บทที่ 2 ลางร้ายที่ว่าคือว่าที่แม่สามี
บทที่ 2 ลางร้ายที่ว่าคือว่าที่แม่สามี
ขบวนเกี้ยวเจ้าสาวเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างดูงดงาม สมบูรณ์แบบจนยากจะหาเจ้าสาวใดเสมอเหมือน ผ้าต่วนแดงสดสะท้อนแสงอาทิตย์ยามสาย ปักลายมังกรคู่หงส์ด้วยดิ้นทองหรูหรา สายลมอ่อนพัดกลีบดอกเหมยหล่นปลิวลงมาแต่งแต้มราวฉากในความฝัน
ภายในเรือนเงียบสงบจนผิดปกติ ไม่ใช่ความอึดอัด แต่เป็นความเงียบที่เกิดจากธรรมเนียมอันยาวนาน
“คุณหนูออกจากเรือนไม่ได้ จนกว่าจะถึงวันแต่ง”
เสียงแม่นมหลานกล่าวเบา ๆ ขณะช่วยจัดของใช้ที่ตรวจความเรียบร้อยตามรายการเข้าหีบเพื่อนำไปตั้งที่ขบวนเจ้าสาว
“ตามธรรมเนียม ว่ากันว่าเพื่อป้องกันลางร้าย ไม่ให้เจ้าสาวออกไปพบเคราะห์ก่อนวันมงคล”
มิ่งหุ้ยนั่งอยู่ข้างหน้าต่าง มองภาพใบไม้ปลิวหล่นลงพื้นอย่างไร้คำพูด นางไม่ได้กลัวลางร้าย ไม่เชื่อโชคลาง หากแต่สิ่งที่อยู่ในใจนั้นหนักกว่านั้นมากนัก
“เป็นกังวลหรือเจ้าคะ” แม่นมหลานถามเสียงเบา พลางหยุดมือมองเจ้านายที่ยังนั่งนิ่งอยู่ข้างหน้าต่าง
มิ่งหุ้ยพยักหน้าน้อย ๆ ก่อนเอ่ยช้า ๆ
“อืม… แม้ข้ากับหลินเฉินจะเคยรักกันมากเพียงใด แต่สิ่งที่ทำให้ข้าหนักใจ คือมารดาของเขานี่แหละ”
นางเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ
“ที่ผ่านมา พวกเราอยู่กันคนละบ้าน ยามมีปัญหา ข้ายังพอหลบห่างหรือถอยออกมาได้ แต่หากแต่งกันไปจริง ๆ ข้านึกไม่ออกเลยว่า…จะใช้ชีวิตอย่างไร หากต้องเผชิญหน้ากันทุกวัน”
แม่นมหลานเม้มปากน้อย ๆ อย่างลังเล ไม่กล้าพูดมากไปกว่านี้ เพราะรู้อยู่เต็มอกว่า ฮูหยินตระกูลหลิน เป็นสตรีที่ไม่ง่ายจะรับมือ
“คุณชายหลินรักคุณหนูมากนะเจ้าคะ” นางพูดในที่สุด น้ำเสียงพยายามปลอบโยน
“ข้ารู้” มิ่งหุ้ยยิ้มน้อย ๆ “แต่ในครอบครัวชนชั้นสูง… ไม่ใช่แค่ความรักของชายหญิงเท่านั้นที่จะพอหรอก…” มิ่งหุ้ยเอ่ยเสียงแผ่ว ดวงตาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างราวครุ่นคิดถึงบางสิ่งที่ฝังแน่นในใจ
“โดยเฉพาะเมื่อผู้เป็นมารดาของเขา ยังเป็นผู้ที่ข้าไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าจะรับข้าอย่างไร ใช่ว่าข้าไม่พยายาม ข้าพยายามเข้าหานางมาตลอด”
นางหยุดไปชั่วครู่ ก่อนเอ่ยต่อเสียงเบาลง
“ดูอย่างท่านพ่อข้าสิ…”
“อย่างพูดเช่นนั้นเลยเจ้าค่ะ!” สาวใช้รีบขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นตกใจ “จะกลายเป็นลางไม่ดีเอาได้นะเจ้าคะ”
มิ่งหุ้ยคลี่ยิ้มบาง เหมือนจะปลอบทั้งตนเองและคนตรงหน้า
“ข้าเพียงแค่…อดหวั่นไม่ได้”
วันพรุ่งนี้…นางจะขึ้นเกี้ยว และก้าวข้ามเตาไฟเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่กับบุรุษที่นางรักสุดหัวใจ หลินเฉิน
นางตั้งใจจะก้าวไปพร้อมกัน ไม่ว่าสุขหรือทุกข์ นางก็จะไม่ปล่อยมือเขาอีก
ทว่ายังไม่ทันถึงวันนั้น…
เสียงตะโกนของบ่าวหน้าจวนทำให้บรรยากาศพลันเปลี่ยนไปอย่างไม่คาดฝัน
“ฮูหยินหลิน…มารดาของคุณชายหลิน ขอเข้าพบคุณหนูมิ่งหุ้ยเจ้าค่ะ!”
