5 หากชาติหน้ามีจริง 1
หากชาติหน้ามีจริง
จากนั้นก็มีการร้องโอดโอยอย่างเจ็บปวด และจิ่นเสียนยังจับต้นชนปลายไม่ได้ เรื่องราวแต่หนหลังผุดขึ้นในหัว นับแต่วันที่เซี่ยหมิงซื้อขายมาจากตลาดค้าทาส และเขาขอเลี้ยงนางให้เป็นสะใภ้น้อย ทว่าในภายหลังนางรู้ว่า เซี่ยหมิงผู้เป็นว่าที่สามีมิใช่แค่คนเมืองสิ่ว และเป็นพ่อค้าขายภาพวาด และกวีเท่านั้น หากความจริง เขาคือลูกชายบุญธรรมของแม่ทัพใหญ่ผู้หนึ่ง
“ตามตัวนางให้พบ และพากลับเมืองหลวงพร้อมข้า”
เสียงสตรีนางนั้นฟังแล้วชวนหวาดหวั่นใจ และนางคืออนุหมี่ หรือ หมี่เจาสตรีที่รับใช้โต้วเหวยถาน ซึ่งไม่รู้ว่าเหตุใดหมี่เจาถึงทำเรื่องอมหิตเพียงนี้
“หนีไป เสียนเอ๋อร์ นะ หนีไหม อย่าให้คนพวกนี้จับตัวเจ้าได้เด็ดขาด”
เสียงดังกล่าวเป็นของจวิ้นซี ยามนี้แม้จะถูกโบยไปหลายไม้ หากนางยังห่วงจิ่นเสียน เนื่องจากเป็นคนลักพาตัวอีกฝ่ายมาจากโต้วเหวยถานเมื่อหลายปีก่อน แล้วฝากนางไว้ที่หอคณิกา หากสุดท้ายก็ถูกขายไปเรื่อยๆ กระทั่งเซี่ยหมิงไปพบเข้า และซื้อนางกลับเรือน ด้วยเหตุนี้ จวิ้นซีจึงเข้าใจได้ว่าเมื่อสวรรค์ลิขิตไว้เช่นนี้ นางย่อมไม่อาจเปลี่ยนชะตาของจิ่นเสียน
ฝ่ายจิ่นเสียนตั้งมั่นว่า ยังมีหลายสิ่งที่นางอยากกระทำ และสำหรับเซี่ยหมิง แม้ตนอยู่ในตำแหน่งสะใภ้น้อยของอีกฝ่าย ทว่าเรื่องทางกายมิเคยเกิดขึ้น อีกทั้งนางกับเขา ผูกพันรักใคร่ดั่งพี่น้องมากกว่า
จิ่นเสียนหมุนหน้าหมุนหลัง สุดท้ายก็ออกจากที่ซ่อน และวิ่งสุดฝีเท้าจนเกือบจะหลุดพ้นจากคนของหมี่เจาแล้ว แต่นางพบกลุ่มมือสังหารนับสิบคน มิเพียงเท่านั้นหมี่เจาก็มาด้วย
“อย่าได้ขัดเคืองใจกันเลย แม่นางน้อย ชีวิตเจ้าสมควรสิ้นไปนับแต่ลืมตาขึ้นมาดูโลก แต่มีพวกดื้อรั้นพยายามฝืนกฎสวรรค์จึงปล่อยให้เจ้าเติบโตมาจนป่านนี้”
“ท่านพูดสิ่งใดกันแน่”
“หลังจากตัดศีรษะเจ้าและส่งไปให้บิดาข้า เพื่อแลกเปลี่ยนของสำคัญ เมื่อนั้นข้าจะจุดธูปแล้วบอกทุกอย่างที่เจ้าสมควรรู้ก็แล้วกัน”
จิ่นเสียนไม่อยากเชื่อว่าจะมีสตรีจิตใจบิดเบี้ยวและอำมหิตได้เพียงนี้
“ช่างเป็นเรื่องที่ชวนให้อนาถใจโดยแท้ ท่านจะสังหารผู้อื่น โดยที่เขาไร้ความผิดได้หรือ”
“โอ้ เจ้าย่อมมีความผิดแน่นอน นั่นก็คือเกิดในครรภ์ของสตรีที่เจ้าไม่ควรเกิด ยิ่งกว่านั้น ฐานะที่แท้จริงของเจ้า ยังสั่นคลอนต่อตำแหน่งรัชทายาท เหตุผลที่ยกมานี้ คงมากพอที่จะทำให้เจ้าไร้ตัวตน และแม้แต่วิญญาณก็ไม่อาจไปผุดไปเกิด”
จิ่นเสียนมองไปยังจวิ้นซียามนั้นดูเหมือนว่าหญิงวัยกลางคนมิอาจทนรับโทษสถานหนักได้แล้ว
“เสี่ยวเสียน... เป็นข้าที่พาเจ้ามาจากแม่ทัพโต้ว และเขาสมควรดูแลเจ้าตั้งแต่แรก ทว่า...พิษที่สะสมในร่างกายเขาเป็นเหตุให้ต้องอยู่ห่างเจ้า มิเช่นนั้นอาจทรงผลร้ายมากกว่านี้ ถึงอย่างนั้นแม่ทัพโต้วก็ไม่เคยทอดทิ้งเจ้า เขาแสร้งทำให้ข้าตายใจว่า หวังจิ่นเสียนอยู่ห่างไกลจากเงื้อมือเขามาโดยตลอด และเป็นข้าที่ตื้นเขินในเรื่องนี้”
“แม่เลี้ยง ทะ ท่านต้องการบอกสิ่งใดแก่ข้ากันแน่”
จวิ้นซีรวบรวมแรงเฮือกสุดท้าย และเปล่งเสียงดังชัดเจน
“หากเจ้ายังมีชีวิตอยู่ เกรงว่าหวังซินเข่อ ผู้เป็นรัชทายาท มิอาจขึ้นครองบัลลังก์ได้”
และนั่นคือเสียงสุดท้ายของจวิ้นซี เพราะนางถูกลูกน้องของหมี่เจาใช้ดาบฟันใส่กลางหลัง
“เอาละ... อย่างน้อยที่สุด เจ้าก็มีชีวิตมาจนถึงวันนี้ และหน้าที่ข้าคือทำให้เจ้าหายไปจากใต้หล้า องค์หญิงจิ่นเสียน ท่านอย่าหาว่าข้าโหดร้ายเลย ฟ้ากำหนดไว้เช่นนี้ อย่างไร น้องชายเจ้าต้องขึ้นเป็นฮ่องเต้ สกุลหมี่ และสกุลเคอ ยอมให้ผู้อื่นมีอำนาจในแผ่นดินนี้ไม่ได้”
จิ่นเสียนนิ่งเงียบ นางยังไม่อาจล่วงรู้ สิ่งใดมากนัก หากการสูญเสียที่เกิดขึ้นตรงหน้า ทำให้แน่ใจว่า หมี่เจาถูกส่งตัวมาทำงานนี้ เพื่อเก็บกวาดทุกอย่างให้สะอาด
“ไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าชีวิตข้า ดังนั้นท่านอย่ามั่นใจว่าจะพรากลมหายใจสตรีผู้นี้ไปได้เลย”
หญิงสาวกล่าวจบ ก็เสมือนเป็นการยั่วยุโทสะของหมี่เจา ฝ่ายนางจึงหันไปสั่งคนของตนจัดการจิ่นเสียน ทว่าในยามนั้นเซี่ยหมิงซึ่งพาพี่น้องของตนไปอยู่ในที่ห่างไกลอันตรายสำเร็จ ได้ย้อนกลับมา
เขาพุ่งตัวใช้ดาบในมือกวัดแกว่งทั้งอาวุธลับ และลูกธนูที่พุ่งเข้าหาร่างจิ่นเสียน การรับมือนี้เรียกได้ว่ายากยิ่ง แต่เขาไม่กลัวสิ่งใด ด้วยยังจดจำสายตาจิ่นเสียนที่มองเขาด้วยความผิดหวังได้
“ห่วงชีวิตตนเองบ้าง มารดาหมิงเกอก็ลาจากโลกนี้ไปแล้ว”
และนั่นคืออีกหนึ่งเหตุผลที่เซี่ยหมิงจะไม่ยอมให้ผู้ใดทำร้ายจิ่นเสียน ด้วยชีวิตนี้เขาไม่เหลือใครอีก
แต่ฝ่ายของหมี่เจามีทั้งทหารรับจ้างมากฝีมือ รวมถึงพวกโจรในคราบมือสังหาร ทั้งหมดคือกลุ่มคนที่สวมรอยเป็นหน่วยเหยี่ยวไฟของโต้วเหวยถานสร้างความเดือดร้อนแก่ผู้คนมากมายนับไม่ถ้วน
กระทั่งหอกเล่มหนึ่งแทงเข้าใส่ต้นขาเซี่ยหมิงก็ดูเหมือนว่าจะหยุดการเคลื่อนไหวของเขาไว้ได้
“โง่เหมือนมารดาเจ้ามิผิด”
หมี่เจาเอ่ย พร้อมเอื้อมมือไปหยิบธนูจากผู้ติดตามตน หมายยิงใส่ร่างจิ่นเสียน
“อาเสียน... ข้าไม่เอาไหนจริงๆ” เซี่ยหมิงบอกหญิงสาว ถึงกระนั้นก็พยายามใช้ตนเป็นเกราะกำบังเอาไว้ เพื่อไม่ให้ผู้ใดทำร้ายหญิงสาว
และฝ่ายหมี่เจามิใช่คนมีเมตตา ลูกธนูเลยถูกยิงออกไป ชั่วพริบตาเดียวกัน มีต้นหญ้าพุ่งเข้าสกัดลูกธนูไว้อย่างเฉียดฉิว
“ฮึ ในที่สุดเขาก็มา ข้าคิดว่าชาตินี้จะไม่ได้พบหน้าเสียแล้ว”
เซี่ยหมิงกล่าวจบก็ค่อยๆ ทรุดตัวลง ร่างกายบอบช้ำหลายแห่ง และเสียเลือดมากทีเดียว พอเขาคิดยกดาบในมือเพื่อฟาดฟันใส่มือสังหารอีกสามคนที่มุ่งหน้ามาหาตน แต่ก็ไม่อาจกระทำได้ เซี่ยหมิงจึงถูกฝ่ายของหมี่เจาจับตัวไว้ได้ในที่สุด
