บท
ตั้งค่า

บทที่ 2 สามีของนางร้ายคือองค์ชายพิการ

ในที่สุด ขบวนเกี้ยวเจ้าสาวก็เคลื่อนมาจนถึงตำหนักอ๋องแปดของหลินจื่อมู่ที่ใช้เป็นสถานที่จัดงานอภิเษก ทันทีที่มาถึง ฮุ่ยเจียวเจียวก็ถูกเชิญให้ลงจากเกี้ยว หญิงสาวกวาดสายตามองไปรอบๆพบว่าถึงแม้ที่จวนอ๋องแปดของหลินจื่อมู่จะไม่ใหญ่โตมโหฬารเท่ากับตำหนักขององค์รัชทายาท แต่ก็โอ่งอ่า กว้างขวางและดูสุขสบายยิ่งกว่าจวนขุนนางตระกูลใหญ่หลายตระกูลเสียอีก แม้ว่าหลินจื่อมู่จะไม่ใช่โอรสที่หลินเต๋อจินฮ่องเต้ทรงโปรดปราน หากแต่เขาก็เป็นทายาทเพียงหนึ่งเดียวของหลินเต๋อจินฮ่องเต้กับจางลู่เสวียนกุ้ยเฟย ถึงแม้ว่าตอนนี้จางกุ้ยเฟยจะจากไปแล้วก็ตาม

“เชิญเสด็จเพคะพระชายา” นางกำนัลผู้หนึ่งส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้ ฮุ่ยเจียวเจียวรู้สึกจั๊กจี้หูกับสรรพนามใหม่ที่ได้รับเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าตอนนี้ะยังไม่ได้เข้าพิธีอภิเษกกับหลินจื่อมู่อ๋องอย่างเป็นทางการ แต่ก็ถูกขานเรียกด้วยสรรพนามใหม่เสียแล้ว

ไม่ต้องรอให้นางกำนัลกล่าวซ้ำเป็นหนที่สอง ฮุ่ยเจียวเจียวก็จัดการรวบกระโปรงตัวยาวกรอมเท้าสีแดงหรูหราขึ้นมาและก้าวเข้าไปในตำหนักอ๋องอย่างคล่องแคล่ว ทว่าเพียงแค่นางก้าวเดินเข้าไปในประตู สายตาทุกคู่ต่างจับจ้องมองมายังนางเป็นตาเดียว ฮุ่ยเจียวเจียวฉีกยิ้มกว้างให้ทุกคน แต่แล้วนางก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นสายตาแปลกๆที่มองมา ทว่าไม่นาน ความสงสัยทั้งหมดก็พลันกระจ่าง เมื่อนางกำนัลคนเดิมได้วิ่งตามเข้ามากระซิบบอกนางจากทางด้านหลังด้วยความตกใจ

“พระชายาปล่อยชายกระโปรงลงก่อนเพคะ”

ฮุ่ยเจียวเจียวขานรับดังอ้อ จากนั้นจึงปล่อยชายกระโปรงตามที่นางกำนัลบอกอย่างว่าง่าย แต่กระนั้นก็สังเกตเห็นถึงรอยยิ้มขบขันและเห็นบางคนกระซิบกระซาบกันราวกับว่ากำลังนินทานางอยู่ ทว่าฮุ่ยเจียวเจียวหาได้สนใจกับพฤติกรรมของคนเหล่านั้นไม่ เพราะในตอนนี้นางเหลือบไปเห็นบุรุษผู้หนึ่งผ่านผ้าสีแดงมงคลคลุมศีรษะของเจ้าสาว แม้จะมองเห็นอย่างเลือนราง แต่ก็รู้ดีว่าคนตรงหน้ามีใบหน้าคมสันหล่อเหลาบาดตาบาดใจ ท่วงท่าองอาจสง่างาม แม้จะนั่งอยู่บนรถเข็นไม้ก็ตาม

ใช่...นางลืมไปเสียสนิทว่าตัวร้ายหลินจื่อมู่อ๋องนั้นเป็นองค์ชายพิการ!