บ่าวทุกคนชะงักงัน บางคนลอบสบตากันอย่างตกใจ บางคนหันมามองมิ่งหุ้ยที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่บนอาสน์คลุมด้วยผ้าไหมแดง หัวใจของนางกระตุกวูบ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่มารดาของหลินเฉินมาหาถึงจวน
แต่ก่อนวันแต่งเช่นนี้…หมายความว่าอย่างไรกัน
เสียงฝีเท้าและกลิ่นหอมของน้ำอบจาง ๆ ลอยมาก่อนเจ้าตัว หญิงสูงวัยผู้มีท่าทางสง่างามก้าวเข้ามาอย่างมั่นคง ดวงตาคมดุจับจ้องมิ่งหุ้ยเพียงคนเดียว
“ข้ารู้ว่าไม่ควรมารบกวนก่อนวันสำคัญ แต่ข้าจะไม่ยอมให้ใครมาว่าข้าว่าใจร้ายลับหลัง ข้าจึงมาบอกด้วยตัวเอง”
นางหยุดยืนตรงหน้า ริมฝีปากทาชาดสีสดเม้มแน่นเล็กน้อย ก่อนจะเปล่งวาจาที่ทำให้ทั้งเรือนแทบหยุดหายใจ
“ข้าให้อิงจูหลานสาวเพียงคนเดียวของข้าแต่งเข้าจวนพร้อมเจ้า”
มิ่งหุ้ยนั่งนิ่ง ฝ่ามือที่วางบนตักแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว แต่สีหน้ากลับเรียบนิ่ง ไม่อาละวาด ไม่สะท้าน
“เจ้าจะยังเป็นภรรยาเอก ไม่มีผู้ใดแย่งตำแหน่งไปจากเจ้าได้ ส่วนหลานสาวของข้า…จะเป็นเพียงอนุเท่านั้น ข้าขอเพียงให้เจ้ายอมรับไว้…เพื่อความสมานฉันท์ในจวนหลังแต่ง”
บรรยากาศเงียบสนิทจนได้ยินเสียงลมหายใจ
มิ่งหุ้ยมองหญิงตรงหน้าอย่างเงียบ ๆ ดวงตาที่เคยอ่อนโยนบัดนี้ทอแววไม่พอใจออกมาจนล้น
“ข้าขอถามเพียงข้อเดียวเจ้าค่ะ…” น้ำเสียงนางอ่อนโยน แต่มั่นคง “ท่านมาหาข้าเช่นนี้…หลินเฉินทราบหรือไม่เจ้าคะ”
คำถามนั้น ทำให้สีหน้าของฮูหยินหลินกระตุกเล็กน้อย ก่อนตอบ “ยัง ข้ายังไม่ได้บอกเขา ข้าไม่อยากให้เขาเสียใจ หรือทะเลาะกับข้าในวันมงคล”
มิ่งหุ้ยพยักหน้าช้า ๆ แล้วจึงเอ่ยต่ออย่างสงบ
“เช่นนั้น…ท่านช่วยกลับไปบอกหลินเฉินด้วยเถิดเจ้าค่ะ ว่าไม่จำเป็นต้องมีข้าร่วมในพิธีนั้นอีกต่อไป หากท่านต้องการให้มีสตรีอื่นก้าวข้ามเตาไฟในวันเดียวกัน ข้า…ขอถอนตัว”
“มิ่งหุ้ย!” ฮูหยินหลินตวัดเสียงดัง “เจ้ากำลังจะได้ทุกอย่างในฐานะภรรยาเอก ยังจะยึดมั่นอะไรในศักดิ์ศรีนัก! เจ้าอย่าคิดว่าโลกนี้จะมีชายใดมีภรรยาเพียงคนเดียว!”
“ข้าไม่ได้ต้องการทุกอย่างเจ้าค่ะ” มิ่งหุ้ยตอบเบา ๆ “ข้าเพียงต้องการคนเดียว คนที่จับมือข้าโดยไม่มีมืออื่นแทรกกลางมาในวันสำคัญที่สุดของชีวิต ข้าเฝ้ารอวันนี้มาห้าปี ไม่ใช่เพื่อแบ่งเกี้ยว แบ่งห้อง หรือแบ่งหัวใจของเขากับใครอื่น”
แม่นมหลานที่ยืนอยู่ด้านหลังนางน้ำตารื้นอย่างเงียบงัน คุณหนูของนางมักจะมีปากเสียงกับมารดาคุณชายเฉินแทบจะทุกคราที่พบกัน แต่สุดท้ายเพราะรักบุตรชายของอีกฝ่ายก็จำต้องยอมถอยร่ำไป ดูแล้วครั้งนี้ คุณหนูของนางคงถูกบีบบังคับเช่นเคย
หญิงสาวลุกขึ้น ย่อตัวคารวะอย่างนอบน้อม “หากท่านอยากให้มีสองเจ้าสาวในวันเดียว ก็เชิญเถิดเจ้าค่ะ แต่ข้าคงไม่ใช่หนึ่งในนั้น”
