บทที่ 3 เกือบโดนตัวร้ายสังหาร
เพียงแค่หลินจื่อมู่เข้ามาในห้องหอ คิ้วดาบก็ย่นเข้าหากันด้วยความแปลกใจ เมื่อเห็นภายในห้องกว้างนั้นมีเพียงแค่ความว่างเปล่า ปราศจากร่างบางของคนที่เจ้าสาวหมาดๆ
“นางหายไปไหนกัน” นางควรจะอยู่รอเขาที่ห้องหอไม่ใช่หรือ แล้วตอนนี้นางหายไปไหนเสียแล้ว ชายหนุ่มนึกสงสัยไม่น้อย แต่กระนั้นก็ระมัดระวังตัวอยู่หลายส่วน การที่ฮุ่ยเจียวเจียวหายตัวไปนั้นไม่ใช่เรื่องปกติ อาจมีใครบุกเข้ามาลักพาตัวนางไปก็เป็นได้
มือหนาเอื้อมไปคว้ากริชเงินที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้เสื้อคลุมสีแดงมงคลตัวใหญ่เมื่อรับรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหวจากทางด้านหลัง ก่อนจะลุกพรวดขึ้นจากรถเข็นไม้ด้วยความรวดเร็วพร้อมชี้ปลายแหลมของคมมีดหันไปยังผู้บุกรุกทันใด!
แต่ทว่า ร่างหนาของหลินจื่อมู่พลันนิ่งค้างไปทันที ฮุ่ยเจียวเจียวเองก็เช่นเดียวกัน ต่างคนต่างตกใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะหลินจื่อมู่ หากเป็นคนอื่นที่ล่วงรู้ความจริงว่าเขาไม่ได้พิการอย่างที่แกล้งแสดงออกไปในตอนแรก เขาคงไม่ลังเลที่จะสังหารคนผู้นั้นทิ้ง นอกจากเขาและรั่วหมิงองครักษ์คู่ใจคนสนิทแล้ว ไม่มีผู้ใดรู้ความจริงเรื่องที่เขาแกล้งทำตัวพิการ หากแต่ว่าในตอนนี้ฮุ่ยเจียวเจียวรู้แล้ว เขาคงจะปล่อยนางไว้ต่อไปไม่ได้ ชายหนุ่มคิดในใจ ขณะที่ดวงตาคู่คมยังคงจดจ้องมองไปยังคนร่างบางที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“สามีเพค้าา” หากแต่น้ำเสียงยานคางพร้อมกับดวงตาฉ่ำปรือหวานหยดย้อยที่ส่งมาทำให้เขาต้องลดกริชเงินที่ถูกอยู่ในมือลง
‘นางเมาหรอกหรือ’
“สาสีกลับมาแล้วหรือเพค้าา” ในยามที่นางเอื้อนเอ่ย กลิ่นสุราเหม็นคลุ้งลอยออกมาจากคนตรงหน้าทำให้หลินจื่อมู่ต้องเบือนหน้าหนีทันใด
“มามะ มาให้ภรรยาจุ๊บๆหน่อยสิ” ฮุ่ยเจียวเจียวย่างกายเดินเข้าไปหาคนร่างสูง ใช้มือกอดคอของคนตัวโตเอาไว้พร้อมเขย่งปลายเท้าขึ้น หมายจะแนบริมฝีปากเข้ากับแก้มสากของเขา ทว่าหลินจื่อมู่กลับใช้มือดันศีรษะของนางออกทำให้ร่างบางไม่ทันตั้งตัว หงายหลังไปนั่งก้นจ้ำเบ้าอยู่บนพื้น ดวงหน้างามบูดบึ้งด้วยความขัดใจ
“สามีใจร้าย ภรรยาไม่รักสามีแล้ว” กล่าวอย่างกระเง้ากระงอด จากนั้นจึงค่อยๆคลานไปฟุบหน้าลงข้างขอบเตียงพร้อมกับหลับใหลไปในทันทีราวกับสั่งได้
“นี่เจ้าหลับหรือ” ชายหนุ่มใช้นิ้วสะกิดไปที่หัวไหล่กลมกลึงเบาๆ ทว่าไม่มีเสียงตอบรับจากคนตัวเล็ก ทรวงอกอวบอิ่มสะท้านขึ้นลงบ่งบอกถึงลมหายใจที่ผ่อนเข้าออกอย่างเป็นจังหวะ หลินจื่อมู่คิดว่านางคงหลับสนิทไปแล้วจริงๆ
“เป็นโชคดีของเจ้าแล้ว” ชายหนุ่มยกยิ้มหยันที่มุมปาก หากนางไม่เมามาย ป่านนี้เขาคงตัดสินใจสังหารนางไปแล้ว ความลับของเขาต้องเป็นความลับต่อไปจนกว่าแผนการก่อกบฏที่วางไว้จะประสบความสำเร็จ และเขาจะไม่ยอมให้ผู้ใดมาขัดขวางได้อย่างเด็ดขาด!
หลินจื่อมู่ปัดปรอยผมที่ปิดดวงหน้าของฮุ่ยเจียวเจียวออกพลางส่งสายตากวาดมองมายังดวงหน้างาม พบว่าบุตรสาวสกุลฮุ่ยผู้นี้งดงามไม่น้อย แต่ถึงอย่างไร นางก็คงเป็นแค่พวกคุณหนูในห้องหอที่เอาแต่จริงจังเรื่องเสื้ออาภรณ์และความงามของตน ทว่าไม่ได้ใช้สมองทำสิ่งใดให้เป็นประโยชน์เช่นเดียวกับสตรีในห้องหอสกุลอื่นๆมากนัก ทั้งชีวิตที่เขาเกิดมามีเพียงแค่เกาฟางเหนียงเท่านั้นที่สามารถดึงดูดความสนใจจากเขาไปได้ นางเป็นสตรีที่อ่อนโยนและเฉลียวฉลาด และยิ่งได้รู้ว่านางเป็นที่หมายปองของหลินยวี่หานโอรสคนโปรดของหลินฮ่องเต้พระบิดาของเขา ยิ่งทำให้เขาอยากครอบครองนาง และเขาจะใช้ฮุ่ยเจียวเจียวคนนี้แหละเป็นเครื่องมือในการทำให้หลินยวี่หานและเกาฟางเหนียงผิดใจกัน
ชายหนุ่มมองคนที่กำลังนอนฟุบหน้าหลับใหลอยู่ข้างขอบเตียง เห็นแก่ประโยชน์ที่จะได้รับจากนางในอนาคต เขาจะใจดีกับนางหน่อยก็แล้วกัน หลินจื่อมู่คิด ก่อนจะออกแรงอุ้มร่างบอบบางขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน ตัวของนางเบาหวิวราวกับขนนกก็มิปาน จนเขาคิดว่าคนสกุลฮุ่ยเลี้ยงดูนางให้เติบโตมาอย่างไรกัน ชายหนุ่มค่อยๆวางฮุ่ยเจียวเจียวลงบนเตียง จากนั้นจึงหย่อนกายนอนลงเคียงข้างนางพร้อมกับตะเกียงที่ถูกดับลง
พิธีการต่างๆในห้องหอไม่ได้ดำเนินไปอย่างที่ควรจะเป็น เพราะยามนี้เจ้าสาวได้เมามายหลับใหลสิ้นสติไปแล้ว ซึ่งหลินจื่อมู่เองก็คิดว่าดีเช่นกัน เขาเองก็ไม่ได้ชอบทำอะไรให้มันวุ่นวายมากนัก
ภายในห้องหอที่เต็มไปด้วยความมืด มีเพียงแสงจากดวงจันทร์ที่ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาให้เห็นบรรยากาศภายในห้องอย่างเลือนราง ฮุ่ยเจียวเจียวค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น หญิงสาวยกมือขึ้นทาบไปที่หน้าอกซ้ายของตนด้วยความตกใจ ภาพเหตุการณ์หวาดเสียวเมื่อครู่นี้ยังทำให้นางตกใจไม่หาย หลินจื่อมู่ไม่ได้พิการจริงๆอย่างที่นางสงสัย หากแต่เขาแกล้งทำเช่นนั้นเพราะมีแผนการบางอย่างเป็นแน่
‘หมาป่าเจ้าเล่ห์หลินจื่อมู่!’ ฮุ่ยเจียวเจียวก่นด่าคนข้างกายภายในใจ หากเมื่อครู่นี้นางไม่แกล้งทำเป็นเมามาย เขาคงสังหารนางทิ้งแล้วเป็นแน่
หญิงสาวหวนนึกไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อันที่จริงตอนแรกหลังจากดื่มสุรามงคลจนหมด นางก็เมาจริงๆอยู่หรอก แต่หลังจากที่หลับไปได้หนึ่งตื่น เมื่อรู้สึกตัวขึ้นมาอีกหนอาการเมามายในตอนแรกก็คลายลงไปมากแล้ว นางจึงเดินเข้าไปล้างหน้าล้างตาในส่วนอาบน้ำ ทว่าใครจะไปคิดว่าเมื่อเดินออกมาจะพบว่าหลินจื่อมู่ได้เข้ามายังห้องหอแล้ว เดิมทีนางกำลังจะทักทายเขา หากแต่จู่ๆเขากลับลุกขึ้นยืนพร้อมชี้คมอาวุธมายังนาง ทำให้นางพบความจริงว่าเขาไม่ได้พิการจริงๆเสียอย่างนั้น
เช้าวันใหม่ ฮุ่ยเจียวเจียวตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยามเหม่า (05.00 - 06.59 น.) คนที่ใช้ชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยวตามลำพังมาโดยตลอดอย่างนาง เมื่อได้มีคนมานอนเคียงข้างทำให้รู้สึกไม่ชินเท่าใดนัก เมื่อคืนกว่าที่จะทำใจหลับลง เวลาก็ล่วงเลยไปจนเกือบถึงยามโฉ่ว (01.00 - 02.59 น.) แล้ว
ทว่าเมื่อตื่นขึ้นมา หญิงสาวก็ได้เห็นว่าหลินจื่อมู่ยังคงนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง มือทั้งสองวางประสานกันอยู่บนหน้าท้อง แม้กระทั่งในยามที่หลับใหลยังคงสง่างามไม่เปลี่ยน ฮุ่ยเจียวเจียวอดคิดไม่ได้ว่า แม้กระทั่งตัวร้ายหลินจื่อมู่ยังหล่อเหลาบาดตาบาดใจมากถึงเพียงนี้ แล้วพระเอกหลินยวี่หานจะหล่อเหลามากแค่ไหนกัน
‘ไม่ได้! นางมาที่นี่ไม่ได้มาเพื่อชื่นชมความหล่อเหลาของใคร แต่มาเพื่อทำภารกิจสำคัญในการเปลี่ยนพ่อตัวร้ายให้กลายเป็นคนดีต่างหาก’ ฮุ่ยเจียวเจียวเตือนสติของตัวเองอยู่ในใจ
เป็นเพราะเมื่อคืนไม่ได้อาบน้ำผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ก่อนเข้านอนทำให้นางรู้สึกเหนียวตัวยิ่งนักจึงคิดว่าเข้าไปอาบน้ำอาบท่าเสียหน่อยดีกว่า
“ใครอยู่ข้างนอก เข้ามาข้างในทีสิ” เพียงแค่นางเอ่ยจบประโยค ประตูห้องหอก็ถูกเปิดออกเผยให้เห็นนางกำนัลผู้หนึ่งเดินส่งยิ้มเข้ามาหา
“คุณหนู เอ๊ย พระชายาทรงตื่นบรรทมแล้วหรือเพคะ”
คำเรียกที่แสนคุ้นเคยทำให้ฮุ่ยเจียวเจียวแปลกใจไม่น้อย ดูเหมือนว่านางกำนัลผู้นี้จะให้ความสนิทสนมกับนางยิ่งกว่าคนเมื่อวาน นางคงจะเป็นสาวใช้คนสนิทของฮุ่ยเจียวเจียวที่ตามมารับใช้จากบ้านเดิมเป็นแน่
“เจ้าชื่ออี๋นั่วใช่หรือไม่”
“เพคะ หม่อมฉันตามมารับใช้พระชายาจากจวนสกุลฮุ่ยเพคะ” อี๋นั่วตอบพลางส่งยิ้มให้เจ้านายสาว หากแต่สีหน้ามีความสงสัยอยู่ไม่น้อย เหตุใดพระชายาถึงได้ถามนางแปลกๆราวกับคนไม่รู้จักกันมาก่อนอย่างนั้นเล่า
“เมื่อคืนข้าเมาน่ะ ปวดศีรษะยิ่งนัก ข้าอาจดูแปลกไปบ้าง เจ้าอย่าใส่ใจเลยนะ” ฮุ่ยเจียวเจียวรับรู้ได้ถึงความสงสัยของนางจึงรีบกล่าวออกไป ไม่อยากให้อี๋นั่วสงสัยมากไปกว่านี้และรีบแจ้งความจำนงออกไป
“ข้าอยากอาบน้ำ”
“หม่อมฉันจะให้คนเตรียมน้ำให้อาบนะเพคะ”
ฮุ่ยเจียวเจียวผงกศีรษะรับ จากนั้นอี๋นั่วจึงพานางเดินไปยังฉากกั้นส่วนอาบน้ำ หลังจากถอดอาภรณ์เสร็จ นางกำนัลก็เตรียมน้ำสำหรับอาบเสร็จพอดี ทว่าก่อนที่นางจะถอดชุดคลุมตัวใหญ่ออกก็ได้บอกให้อี๋นั่วกับนางกำนัลที่เหลือออกไปจากห้องก่อน นางไม่เคยแก้ผ้าอาบน้ำต่อหน้าผู้ใดมาก่อนทำให้รู้สึกไม่ชินเท่าใดนัก
แม้อี๋นั้วและนางกำนัลจะรู้สึกแปลกใจ แต่กระนั้นในเมื่อเป็นคำสั่งของพระชายา พวกนางก็ต้องทำตามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลังจากที่อี๋นั่วและนางกำนัลเดินออกไปจากห้อง ฮุ่ยเจียวเจียวก็หย่อนกายนอนแช่น้ำอุ่นๆอย่างสบายอารมณ์ เสร็จแล้วจึงเรียกให้อี๋นั่วเข้ามาปรนนิบัตินางเปลี่ยนอาภรณ์ แม้ว่าจะอยากทำด้วยตัวเอง หากแต่เสื้อผ้าอาภรณ์ในยุคนี้ใส่ยากเย็นยิ่งนัก นางไม่คุ้นชินเอาเสียเลยจึงต้องขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญอย่างอี๋นั่ว
“พระชายาจะรับสำรับมื้อเช้าเลยหรือไม่เพคะ” คำถามของอี๋นั่วทำให้แววตาของฮุ่ยเจียวเจียวเปล่งประกายสดใส นอกจากสุรามงคลที่นางดื่มเมื่อคืนนี้แล้ว ก็ยังไม่มีอาหารตกถึงท้องเลย ตอนนี้จึงรู้สึกหิวเป็นอย่างมาก
“ไปยกมาได้เลย ข้าหิวแล้ว” มือบางลูบหน้าท้องแบนราบของตัวเองป้อยๆ อี๋นั่วจึงตอบรับคำเจ้านายจากนั้นจึงเดินออกไปจากห้อง ฮุ่ยเจียวเจียวคิดว่าเกิดเป็นคนใหญ่คนโตช่างสุขสบายยิ่งนัก เมื่อหิวก็มีคนหาข้าวหาน้ำมาให้กิน อีกทั้งยังได้รับการดูแลปรนนิบัติเป็นอย่างดี หากไม่ต้องคอยพะวงว่าได้รับมอบหมายภารกิจเปลี่ยนพ่อตัวร้ายให้กลายเป็นคนดีจากท่านเทพ นางคงจะมีความสุขกับชีวิตในตอนนี้เป็นอย่างมาก
ครั้นเมื่อนึกถึงตัวร้ายหลินจื่อมู่ ฮุ่ยเจียวเจียวจึงเดินออกมาหลังฉากกั้นที่ใช้สำหรับเปลี่ยนอาภรณ์ พบว่าเจ้าของร่างสูงยังคงนอนนิ่งอยู่บนเตียงเช่นเดิมจนนางอดคิดไม่ได้ว่าเขานอนหลับลึกหรือตายไปแล้วกันแน่