เดิมทีหลินจื่อมู่อ๋องไม่ได้พิการมาตั้งแต่กำเนิด แต่เมื่อสองปีก่อน แคว้นลู่ถูกรุกรานจากพวกกบฏแคว้นชิวที่มุ่งหมายคิดอยากได้เมืองหนานจิงที่อยู่ติดชายแดนไว้ครอบครอง เมืองหนานจิงมีทรัพยากรมากมายทำให้เป็นที่ต้องการต่อคนต่างแคว้น ที่ผ่านมายังไม่มีแคว้นใดกล้าต่อกรกับแคว้นลู่นอกจากแคว้นชิวเท่านั้น

หลินจื่อมู่ไม่อยากเป็นโอรสนอกสายตาของพระบิดาจึงใช้โอกาสนี้ในการอาสาออกรบร่วมกับองค์ชายสามหลินยวี่หานผู้มีบทบาทเป็นพระเอกนิยายเรื่องนี้ ด้วยคิดว่าหากทำสำเร็จ หลินฮ่องเต้จะทรงเห็นเขาอยู่ในสายพระเนตรและคลายความเกลียดชังที่มีต่อเขาลงบ้าง และในที่สุดหลินยวี่หานและหลินจื่อมู่ก็ทำสำเร็จ พวกเขาสามารถตีกบฏแคว้นชิวจนแตกกระเจิง จนพวกนั้นยกทัพกลับแคว้นชิวแทบไม่ทัน หากแต่ในเหตุการณ์นั้นทำให้หลินจื่อมู่ได้รับบาดเจ็บหนัก แม้จะไม่ถึงขนาดกับต้องตัดขา แต่หมอหลวงบอกว่าช่วงล่างของเขานั้นไร้ความรู้สึก ไม่สามารถเดินได้อีกต่อไป หลินจื่อมู่จึงต้องใช้ชีวิตอยู่บนรถเข็นไปตลอดชีวิต

ถึงแม้ว่าเขาจะลงทุนลงแรงมากถึงเพียงนี้ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความเกลียดชังของหลินฮ่องเต้ที่มีต่อเขาลดน้อยลงไปแต่อย่างใด หลินฮ่องเต้ประทานความดีความชอบให้แก่หลินยวี่หาน แต่ยังคงหมางเมินหลินจื่อมู่อยู่เช่นเดิม ด้วยเหตุนี้จึงทำให้กองเพลิงแห่งความแค้นใจที่หลินจื่อมู่มีสุมหนักขึ้นกว่าเดิม และเป็นชนวนเหตุให้เขาคิดการใหญ่ก่อกบฏล้มล้างบัลลังก์ของพระบิดาในอนาคต

ส่วนสาเหตุที่หลินเต๋อจินฮ่องเต้ทรงชิงชังโอรสของตน นั่นเป็นเพราะในตอนที่จางลู่เสวียนกุ้ยเฟยตั้งครรภ์หลินจื่อมู่ นางมีอาการแทรกซ้อนจนหมอหลวงต้องเลือกว่าจะเก็บลูกหรือคนเป็นแม่เอาไว้ หลินฮ่องเต้เลือกนาง หากแต่นางกลับขอร้องให้เขาเก็บหลินจื่อมู่เอาไว้ ทว่าสุดท้ายก็ไม่มีปาฏิหาริย์ ในวันที่จางกุ้ยเฟยให้กำเนิดหลินจื่อมู่ นางก็สิ้นใจลง

ภายนอกหลินจื่อมู่ดูเป็นคนเงียบขรึม เขาเก็บซ่อนอารมณ์และความรู้สึกภายใต้ใบหน้าเรียบเฉย ไม่มีผู้ใดรู้ว่าแท้จริงแล้วเขากำลังคิดอะไรอยู่

'คนแบบนี้น่ากลัวยิ่งนัก' ฮุ่ยเจียวเจียวเม้มริมฝีปากเข้าหากัน ครุ่นคิดด้วยความหนักใจจนลืมไปว่าตอนนี้นางกำลังก้าวเดินตรงไปข้างหน้าและเพราะความไม่คุ้นชินกับชุดกระโปรงที่แสนยาวเหยียดทำให้นางเผลอเหยียบชายกระโปรงจนเซถลาท่ามกลางเสียงอุทานด้วยความตกใจของผู้คน

หากแต่ในตอนที่กำลังจะล้มลงนั้น มือหนาของใครบางคนก็คว้าหมั่บไปที่เอวบอบบางเอาไว้และดึงเข้าหาตัว ทำให้แทนที่ฮุ่ยเจียวเจียวจะลงไปนั่งก้นจ้ำเบ้าอยู่บนพื้นกลับกลายเป็นนั่งอยู่บนตักของหลินจื่อมู่แทน

ดวงตาสองคู่ประสานกันนิ่ง คนหนึ่งเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ส่วนอีกคนกลับมองประสานกลับมาด้วยแววตานิ่งเฉย ไร้อารมณ์ความรู้สึกใด เสียงฮือฮาของผู้คนที่อยู่ในงานดังขึ้นทำให้ฮุ่ยเจียวเจียวได้สติ

“ขอโทษ เอ๊ย ขออภัยเพคะ” หญิงสาวพูดผิดพูดถูก

“ลุกออกไปได้แล้ว ข้าหนัก” น้ำเสียงนิ่งเรียบไม่แพ้แววตากระซิบเสียงแผ่ว นางจึงรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมๆกับที่รถเข็นไม้ที่หลินจื่อมู่นั่งอยู่เคลื่อนกลับไปยังแท่นพิธี

‘ข้าไม่ได้ตัวหนักขนาดนั้นเสียหน่อย’ ฮุ่ยเจียวเจียวแอบเบ้ปากมองตามหลังด้วยความหมั่นไส้ ทว่าไม่นานคิ้วเรียวก็พลันย่นเข้าหากันมุ่น หมอหลวงบอกว่าช่วงล่างของเขาไร้ความรู้สึก แล้วเหตุใดเมื่อครู่เขาถึงรู้ว่านางตัวหนัก

ช่างน่าประหลาดใจยิ่งนัก! หญิงสาวเงยหน้าขึ้นส่งสายตามองไปยังคนที่นั่งอยู่บนรถเข็นด้วยความรวดเร็ว เริ่มสงสัยว่าการเจ็บป่วยของหลินจื่อมู่นั้นไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว หากแต่ยังไม่ทันได้คิดอะไรต่อ นางกำนัลก็รีบเดินเข้ามากระซิบบอกให้นางเดินเข้าไปทำพิธีได้แล้ว

กว่าที่พิธีการมากมายจะผ่านพ้นไป ฮุ่ยเจียวเจียวก็แอบอ้าปากหาวอยู่หลายรอบ ตอนนี้นางรู้สึกเมื่อยขายิ่งนัก แต่เมื่อเห็นคนข้างกายนั่งอย่างสบายๆอยู่บนรถเข็นก็ชวนให้รู้สึกหงุดหงิดใจเป็นอย่างมาก

“ส่งตัวเจ้าสาวเข้าหอได้”

ฮุ่ยเจียวเจียวคลี่ยิ้มอย่างเริงร่าเมื่อรู้ว่าถึงเวลาที่นางจะได้พักผ่อนแล้ว กว่าที่หลินจื่อมู่อ๋องจะได้กลับมายังห้องหอ ยามนั้นนางคงนอนหลับสบายได้หลายตื่นแล้ว หญิงสาวคิดด้วยความดีใจ รีบเดินตามนางกำนัลที่มาเชิญนางไปรอเจ้าบ่าวที่ห้องหออย่างไม่รีรอ ในขณะที่มีสายตาของใครบางคนมองตามแผ่นหลังบางไปจนลับสายตา

แอ๊ด!

ประตูห้องหอถูกผลักให้เปิดออกพร้อมกับที่ฮุ่ยเจียวเจียวก้าวเดินเข้าไปข้างใน ดวงตาคู่งามกวาดมองไปรอบๆห้องด้วยความชื่นชม แม้ว่าที่นี่จะตกแต่งอย่างเรียบง่าย หากแต่กลับประดับประดาไปด้วยทองคำ หญิงสาวใช้มือลูบไปตามขอบหน้าต่างเมื่อพบว่ามันคือทองคำแท้บริสุทธิ์ก็ทำให้นางตาโตขึ้นด้วยความตื่นเต้น คิดว่าสักวันหนึ่งจะลองแอบขูดทองพวกนี้ไปขายดูบ้าง น่าจะได้ราคาดีไม่น้อยเลยทีเดียว

“พระชายาพักผ่อนรอจวิ้นอ๋องอยู่ในห้องหอนะเพคะ” เสียงที่ดังขึ้นของนางกำนัลทำให้ฮุ่ยเจียวเจียวรีบละความสนใจจากขอบหน้าต่างหันมาทำทีเป็นยืนตัวตรงเชิดหน้าขึ้นเหมือนเดิม

“เจ้าไปเถิด”

นางกำนัลผู้นั้นยอบกายคารวะฮุ่ยเจียวเจียว จากนั้นจึงเดินออกไปจากห้อง ครั้นเมื่อประตูปิดลง หญิงสาวก็รีบตวัดผ้าคลุมหน้าให้เปิดออก จากนั้นจึงกระโดดลงไปนอนบนเตียงหลังใหญ่ที่ปูด้วยผ้าคลุมสีแดงมงคลเข้าชุดกันอย่างสบายอารมณ์

“หิวน้ำจัง” ไม่นานนางก็บ่นพึมพำออกมาเบาๆ เป็นเพราะไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เริ่มพิธีทำให้รู้สึกหิวเป็นอย่างมาก ก่อนที่สายตาจะมองไปเห็นป้านน้ำชาที่วางอยู่บนโต๊ะกลม ไม่รอช้า ร่างบางก็กระโดดลุกขึ้นจากเตียงก้าวตรงไปรินน้ำชาใส่จอกหมายจะดื่มเพื่อดับกระหาย

“ไม่ใช่น้ำชา แต่เป็นสุรางั้นหรือ” กลิ่นสุราหอมหวนลอยคละคลุ้งมาแตะจมูก นางคิดว่าต้องเป็นสุรามงคลไม่ผิดแน่จึงวางลงเช่นเดิม ทว่าไม่นานนางก็เปลี่ยนใจพร้อมหยิบจอกสุราขึ้นมาใหม่ คิดว่าคงไม่เป็นอะไร หากนางจะดื่มมันเล็กน้อยเพื่อดับกระหายเท่านั้น

“อืม อร่อยจัง” น้ำสีชาไหลลงไปสู่ลำคอ เกิดความรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั่วช่องท้อง นางไม่เคยดื่มสุราที่อร่อยเช่นนี้มาก่อน ฮุ่ยเจียวเจียวรู้สึกติดใจในรสชาติของมันยิ่งนัก

“ขออีกสักคำก็แล้วกัน” ที่คิดไว้ว่าจะดื่มอีกแค่คำเดียวสำหรับฮุ่ยเจียวเจียวนั้นไม่มีอยู่จริง จากหนึ่งจอกกลายเป็นสองจอกล่วงเลยไปจนถึงสิบจอก ดวงตาคู่หวานฉ่ำปรือ กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็พบว่าสุราที่อยู่ในป้านนั้นได้หมดลงเสียแล้ว

“โหมดเรวจาง” ฮุ่ยเจียวเจียวพึมพำด้วยน้ำเสียงยานคาง ก่อนจะเดินโงนเงนกลับไปยังเตียงหลังใหญ่ หากแต่ยังไม่ทันได้ไปถึงจุดหมาย ร่างบางก็เปลี่ยนใจทิ้งกายลงนั่งซบใบหน้าลงกับข้างขอบเตียงเสียก่อนพร้อมกับปิดเปลือกตาลงด้วยความง่วงงุน เดินทางเข้าไปสู่ห้วงนิทราอย่างรวดเร็ว

เวลาผ่านพ้นไปเกือบครึ่งชั่วยาม หลินจื่อมู่ก็กลับมายังห้องหอ ชายหนุ่มทอดถอนลมหายใจออกมาเบาๆอยู่ที่หน้าประตู การอภิเษกในครั้งนี้หาได้เกิดจากความเต็มใจของเขาไม่ เขาคิดว่าฮุ่ยเจียวเจียวเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน เขารู้อยู่เต็มอกว่านางมีใจให้กับหลินยวี่หาน ไม่มีสตรีใดชายตามองมายังคนพิการนั่งรถเข็นอย่างเขาหรอก

อันที่จริง เขานึกเห็นใจสตรีที่อยู่ในห้องหอยามนี้ไม่น้อย ทว่าเขาเองก็ไม่รู้ว่าหลินเต๋อจินฮ่องเต้พระบิดาของเขานั้นกำลังคิดสิ่งใดอยู่ถึงได้มอบสมรสพระราชทานให้เขากับฮุ่ยเจียวเจียว แม้ในตอนแรกจะไม่พอใจ แต่กระนั้นสุดท้ายเขาก็ต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ อีกทั้งยังคิดว่าดีไม่น้อย การที่ฮุ่ยเจียวเจียวมีใจให้กับหลินยวี่หานอาจเป็นผลดีต่อเขาในอนาคต หากเขาจะใช้นางเป็นเครื่องมือทำให้หลินยวี่หานและเกาฟางเหนียงผิดใจกัน คิดได้เช่นนั้น มุมปากหยักพลันยกยิ้มขึ้นมาอย่างร้ายกาจ

“เปิดประตู” สิ้นวาจาของเขา นางกำนัลเฝ้าประตูก็รีบกุลีกุจอเปิดประตูให้เจ้านายหนุ่ม ทันทีที่รถเข็นไม้เคลื่อนผ่านเข้าไปข้างในเรียบร้อยแล้วจึงปิดประตูลงเช่นเดิม

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel