตัวตื่นตั้งแต่ตอนที่นางขยับตัวในครั้งแรกแล้ว แต่ที่แกล้งทำเป็นหลับสนิทเพราะอยากรู้ว่านางจะทำอะไรต่างหาก

“ข้าอยากล้างหน้าเช็ดตัว”

“หม่อมฉันจะไปตามนางกำนัลเข้ามาปรนนิบัตินะเพคะ” ร่างบางกุลีกุจอทำท่าจะอ้าปากร้องเรียกนางกำนัล หากแต่ชายหนุ่มกลับยกมือหนาขึ้นห้ามนางเสียก่อน

“จะตามนางกำนัลมาทำไมกัน ในเมื่อตอนนี้ข้ามีเจ้าแล้ว”

ฮุ่ยเจียวเจียวไม่ค่อยเข้าใจวาจาที่เขาเอ่ยออกมาเท่าใดนัก เขาพูดราวกับว่าต้องการให้นางรับใช้ปรนนิบัติเขาอย่างนั้นแหละ สีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัยของนางทำให้หลินจื่อมู่ไม่สบอารมณ์เท่าใด คิดไว้แล้วว่านางก็คงไม่ต่างจากสตรีในห้องหอคนอื่นๆ

“เจ้ามีสมองไว้ประดับศีรษะเท่านั้นหรือ”

ทางด้านคนฟังได้ยินเช่นนั้นพลันนิ่งอึ้งไปทันใด ตัวร้ายผู้นี้นอกจากจะนิสัยไม่ดีแล้ว ยังปากสุนัขอีกด้วย!

“พยุงข้าไปที่รถเข็นแล้วไปเอาน้ำมาให้ข้าล้างหน้า”

“ไม่เพคะ” หญิงสาวปฏิเสธคนตัวโตทันควัน นางคิดว่าก่อนจะเปลี่ยนตัวร้ายให้กลายเป็นคนดี นางคงต้องดัดนิสัยปากสุนัขของเขาให้ได้เสียก่อน

“เจ้าอยากตายหรือ!”

“ก็เอาสิเพคะ หากจวิ้นอ๋องทรงทำร้ายหม่อมฉัน หม่อมฉันจะนำเรื่องนี้ทูลแด่ฝ่าบาท อย่าลืมสิว่าหม่อมฉันกำความลับของจวิ้นอ๋องไว้อยู่นะเพคะ” ท้ายประโยค นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เบาลงพลางยกยิ้มที่มุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ หารู้ไม่ว่าวาจาของนางทำให้ดวงตาคู่คมของหลินจื่อมู่วาวโรจน์ขึ้นอย่างน่ากลัว นางคงหมายถึงความลับเรื่องที่เขาไม่ได้พิการจริงๆอย่างนั้นสินะ

มือหนาสอดเข้าไปที่ใต้หมอนที่ใช้หนุนนอนมาตลอดทั้งคืนพร้อมกำกริชเงินเอาไว้ในมือแน่น ขณะที่ฮุ่ยเจียวเจียวเดินกลับไปที่โต๊ะเครื่องแป้งหยิบปิ่นทองอร่ามขึ้นมากำเอาไว้มั่นเช่นกัน หากเขาทำร้ายนาง นางจะชิงใช้ปิ่นหยกอันนี้แทงไปที่เส้นเลือดใหญ่บริเวณลำคอของเขาเสียเลย

ดวงตาของคนทั้งคู่มองประสานกันอย่างไม่มีใครยอมใคร ต่างฝ่ายต่างกุมอาวุธไว้ในมือเพื่อรอดูท่าทีของกันและกัน หากแต่ก่อนที่ภายในห้องหอจะมีการนองเลือดเกิดขึ้น พลันมีเสียงฝีเท้าของคนดังขึ้นอยู่บริเวณหน้าประตูเสียก่อน

“สำรับเช้ามาแล้วเพคะพระชายา” เป็นเสียงของอี๋นั่วนั่นเอง

“เข้ามาได้” ฮุ่ยเจียวเจียวกล่าวคำอนุญาต โดยที่ยังไม่ได้ละสายตาไปจากหลินจื่อมู่แต่อย่างใด

อี๋นั่วพานางกำนัลอีกสามยกสำรับเข้ามาวางบนโต๊ะกลม ก่อนจะขยับไปยืนรออยู่มุมห้องเผื่อเจ้านายเรียกใช้ หากแต่ท่าทางผิดปกติของจวิ้นอ๋องกับพระชายาทำให้นางรู้สึกสงสัยไม่น้อยเลยทีเดียว

“มีเรื่องอะไรหรือเปล่าเพคะพระชายา” อี๋นั่วเดินเข้ามากระซิบถามเสียงเบา เป็นห่วงเจ้านายสาวไม่น้อย ดูเหมือนว่าคู่สามีภรรยาหมาดๆจะมีปัญหากันเสียแล้ว

“ไม่มีอะไรหรอก พวกเจ้าทั้งหมดออกไปก่อน ข้าจะดูแลปรนนิบัติจวิ้นอ๋องเอง” หญิงสาวส่งรอยยิ้มหวานไปให้คนที่นั่งอยู่บนเตียง หลินจื่อมู่กัดฟันดังกรอด เหตุใดเขาจะดูไม่ออกว่ารอยยิ้มของนางแฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์อย่างมาก ที่เคยปรามาสว่านางเป็นสตรีในห้องหอไร้สมอง เขาคงคิดผิดไปเสียแล้ว...

ฮุ่ยเจียวเจียวรอจนกระทั่งอี๋นั่วและนางกำนัลที่เหลือเดินออกไปจนหมดและประตูได้ปิดลง นางจึงเดินไปหย่อนกายลงนั่งข้างขอบเตียงของหลินจื่อมู่และยกมือขึ้นกอดอกพร้อมกับส่งยิ้มหวานมาให้เขา

“เจ้าบอกว่าเจ้ากุมความลับของข้าเอาไว้ เจ้าหมายถึงเรื่องใดกัน” เขาถามเสียงดุ ท่าทางระมัดระวังอยู่หลายส่วน

‘บอกความจริงให้โง่หรือ’ ฮุ่ยเจียวเจียวคิดในใจพร้อมยกยิ้มขึ้นบางๆ

“หม่อมฉันรู้นะว่าจวิ้นอ๋องต้องการให้ฝ่าบาทเอ็นดูรักใคร่ หม่อมฉันสามารถช่วยจวิ้นอ๋องได้ทุกเรื่อง หากแต่ท่านต้องพูดจากับหม่อมฉันดีๆก่อน” หญิงสาวเน้นย้ำคำว่า ‘ทุกเรื่อง’ ด้วยรู้ว่าหลินจื่อมู่ต้องการใช้ประโยชน์จากนางเพื่อทำให้ความสัมพันธ์ของหลินยวี่หานและเกาฟางเหนียงนั้นสั่นคลอน หากเขายังไม่รู้ว่านางล่วงรู้ความลับเรื่องขาของเขาแล้ว เขาคงไม่คิดที่จะสังหารนางในตอนนี้หรอก เพราะนางยังมีประโยชน์กับเขาอีกมาก

อีกทั้งบิดาของนางก็มียศเป็นถึงขุนนางขั้นใหญ่ การที่เขาได้อภิเษกกับนางนับเป็นเรื่องดี เพราะบิดาของนางจะช่วยหนุนหลังทำให้อำนาจในวังหลวงของเขาเพิ่มมากขึ้น

“จวิ้นอ๋องบอกว่าหม่อมฉันคือพระชายาของท่าน หม่อมฉันไม่ขอให้ท่านรักใคร่เพราะรู้ว่าคงเป็นไปไม่ได้ แต่ท่านต้องให้เกียรติหม่อมฉัน หาไม่หม่อมฉันก็จะไม่ให้เกียรติท่าน และไม่ถือว่าท่านเป็นพระสวามีของหม่อมฉันเช่นกัน”

หลินจื่อมู่นึกอยากกระโจนเข้าไปบีบคอขาวๆของคนที่กำลังนั่งกอดอกเชิดหน้าขึ้นอย่างคนถือดียิ่งนัก ฮุ่ยเจียวเจียวคิดว่านางเป็นใครกันถึงได้กล้าพูดจาสามหาวกับเขาอย่างไม่เกรงกลัว หากแต่ว่าเขาทำเช่นนั้นไม่ได้ หาไม่ความลับเรื่องขาที่ปกปิดเอาไว้ก็จะไม่เป็นความลับอีกต่อไป ทางฮุ่ยเจียวเจียวได้แต่ลอบยิ้มด้วยความสะใจ ยิ่งได้เห็นสีหน้ากรุ่นโกรธของคนตัวโตยิ่งทำให้นางมีความสุขอย่างบอกไม่ถูกเลยทีเดียว

“ว่าอย่างไรล่ะเพคะ จะอยู่ร่วมกันอย่างมิตรสหายหรือว่าศัตรู”

หลินจื่อมู่กำมือเข้าหากันแน่นก่อนจะค่อยๆคลายออก เอาเถิด หนนี้เขาจะยอมให้นางก่อนก็แล้วกัน วันหนึ่งที่นางหมดประโยชน์กับเขาเมื่อใด เขาจะไม่ละเว้นนางเลย คอยดูสิ!

“ช่วยพยุงข้าขึ้นนั่งรถเข็น พาข้าไปล้างหน้าเปลี่ยนอาภรณ์ทีเถิด…พระชายา” ชายหนุ่มกัดฟันพูด หากไม่เห็นว่านางยังมีประโยชน์กับเขาอยู่ เขาคงไม่มีวันยอมนางเช่นนี้แน่

“ก็แค่นี้แหละเพคะ” ฮุ่ยเจียวเจียวเปล่งเสียงหัวเราะออกมาด้วยความสะใจที่ทำให้หลินจื่อมู่อ๋องยอมลงให้นางได้ คิดว่าเขาก็คงอึดอัดใจไม่น้อยเลย ทว่านางรู้สึกสะใจมากเหลือเกิน

หลังจากที่ปรนนิบัติหลินจื่อมู่เปลี่ยนชุด คนทั้งสองก็มานั่งทานสำรับมื้อเช้าร่วมกัน บรรยากาศเต็มไปด้วยความเงียบงันเพราะต่างคนต่างก็ไม่ชินกับการที่ต้องร่วมโต๊ะกับผู้อื่น หลินจื่อมู่ทานอาหารได้เพียงไม่กี่คำจากนั้นก็วางตะเกียบลง แตกต่างจากคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามที่ทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย เคี้ยวอาหารตุ้ยๆจนแก้มป่องจนเขาคิดว่านางอดอยากมาจากที่ไหนกัน

“สกุลฮุ่ยของเจ้าคงเลี้ยงดูเจ้ามาอย่างอดๆอยากๆสินะ” ชายหนุ่มแกล้งเปรยขึ้นพลางยกจอกน้ำชาขึ้นจิบ

“ไม่รู้สิเพคะ หม่อมฉันไม่เคยกินข้าวที่จวนสกุลฮุ่ยมาก่อน” นางตอบตามความจริง ก็เพราะในตอนที่ได้เข้ามาอยู่ในร่างของฮุ่ยเจียวเจียวก็เป็นตอนที่ขึ้นเกี้ยวมายังตำหนักอ๋องในวันอภิเษกแล้ว แม้กระทั่งหน้าตาของบิดามารดา นางยังไม่เคยเห็นเลยว่าเป็นอย่างไร

หากแต่คำตอบของนางกลับทำให้คนฟังรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย คิดว่าฮุ่ยเจียวเจียวคงมีปัญหาภายในครอบครัวเป็นแน่

‘บิดามารดาคงไม่สนใจนางกระมัง ถึงได้ปล่อยให้นางอดๆอยากๆ มิน่าเล่ารูปร่างถึงผอมบางเช่นนี้ หากโดนลมพัดคงมิวายปลิวหายไปกับสายลมเป็นแน่’ หลินจื่อมู่คิดในใจ

บทสนทนาจบลงแต่เพียงเท่านั้น ฮุ่ยเจียวเจียวนั่งคีบอาหารเข้าปากอย่างมีความสุข ในขณะที่หลินจื่อมู่ยกจอกชาขึ้นจิบอย่างเงียบๆ ทว่าภายในสมองกลับกำลังครุ่นคิดถึงแผนการที่จะใช้ฮุ่ยเจียวเจียวเข้าไปทำลายความสัมพันธ์ของหลินยวี่หานและเกาฟางเหนียง ซึ่งในตอนนี้คนทั้งสองได้หมั้นหมายกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก่อนที่เขาจะเข้าพิธีอภิเษกกับฮุ่ยเจียวเจียวเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น

“จวิ้นอ๋องไม่เสวยหรือเพคะ” ฮุ่ยเจียวเจียวเหลือบสายตามองไปยังเนื้อปลาชิ้นสุดท้ายที่วางอยู่ในถ้วยกระเบื้องเคลือบ หากแต่คำตอบของเขาก็ทำให้นางยิ้มกริ่ม

“ข้าเห็นเจ้ากิน ข้าก็อิ่มแล้ว” สตรีอะไรตะกละตะกลามยิ่งนัก ชายหนุ่มส่ายศีรษะไปมาเบาๆด้วยความเอือมระอา

“เจ้ายังมีใจให้หลินยวี่หานอยู่หรือไม่”

คำถามของเขาทำให้ฮุ่ยเจียวเจียวชะงักไปทันที หญิงสาวเงยหน้าขึ้นประสานสายตากับคนตัวโต เขาถามเช่นนี้หมายความว่าเขากำลังคิดที่จะใช้นางเข้าไปแย่งหลินยวี่หานจากเกาฟางเหนียงเป็นแน่ หากแต่ฮุ่ยเจียวเจียวยังไม่ทันได้อ้าปากตอบคำถามของคนตัวโต นางกำนัลผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาในห้องเสียก่อน

“ขอประทานอภัยเพคะ จางฮองเฮาทรงมีพระกระแสรับสั่งให้จวิ้นอ๋องกับพระชายาเสด็จไปเข้าเฝ้าที่ตำหนักจูฉิงเพคะ”

สิ้นเสียงของนางกำนัล ทั้งหลินจื่อมู่และฮุ่ยเจียวเจียวต่างหันมาสบสายตากันเล็กน้อย ชั่วขณะหนึ่ง หญิงสาวแอบเห็นถึงความไม่พอใจที่ฉายชัดออกมาจากดวงตาคู่คมของหลินจื่อมู่อยู่หลายส่วน การที่จางฮองเฮาทรงเรียกหลินจื่อมู่ไปเข้าเฝ้า ไม่ต่างอะไรจากการป้อนเหยื่อเข้าปากเสือเลย!

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel